หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
วิธีการฝึกฝนการพูด
วิธีการฝึกฝนการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในสมัยที่กระผมฝึกฝนการพูดต่อหน้าที่ชุมชนใหม่ๆ กระผมมีความประหม่า ตื่นเต้น พูดวกไปเวียนมา พูดแล้วผู้ฟังงง แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อฝึกฝนการพูดบ่อยๆ ทำให้ความประหม่าลดน้อยลง ความตื่นเต้นลดน้อยลง การพูดมีโครงเรื่อง มีระบบมากขึ้น พูดแล้วจากผู้ฟังงง เริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ฟังมีความเข้าใจมากขึ้น อีกทั้งบางหัวข้อที่พูด ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือศรัทธาอีกต่างหาก
ในบทความฉบับนี้เราจะมาพูดถึง วิธีการฝึกฝนการพูด ซึ่งวิธีการฝึกฝนเป็นศิลปะของแต่ละคน ในช่วงต้นๆ อาจลองผิดลองถูกก่อน เพราะวิธีการฝึกฝนการพูดของนักพูดท่านหนึ่ง เราฝึกฝนตามวิธีดังกล่าวเราอาจไม่ชอบหรือไม่ถูกกับจริตหรือนิสัยใจคอของเราก็ได้ เช่น เดล คาร์เนกี้ ครูสอนการพูดต่อหน้าที่ชุมชนระดับโลก เคยฝึกฝนการพูดตอนถอนหญ้าในสนามหญ้าภายในบ้าน , อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดี เคยฝึกฝนการพูดตอนอยู่บนหลังม้า เนื่องจากต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ต้องใช้เวลาในการเดินนานจึงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์โดยการฝึกฝนการพูด , อาจารย์จตุพล ชมพูนิช เคยให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ “ เจาะใจ ” เคยฝึกพูดในระหว่างเดินทางกลับบ้าน โดยฝึกพูดคนเดียว ในช่วงเดินเข้าบ้านตั้งแต่ต้นซอยจนถึงปลายซอย โดยเลือกหัวข้อเรื่อง แล้วจึงพูด เป็นต้น
ซึ่งการฝึกการพูดของบุคคลดังกล่าว หากเราเลียนแบบ บางคนอาจประสบความสำเร็จ บางคนอาจไม่ประสบความสำเร็จ โดยส่วนตัวกระผม วิธีการของบุคคลสำคัญๆ ข้างต้น หากกระผมนำไปฝึกฝนปฏิบัติ คงประสบความสำเร็จได้ยาก เนื่องจาก การฝึกพูดโดยไม่มีผู้ฟัง กระผมมักพูดไม่ออก พูดได้ไม่ดี แต่หากการฝึกฝนการพูดโดยมีผู้ฟัง ตาม สถาบัน สโมสร ชมรม การพูดต่างๆ กระผมมักพูดได้ดีกว่า ทั้งนี้การฝึกฝนการพูดไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว บางคนฝึกพูดต่อหน้ากระจกแล้วฝึกพูดได้ดีมาก
การฝึกฝนการพูดในยุคปัจจุบัน เราสามารถทำได้ง่ายกว่าในอดีต เนื่องจากมี สโมสร สถาบัน ชมรมต่างๆ ที่สอนอีกทั้งเปิดโอกาสให้ท่านไปฝึกพูดได้เป็นประจำ สำหรับข้อมูลเนื้อหาต่างๆ ที่ใช้ในการพูด ท่านสามารถค้นหาได้มากกว่าในอดีต เนื่องจากมีอินเตอร์เน็ต ซึ่งถ้าเป็นในสมัยก่อน หากท่านได้พูดในหัวข้อหนึ่งๆ ท่านจำเป็นจะต้องเดินทางไปหาข้อมูลตามแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดในสถาบันการศึกษา แต่ปัจจุบันท่านอยู่ที่ไหนท่านก็สามารถค้นหาข้อมูลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องประชุม ห้องสัมมนา โดยหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
การฝึกฝนการพูดในยุคปัจจุบัน มีแบบอย่างให้ดูมากมาย มีเครื่องมือช่วยให้การพูดของเราพัฒนาปรับปรุงได้มากขึ้น ท่านสามารถดูตัวอย่างการพูดได้จาก Youtube ท่านสามารถปรับปรุงพัฒนาการพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้โดยวิธีการใช้กล้องวีดีโออัดหรือบันทึกภาพในการพูดของท่านแต่ละครั้งเพื่อนำไปดู ข้อดี ข้อเด่น ข้อด้อย ข้อควรพัฒนาปรับปรุง ในการพูดแต่ละครั้ง
การฝึกฝนการพูดเป็น ทั้งศาสตร์และศิลปะ กล่าวคือ การฝึกฝนการพูดท่านควรรู้ศาสตร์หรือองค์ความรู้ในเรื่องการพูดต่อหน้าที่ชุมชนอยู่บ้าง แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดก็คือ ท่านต้องขึ้นเวที หรือ ฝึกฝนบ่อยๆ หากท่านมีทักษะหรือผ่านเวทีมากๆ ท่านก็จะประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดได้ในอนาคต
หรือหากท่านอยู่ในวงการขาย ถ้าท่านต้องการเป็นนักขาย ท่านมัวเอาแต่อ่านหนังสือการขาย ท่านมัวแต่ศึกษาวิธีการของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ท่านจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในการเป็นนักขาย ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักขายท่านไม่มีทางอื่น นอกจากท่านจะต้องออกไปขายเท่านั้น การศึกษาทฤษฏีมีความสำคัญแต่ท่านควรให้ความสำคัญเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ แต่การปฏิบัติ การฝึกฝนมีค่ามากกว่า ท่านควรให้น้ำหนักความสำคัญถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น อยากเป็นนักขายต้องออกไปขายครับ
เช่นกันถ้าอยากเป็นนักพูด การอ่านหนังสือการพูด การเรียนรู้เทคนิคต่างๆ การถามคนที่ประสบความสำเร็จในการพูด ท่านควรให้ความสำคัญเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ แต่การขึ้นเวที การหาเวที การฝึกฝน เป็นทักษะที่ท่านต้องให้ความสำคัญ โดยการฝึกฝนและปฏิบัติให้มากถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ หากต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูด ท่านไม่มีวิธีการอื่น ท่านต้องกล้าขึ้นไปพูดบนเวทีให้มากที่สุด
เช่นกันหากท่านอยากว่ายน้ำเป็น อยากว่ายน้ำเก่ง หากท่านมัวแต่อ่านหนังสือวิธีการว่ายน้ำ เทคนิคต่างๆ ในการว่ายน้ำ ท่านจะไม่มีทางว่ายน้ำเป็นเลย วิธีการก็คือ ท่านจะต้องลงไปในสระว่ายน้ำแล้วลงมือว่ายน้ำเลย ท่านอาจมีโอกาสจมน้ำบ้าง ท่านอาจมีโอกาสสำลักน้ำบ้าง แต่ท่านจะว่ายน้ำเป็นก่อนคนที่เอาแต่อ่านหนังสือวิธีการว่ายน้ำ โดยไม่เคยลงไปในสระว่ายน้ำเลย
ดังนั้น วิธีการฝึกฝนการพูด กระผมไม่สามารถบอกได้ว่าวิธีการฝึกฝนการพูด วิธีไหนดีที่สุด ทั้งนี้ วิธีการฝึกฝนการพูดที่ดี คงต้องขึ้นอยู่กับ จริต นิสัย ใจคอ วิธีการ ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล แต่ถ้าหากท่านมีความปรารถนาที่จะพูดเป็น พูดเก่ง ท่านจะขาดการฝึกฝนการพูดไปไม่ได้
...
  
3 H กับ การทำงาน
3 H กับ การทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ เราสามารถนำสูตร 3H มาใช้ได้ 3H ในที่นี้ได้แก่
1.HEART คือ การทำงานด้วยหัวใจ เป็นการทำงานในสิ่งที่เรารัก เราชอบ การรักในอาชีพหรืองานที่เราชอบจะทำให้เราทำงานได้ดี ได้นาน อีกทั้งยังได้รับความสนุกสนานในงานที่เราทำอีกด้วย บุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนมักเลือกทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก เช่น สตีฟ จอบส์ ชอบคอมพิวเตอร์ , สมคิด ลวางกูร ชอบเขียน เป็นต้น
2.HEAD คือ การทำงานด้วยหัว การทำงานด้วยหัวจะทำให้เราได้รับผลิตมากกว่าการทำงานด้วยแรงกาย เพราะการทำงานด้วยหัว เรามักใช้สมองในการคิด เช่น คิดสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ , คิดแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากการทำงาน, คิด จินตนาการ ฝัน ถึงเป้าหมายในอนาคตที่เราต้องการ
3.HAND คือ การลงมือทำ สิ่งต่างๆที่เรารัก เราชอบ เราฝัน เราจินตนาการ เราสร้างสรรค์ จะไม่เกิดขึ้นหรือเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาไม่ได้เลย หากว่าบุคคลนั้นไม่ยอมที่จะลงมือทำ จงลงมือทำแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
3 H จึงเป็นสูตรที่ช่วยให้เกิดความสุขและเกิดประสิทธิภาพขึ้นในการทำงาน หากว่าใครนำไปประยุกต์ใช้ ก็จะพบแต่ความสำเร็จในการทำงาน
...
  
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
กลยุทธ์การตลาด 10 P นี้ ต่อยอดมาจาก กลยุทธ์การตลาด 4 P ของฟิลลิป คอตเลอร์
(Philip Kotler) ซึ่งกลยุทธ์การตลาดแบบ 4P ได้รับยกย่องกันมานานและนำเอาไปใช้ไปอย่างแพร่หลายกันในอดีต แต่ในยุคปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป การใช้กลยุทธ์เพียงแค่ 4 P คงจะไม่เพียงพอในยุคปัจจุบัน นักวิชาการทางด้านการตลาดก็ได้เพิ่มจำนวน P ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย
กระผมก็เช่นกัน ก็ได้นำกลยุทธ์ 4 P( 4 ข้อแรก) มาต่อยอดโดยเพิ่มเป็น 10 P ดังนี้
1.Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ถือว่าเป็นสิ่งแรกสุดที่นักการตลาดจะต้องมี ซึ่งผลิตภัณฑ์จะต้องไปตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ หรือ แก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ ผลิตภัณฑ์จึงต้องเป็นสิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สี ขนาด รสชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
2. Price Strategy กลยุทธ์ราคา ราคาต้องตั้งให้มีความเหมาะสมกับการแข่งขัน แน่นอนในยุคนี้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ออกมาขายในตลาด มีความใกล้เคียงหรือเหมือนกันมาก ทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบทางด้านราคาได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ A เหมือนกับ ผลิตภัณฑ์ B แต่ทำไมราคาจึงแตกต่างกันอย่างมากมาย ฉะนั้นการตั้งราคา ควรตั้งราคาให้มีกำไร แต่ต้องให้เหมาะสมกับภาวะตลาด ไม่ตั้งราคาสูงจนเกินไป แต่ถ้าอยู่ในภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง ก็ไม่ควรตั้งราคาต่ำจนเกินไป จนต้องประสบภาวะการขาดทุน
3. Place Strategy กลยุทธ์การจัดจำหน่าย การจัดจำหน่ายมีความสำคัญมากต่อการทำการตลาดในยุคนี้ เพราะถ้ามีสินค้า มีการตั้งราคา แต่ไม่รู้จะไปวางขายที่ไหน หรือมีการจัดจำหน่ายที่น้อย ลูกค้าก็ไม่สามารถหาซื้อได้ ซึ่งการจัดจำหน่ายที่ดี ควรมีหลักการคือ ควรจัดจำหน่ายโดยหาช่องทางให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกในการซื้อ เช่น มีสินค้า 2 ตัว เหมือนกัน ราคาก็ไม่แตกต่างกันมาก แต่สินค้าตัวที่ 1 วางขายที่ใต้หอพัก ใต้อาคารคอนโด ที่เราพักอาศัยอยู่ แต่สินค้าตัวที่ 2 เราจะต้องเดินไปซื้อที่หน้าปากซอย เราจะเลือกซื้อสินค้าตัวไหน ระหว่างใต้หอพักหรือใต้อาคารคอนโด หรือว่าเราจะเดินไปซื้อสินค้าอีกตัวหนึ่งที่หน้าปากซอย
4. Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การส่งเสริมการตลาด เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการส่งเสริมทางด้านการตลาดไปยังลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การส่งเสริมด้านการขาย เป็นต้น
5. Public Relation Strategy กลยุทธ์การให้ข่าวสาร เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งโลกไร้พรมแดน ยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ยุคของอินเตอร์เน็ต กลยุทธ์การให้ข่าวสารจึงต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นช่องทางเพื่อให้เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ นักการตลาดใช้เพื่อไปติดต่อกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์ในการสร้างตราสินค้า สร้างภาพลักษณ์ ช่วยเพิ่มทัศนคติในเชิงบวก ช่วยสร้างความเข้าใจในการใช้สินค้า บริการ และความเข้าใจที่คาดเคลื่อน ต่อลูกค้าและประชาชนอีกด้วย
6. Personal Strategy กลยุทธ์ด้านการใช้พนักงานขาย เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การขายโดยพนักงานขายมีความสำคัญมากสำหรับผลิตภัณฑ์ บางตัว เพราะต้องอาศัยการอธิบาย ความเข้าใจ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าประเภท ยา ผลิตภัณฑ์ประเภท อาหารเสริม เป็นต้น
ซึ่งพนักงานขายที่ดี จะต้องมีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ ในการใช้สินค้าและมีเทคนิคในการขาย มีการสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจในผลิตภัณฑ์ เพื่อนำพาไปสู่ การตัดสินใจซื้อ
7.People Strategy กลยุทธ์ด้านประชาชน เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการการสนับสนุน จากประชาชนหรือกลุ่มเป้าหมายหรือ คนในพื้นที่ที่ต้องการจัดจำหน่าย เพราะ ผลิตภัณฑ์บางตัวดี ราคาเหมาะสม มีช่องทางมีการจัดจำหน่ายที่ดี กล่าวได้ว่าทุกอย่างดีหมด แต่ประชาชนหรือคนในพื้นที่ ไม่สนับสนุน โจมตี ผลิตภัณฑ์นั้นก็อยู่ไม่ได้ในตลาด ซึ่งในยุคหลังๆ เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ จะให้ความสำคัญกับการทำ CSR “Corporate Social Responsibility” คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำธุรกิจ อีกทั้งยังทำให้เกิดการสนับสนุนของผู้คนในพื้นที่ที่ผลิตภัณฑ์ของเราจำหน่ายอีกด้วย
8. Packaging Strategy กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ เป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจาก Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์นี้ ได้สร้างความประทับใจแรกพบของลูกค้าหรือ First Impression ซึ่งในยุคนี้ เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ มีความจำเป็นจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นหรือมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะการทำบรรจุภัณฑ์ให้ดูดี มีความน่าเชื่อถือ สะอาด สวยงาม มีสีสันโดนใจ ย่อมทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า การที่เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ ไม่ยอมลงทุนหรือเพิ่มต้นทุน ทางด้านบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งควรตั้งคำถามต่างๆเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าดังนี้ บรรจุภัณฑ์สวยงาม หรือไม่ , บรรจุภัณฑ์สามารถเชิญชวนให้ใช้ หรือไม่,บรรจุภัณฑ์เมื่อนำเอามาใช้แล้วเก็บสะดวก หรือไม่ เป็นต้น
9. Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญ เพราะการมีคู่ค้าหรือหุ้นส่วน จะสามารถช่วยเราในการทำธุรกิจได้หลายประการ เช่น ช่วยคิด ช่วยลงทุน ช่วยทางด้านเทคโนโลยี ช่วยเหลือในเรื่องการวางระบบงาน ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นการทำธุรกิจข้ามชาติหรือทำธุรกิจในต่างประเทศ ระหว่างประเทศ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เพราะบางประเทศมีข้อจำกัดในเรื่องของกฏหมาย ถ้ามีหุ้นส่วนก็จะได้รับการช่วยเหลือ ทางด้านกฎหมายของประเทศนั้นๆ อีกด้วย
10. Perception Strategy กลยุทธ์ความเข้าใจ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องประยุกต์หลักการตลาดเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์นั้นๆ เพราะโลกยุคปัจจุบัน มีการไหลเวียนในด้านต่างๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร การไหลเวียนของวัตถุดิบ การไหลเวียนของสินค้า บริการ ไปทั่วทุกมุมโลก เราจะเห็นได้ว่า สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ที่วางขายกันในประเทศไทย เราสามารถนำเข้าจากประเทศอื่นๆ เข้ามาวางขายได้อย่างเสรีมากขึ้น ฉะนั้น นักการตลาด เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ ที่มีความเข้าใจมีการปรับตัว มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงประสบความสำเร็จในการทำการตลาดในยุคนี้
กลยุทธ์การตลาด 10 P ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจากกูรูทางด้านการตลาด ซึ่ง ท่านผู้อ่านสามารถนำไปต่อยอดได้อีกเป็น 12P 15 P 20 P ต้องขอขอบคุณ ท่านฟิลลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler) ที่ได้วางทฤษฏีหรือหลักการทางด้านการตลาด ไว้เป็นอย่างดี
สำหรับ กลยุทธ์การตลาด 10 P ถ้าจะนำไปใช้อย่างได้ผล เราควรจะต้องร่วมพิจารณากับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค , วิเคราะห์ SWOT Analysis(S = Strength (จุดเด่น จุดแข็ง) W = Weakness (จุดอ่อน จุดด้อย) O = opportunity (จุดเกิดโอกาส) T = Threat (จุดดับ อุปสรรค ) ,การวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์ และอีกหลายๆปัจจัย จึงจะส่งผลให้กลยุทธ์การตลาด 10 P ประสบผลสำเร็จ
...
  
กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์องค์กร
วันที่ 26-27 พฤษภาคม 2554 ร่วมอบรม " กลยุทธ์ประชาสัมพันฃ ...
  
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เคยมีคนตั้งคำถามกับกระผมว่า ทำไมคนนี้พูดแล้วเกิดความน่าเชื่อถือ แต่ทำไมอีกคนหนึ่งพูดแล้วไม่เกิดความน่าเชื่อถือ ความจริงแล้วการพูดให้เกิดความน่าเชื่อมีหลายปัจจัยคือ
1.ตัวผู้พูด กล่าวคือ หากต้องการให้ผู้ฟังเชื่อถือ ตัวผู้พูดเองต้องเป็นคนที่เชื่อถือได้ หากผู้พูดพูดโกหกบ่อยๆ ผู้ฟังก็คงยากที่จะเชื่อ การสร้างความน่าเชื่อถือในตัวผู้พูดยังรวมไปถึง อาชีพ ตำแหน่ง ฐานะทางสังคม รายได้ทางเศรษฐกิจ และบุคลิกภาพ(ทั้งภายในและภายนอก)
2.เนื้อหาในการพูด มีความสำคัญ หากการพูดนั้นวกไปวนมาฟังแล้วไม่เข้าใจผู้ฟังเกิดสับสน ไม่มีการเรียงลำดับเหตุการณ์ สถานที่ ขาดเหตุผล ขาดการอ้างอิง ขาดการเปรียบเทียบ ใช้ภาษาที่เข้าใจยาก ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสรุป ขาดการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว สิ่งเหล่านี้มักเป็นส่วนประกอบที่จะทำให้ผู้ฟังขาดความเชื่อถือ
3.วิธีการนำเสนอในการพูด มีส่วนสำคัญที่สร้างความน่าเชื่อถือขึ้น เช่น มีหลักฐานเป็นภาพ คลิปเสียง คลิปภาพ ในการประกอบการพูด เพื่อให้เห็นของจริง หากใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เครื่องมือที่ทันสมัยก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ ความเชื่อถือได้ ทั้งนี้คงรวมถึงการต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟังด้วย เช่น วิเคราะห์เพศ วัย อาชีพ ช่วงอายุของผู้ฟัง ฯลฯ
สำหรับองค์ประกอบการพูดที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือหรือคล้ายตาม เราควรมีเทคนิคดังนี้
- สถิติ เป็นข้อเท็จจริงที่หน่วยงานต่างๆทำไว้ ควรหาข้อมูล สถิติจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือในการนำเสนอ
การพูด ตัวอย่างในการพูดให้เกิดความคล้อยตามหรือทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีคุณสมัคร สนุทรเวช เป็นบุคคลที่นำเอาตัวเลข สถิติ มาใช้เป็นจำนวนมากในการพูดหาเสียงแต่ละครั้ง
- ความคล้ายคลึงกัน ความคล้ายคลึงกันของผู้พูดกับผู้ฟังก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ
หรือไม่น่าเชื่อถือ เช่น ผู้พูดกับผู้ฟังนับถือศาสนาเดียวกัน ก็จะได้รับความไว้วางใจมากกว่า , มีอาชีพเดียวกัน ก็จะสร้างความยอมรับจากผู้ฟังได้มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างกันบางอย่างอาจจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้มากกว่าความคล้ายคลึงกัน เช่น บุคคลที่มีฐานะดีกว่าหรือตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่า ย่อมได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เหตุการณ์ เงื่อนเวลาในการพูดด้วย
- พูดให้ตรงความต้องการของผู้ฟัง เช่น ผู้ฟังมีความต้องการสิ่งใด เราก็พูดในสิ่งที่ผู้ฟังสนใจหรือพูดในสิ่งที่
ผู้ฟังมีความต้องการ เขาก็จะมีความเชื่อถือและคล้อยตามผู้พูด ซึ่งหลักจิตวิทยา อับราฮัม เอช มาสโลว์ ได้วิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1.ความต้องการปัจจัยสี่ 2.ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย 3.ความต้องการความรักและมีส่วนร่วม 4.ความต้องการได้รับการยกย่องและได้รับเกียรติ 5.ความต้องการบรรลุความหวังในชีวิต ซึ่งผู้พูดควรวิเคราะห์ผู้ฟังว่าอยู่ระดับขั้นตอนใด
- เสียงคำพูดต้องชัดเจน หนักแน่น การจะพูดให้ผู้ฟังเกิดความคล้อยตาม เกิดความเชื่อถือ เกิดความมั่นใจ ผู้
พูดจะต้องพูดด้วยความมั่นใจก่อน ควรพูดด้วยความกระตือรือร้น พูดด้วยความคล่องแคล่ว อีกทั้งเมื่อมีการถามคำถามก็ควรตอบด้วยความรวดเร็ว หนักแน่น ชัดเจน เสียงดัง มีการเน้นระดับเสียงสูงต่ำ
- ต้องมีการเตรียมตัวมาอย่างดี เช่น เตรียมหลักฐานต่างๆ มาประกอบการพูด เช่น ภาพ คลิป ข่าว หลักฐาน
การอ้างอิง คำพูดของคนสำคัญ ตลอดถึงการเตรียมเนื้อหาในการพูด การเลือกใช้คำกลอน ถ้อยคำ คำคม เพลง มาประกอบการพูด
แต่อย่างไรก็ตาม การจะพูดให้คนเกิดความคล้อยตามหรือเชื่อถือ คงขึ้นอยู่กับตัวผู้พูดเป็นหลัก หากผู้พูดไม่เชื่อถือตามสิ่งที่พูดไป หากผู้พูดพูดโกหกในสิ่งที่พูด หากผู้พูดไม่มั่นใจในสิ่งที่พูด ก็คงยากที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ เกิดความมั่นใจในสิ่งที่ผู้พูดพูด เช่น ผู้พูดพูดให้ผู้ฟังเชื่อว่าผีมีจริง แต่ตัวผู้พูดเองไม่เชื่ออีกทั้งยังไม่เคยเห็นผี ก็คงพูดให้พูดฟังเชื่อได้ยากเนื่องจากตัวผู้พูดเองยังไม่เชื่อหรือพูดให้ผู้ฟังเลิกสูบบุหรี่แต่ตัวผู้พูดเองสูบบุหรี่แบบมวนต่อมวนผู้ฟังก็คงเชื่อหรือคล้อยตามได้ยากเช่นกัน













...
  
กฎ 20/80 ของพาเรโท
กฎ 20/80 ของพาเรโท
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎ 20/80 ถูกคิดค้นขึ้นโดย วิลเฟรโด พาเรโท ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลี่ยน เมื่อปี 1895 โดยขณะนั้นเขากำลังทำวิจัยเพื่อค้นคว้าหาสูตร การกระจายความมั่งคั่งในประเทศอิตาลี เขาค้นพบว่า บุคคลที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งมีจำนวนแค่ 20 % ของประชากร แต่มีทรัพย์สินเงินทองถึง 80 %
ต่อมา Dr Juran นักคิดทางด้าน Quality Management ได้นำหลักการนี้ไปใช้แล้วได้ผลเป็นอย่างดี จึงได้เรียกว่า “กฎ 80/20 ” หรือ กฎของพาเรโท อีกทั้งมีนักวิชาการจำนวนมากได้พิสูจน์ ทดลองแล้วยืนยันว่า กฎ 20/80 ของพาเรโท นั้นสามารถนำเอาไปใช้ได้ โดยมีการอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
80 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้หรือยอดขายทั้งหมดของบางบริษัท เกิดจากสินค้าจำนวนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขาย มาจากพนักงานขายแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ในทางกลับกัน
80 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานขาย สร้างยอดขายได้เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
80 เปอร์เซ็นต์ ของปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เกิดจากนักเรียนเพียงจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดการสั่งซื้อทั้งหมดนั้นมาจากลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของเสื้อผ้าที่เรามีอยู่ เรามักไม่ได้สวมใส่ แต่ในทางกลับกันเราใส่แค่เสื้อผ้าอยู่จำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่เรารับโทรศัพท์ มักมาจากกลุ่มคนที่โทรศัพท์เข้ามาเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ดินทั้งหมด มักถือครองโดยคนส่วนน้อยเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของรางวัลในการแข่งขันประเภทต่างๆ เช่น กีฬา ดนตรี ประกวดร้องเพลง มักเป็นของคนเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในการทำงานแต่ละวัน เราได้ผลลัพธ์เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
การประยุกต์ กฎ 20/80 ของพาเรโท จึงมีความสำคัญเพราะกฎนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การบริหารเวลา , การบริหารลูกค้า , การบริหารสินค้าคงคลัง , การบริหารธุรกิจ , การพัฒนาตนเอง เป็นต้น
เช่น
- หากเราพบว่า สินค้าแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ สินค้าแค่ 2 ใน 10 เป็นสินค้าที่ขายดี เราจะทำอย่างไรถึงจะช่วย
ส่งเสริม พัฒนา ให้สินค้า 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2 ใน 10 ชิ้น นั้น ให้เกิดการขายดียิ่งขึ้นหรือทำกำไรให้ได้ดียิ่งขึ้น
- หากเราพบว่า มีลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด สั่งซื้อสินค้าถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เราจะ
ทำอย่างไรกับลูกค้ารายใหญ่นั้น เพื่อเพิ่มยอดการสั่งซื้อให้มากขึ้นอีก
ดังนั้น จงให้ความสำคัญกับ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่มีคุณค่าสูงของการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ท่านได้ผลลัพธ์มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านก็จะความประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น







...
  
ผู้บริหาร มนุษย์สัมพันธ์
ผู้บริหารกับมนุษย์สัมพันธ์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผูกสนิทชิดเชื้อนั้นเหลือยาก ถึงเหล็กฟากรัดไว้ก็ไม่มั่น


จะถูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์ ไม่เหมือนพันผูกไว้ด้วยไมตรี





เป็นคำสอนของคนโบราณ การที่คนเราจะช่วยเหลือกัน ซื้อขายสินค้า ร่วมมือประสานงานกัน การมีไมตรีจิตที่ดีต่อกัน การมีมนุษย์สัมพันธ์ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


มนุษย์สัมพันธ์ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งอาศัยอยู่ในสังคมร่วมกัน อย่างผาสุก ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจอันดีต่อกัน มุ่งให้เกิดความร่วมมือต่อกัน ดังนั้น มนุษย์สัมพันธ์ เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะในการเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับบุคคลเพื่อให้ได้มา ซึ่ง ความนับถือ ความรัก ความร่วมมือ ความจงรักภักดี และความสัมพันธ์อันดีต่อกัน (ศาสตร์คือ หลักการทฤษฏี องค์ความรู้ ศิลปะคือการประยุกต์ใช้ทฤษฏี องค์ความรู้)


นักบริหารจึงจำเป็นจะต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน ซึ่งเทคนิคในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์มีหลาย ประการดังนี้


1. ต้องเข้าใจธรรมชาติของคนเรา เพราะมนุษย์เรามีความหลากหลาย ทั้งความคิดเห็น แง่มุม ความเชื่อ พฤติกรรม ดังคำโบราณเคยพูดไว้ว่า มนุษย์เรามีร้อยพ่อพันแม่( ถ้าเทียบตามสัดส่วน หนึ่งพ่อย่อมมีสิบแม่) เมื่อเรารู้เช่นนี้ เราจะได้หาวิธีการสร้างสัมพันธภาพได้อย่างเหมาะสม เพราะคนเรามีความชอบ มีรสนิยมแตกต่างกัน มีประวัติภูมิหลังแตกต่างกัน


2. ต้องรู้จักสร้างสัมพันธ์กับคน การที่คนเรามีมนุษย์สัมพันธ์ จะต้องมีเทคนิคและวิธีการสร้างอยู่พอสมควร เช่น เทคนิคในการพูด เทคนิคในการนำเสนอ การพูดของคนเรานี่สำคัญมาก นักบริหารที่ดีจะพูดให้คนชอบ หรือคนเกลียดก็ได้ จะพูดให้คนพอใจ หรือ พูดให้คนไม่พอใจก็ได้ ผู้บริหารที่ดีควรยิ้มแย้ม แจ่มใสซึ่งจะทำให้บรรยากาศในที่ทำงานดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ทำหน้าเครียดจริงจังตลอดเวลาจนลูกน้องไม่กล้าเข้าใกล้


3. ต้องสร้างลักษณะของผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เช่น การแต่งกาย บุคลิกภาพ ท่าทางที่ดี มีลักษณะการเข้ากับคน กิริยามารยาทเรียบร้อย ตลกขบขัน เบิกบาน ความกระตือรือร้น คือ มีชีวิตจิตใจ ไม่เซื่องซึม หรือมึนชา มีความเบิก-บาน แจ่มใส


4. ต้องไม่ทำตัวเด่น หรือด้อยเกินไป การทำตัวเด่นไปทำให้คนอื่นดูด้อยค่า เพราะฉะนั้น นักบริหารควรไม่ทำตัวเด่นเกินไป เพราะจะทำให้คนอื่นๆ อิจฉา ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารไม่ควรทำตัวด้อยเกินไป ด้อยจนไร้คุณค่าทำให้ลูกน้อง ขาดความเชื่อถือ ศรัทธา


5. ต้องมีอารมณ์หนักแน่น เก็บความรู้สึกได้ ธรรมชาติของคนเรา มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีรัก ซึ่งเป็นธรรมดาของความเป็นมนุษย์ แต่ นักบริหารที่เก่ง มักจะต้องเก็บอารมณ์เก่ง โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ เพราะถ้าเกิดหลุด เกิดโกรธแล้ว บางครั้งทำให้งานใหญ่เสียได้


6. ต้องให้ความช่วยเหลือ ให้เกียรติ ให้อภัย ผู้อื่น คนที่จะเป็นผู้บริหารหรือเป็นคนเหนือคน จะต้องให้ความช่วยเหลือคนอื่น เนื่องจากสังคมจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ด้วยการช่วยเหลือกันและกัน ผู้บริหารจะต้องให้เกียรติผู้อื่น ต้องให้เกียรติลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ในขณะเดียวกันต้องรู้จักให้อภัยแก่ผู้อื่น คนทุกคนในโลกนี้ ไม่มีใครไม่เคยทำผิด ดังนั้น เมื่อลูกน้องทำผิด คนอื่นทำผิด ผู้บริหารจำเป็นจะต้องรู้จักให้อภัยแก่เขา
สรุปได้ว่า นักบริหาร ที่ประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี คือ การมีบุคลิกภาพทั้งภายนอกและภายในที่ดี การมีทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้คนทั้งทางภาษาคำพูดและภาษาท่าทาง การมีความเข้าใจธรรมชาติ ความต้องการของคนเรา การควบคุมตัวเอง มีจิตวิทยาในการบริหาร รวมถึงบทบาทหน้าที่ และลักษณะงานที่ตนมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่


งานบริหาร จำเป็นต้องมีความอดทน


งานบริหาร ต้องอาศัยความต่อเนื่อง


นักบริหาร จำเป็นต้องมีหัวใจรักและทุ่มเทในงานบริหาร

...
  
การจัดการเวลา
การจัดการเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลาเท่ากันคือ 1 วัน มี 24 ชั่วโมง แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักที่จะสร้างผลงานได้มากกว่าคนธรรมดา บุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีเวลามากกว่าพวกเราหรือ คำตอบคือ เปล่าเลย คนเรามีเวลาเท่ากันแต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการ จัดการเวลา
หากไม่สามารถจัดการเวลาได้ ท่านก็ไม่สามารถจัดการชีวิตของตนเองได้ การจัดการเวลาจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดแจงตัวเอง เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นยาก ผู้ที่จะจัดการเวลาให้ได้ดีจำเป็นจะต้องมี วินัยสูง หากว่าไม่มีการจัดการเวลา ชีวิตของเราจะสร้างผลงานได้น้อยมาก
สำหรับคนที่จะจัดการเวลาให้ได้ดี มักเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิต เช่น เขาอยากเป็นนักเขียนระดับประเทศ , เขาอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ฯลฯ หากว่าคนเรามีเป้าหมายชีวิต เขาก็จะเกิดการพัฒนาตนเอง เขาก็จะเกิดการเรียนรู้ เขาจะรู้จักคุณค่าของเวลาและเขาจะเป็นคนที่รู้จักจัดการเวลาของตนเอง ดังนั้น เป้าหมาย แรงจูงใจมีความสำคัญมากต่อการจัดการเวลาของคนเราแต่ละคน
คนที่จัดการเวลาได้ดีคือคนที่รู้จักการเรียงลำดับก่อนหลังของงานที่ตนเองทำ งานแต่ละงานมีความสำคัญมากน้อยที่แตกต่างกัน คนที่จัดการเวลาเป็น มักจะให้ความสำคัญกับงานที่สำคัญมากที่สุดก่อนแล้วจะทำงานที่สำคัญลดน้อยลงไปตามลำดับ
คนที่จัดการเวลาเป็น มักมีเครื่องมือช่วย เช่น ปฏิทิน , ไดอารี่ , สมุดโน้ต เป็นต้น อีกทั้งต้องทำรายการในเรื่องที่จะต้องทำในอนาคต วันพรุ่งนี้ สัปดาห์นี้ ไว้ในเครื่องมือต่างๆ เพื่อที่จะลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ อีกทั้งควรใช้กฎของพาร์กินสัน คือกำหนดเส้นตายของงานที่ต้องการทำให้เสร็จ
ทำไมจึงต้องมีการจัดการเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เวลาเมื่อผ่านไปแล้วย้อนคืนมาอีกไม่ได้ ,เวลามีจำกัดไม่สามารถหาซื้อเพิ่มได้ , เวลามีคุณภาพที่แตกต่างกัน เช่น เวลากลางคืน เวลากลางวัน , เวลามีค่าเสียโอกาส หากเราเอาช่วงเวลาหนึ่งไปทำงานอย่างหนึ่งเราก็จะเสียโอกาสในการทำเรื่องอื่นๆไปด้วย เป็นต้น
คนที่รู้จักจัดการเรื่องของเวลาต้องรู้จัก การปฏิเสธ ในชีวิตประจำวัน เรามักจะต้องเสียเวลาไปกับเรื่องของคนอื่นๆ เป็นจำนวนมาก เช่น พูดคุยกัน นินทากันในเรื่องของคนอื่นๆ ช่วยผู้อื่นหรือเป็นธุระให้กับคนอื่น ซึ่งหากว่าเราวิเคราะห์ดูแล้ว ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ ทำให้เราเสียเวลา อีกทั้งมีผลกระทบกับเป้าหมายที่เราวางไว้ เราก็ควรที่จะปฏิเสธ แล้วกลับไปทำงานใช้เวลาให้ตรงกับเป้าหมายในชีวิตของเรา
ผลดีของการจัดการเวลา คือ จะทำให้เราทำงานได้เสร็จตรงตามกำหนดที่ได้รับมอบหมาย , ทำให้ทำงานหลายๆสิ่งในเวลาเดียวกันได้ เช่น ตอนอาบน้ำ เราสามารถนำเทป VCD วิชาการ ความรู้ต่างๆ ไปฟังด้วย , ทำให้ทำงานเป็นระบบมากขึ้น เมื่อเรารู้จักคุณค่าของเวลา เรามักจะจัดระบบต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น จัดระบบห้องสมุดขึ้นภายในบ้านหากว่าเราเป็นนักเขียน ก็จะช่วยให้เราหาหนังสือเพื่อใช้เป็นข้อมูลได้ง่ายขึ้น เสียเวลาน้อยลง เป็นต้น
ผลเสียของการไม่จัดการเวลา คือ ทำงานได้น้อย สร้างผลงานได้น้อยกว่าคนที่รู้จักจัดการเวลา , ทำงานเสร็จไม่ทันตามกำหนดเวลาที่จะต้องส่ง , ทำงานขาดประสิทธิภาพ งานขาดความเรียบร้อย ต้องมีความเครียดตลอดเวลา เพราะต้องทำงานเร่งด่วนอยู่บ่อยๆ ทำให้เกิดความเครียดในการทำงาน
สุดท้ายขอฝากแง่คิดว่า “ ช่องว่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและคนธรรมดา คือ การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือของเวลา

...
  
Marketing Environment
Marketing Environment
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ก่อนที่จะประกอบธุรกิจ ก่อนที่จะทำการตลาดในยุคปัจจุบัน การศึกษา สิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาด(Marketing Environment) มีความสำคัญมาก เพราะการศึกษาสิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาดจะทำให้เราได้รู้ถึง สถานการณ์ต่างๆในการแข่งขัน ยิ่งถ้าเรามีข้อมูลของผู้แข่งขันมาก ถ้าเรารู้ถึงสภาพเศราฐกิจของโลกของประเทศมาก ก็จะยิ่งทำให้เราประเมินสถานการณ์ต่างๆได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น และจะทำให้เราตัดสินใจในการทำการตลาดและทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับสิ่งแวดล้อม เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Factors) คือ ปัจจัยต่างๆที่เราสามารถควบคุมได้ จัดการได้ เช่น การจัดการทางด้านการเงิน(Financial) การจัดการทางด้านการผลิต(Production) การจัดการทางด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Resource) การจัดหาที่ตั้งของบริษัท(Company Location) การวิจัย (Research) รวมไปจึงถึงการจัดการทางด้าน 4P คือ ผลิตภัณฑ์(Product) ราคา(Price) ช่องทางในการจัดจำหน่าย(Place) การส่งเสริมการตลาด(Promotion)
ซึ่งปัจจัยสถาพแวดล้อมภายในเหล่านี้ หากบริษัทสามารถบริหาร จัดการได้ดีก็จะส่งผลกระทบในด้านบวก ต่อการสร้างจุดแข็ง(Strategy)ของบริษัท และถ้าหากว่า บริษัท บริหารหรือจัดการได้ไม่ดีก็จะส่งผลกระทบทางด้านลบจนการเป็นจุดอ่อน(Weakness)ของบริษัทได้เช่นกัน
2.สิ่งแวดล้อมภายนอก คือ ปัจจัยต่างๆที่เราไม่สามารถควบคุมได้ บริหารจัดการได้ซึ่ง ขอแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับ จุลภาค(Micro) กับ ระดับ มหาภาค( Macro)
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับจุลภาค(Micro External Environment)
1.คู่แข่งขัน(Competitors) คือ เป็นปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในยุคปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจมีความรุนแรง จึงทำให้คู่แข่งขันในวงการธุรกิจเดียวกัน ดำเนินธุรกิจและใช้กลยุทธ์ต่างๆคล้ายคลึงกัน เช่น คู่แข่งขันทางธุรกิจใช้วัตถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกัน มีช่องทางจัดจำหน่ายแห่งเดียวกัน ตั้งราคาเดียวกัน มีกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเดียวกัน มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมือนๆกัน มีการใช้สื่อโฆษณาเดียวกัน เป็นต้น
2.กลุ่มพ่อค้าคนกลาง(Marketing Intermediaries) เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น บริษัทของเราได้ทำการส่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ให้แก่ 7-11 แต่อยู่มาวันหนึ่ง 7-11 ไม่รับจัดจำหน่ายให้แก่เรา ช่องทางจัดจำหน่ายจึงมีความสำคัญในการทำธุรกิจ ซึ่งในยุคปัจจุบัน หลายบริษัท จึงหันมา ซื้อบริษัทที่จัดจำหน่าย เพื่อเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายของตนเอง เช่น บริษัท CP ผลิตสินค้าประเภทอาหารเพื่อจำหน่าย ต่อมา บริษัท CP จึงได้ซื้อบริษัท แม็คโคร และ บริษัท 7-11 มาเป็นของตนเอง เป็นต้น
3. ผู้จัดหาวัตถุดิบ (Supplier) มีความสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะถ้าหากผู้จัดหาวัตถุดิบไม่ยอมส่งวัตถุดิบมาให้เราผลิต แต่กลับส่งให้กับคู่แข่งขัน บริษัทของเราก็คงจะเดือดร้อนเป็นอันมาก
4.ผู้บริโภค(Customer) ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบัน ผู้บริโภคมีสิทธิ์ เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้มากขึ้น สามารถเลือกราคาได้ตามต้องการ และสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตลอดเวลา
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับมหาภาค(Macro External Environment)
1.เศรษฐกิจ Economic ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางด้านการตลาดของบริษัทอย่างแน่นอน ตัวอย่าง ถ้าเศรษฐกิจประเทศและระดับโลกตกต่ำ ก็จะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้กำไรของบริษัทลดตัวลง และทำให้บริษัทต้องลดต้นทุน เช่น มีการเลิกจ้างงาน มีการลดกำลังการผลิต เป็นต้น
2.ประชากรศาสตร์(Demography) จำนวนประชากร มีผลกระทบต่อผลกำไรและขาดทุนของบริษัท เช่น ประชากรไทยมีประมาณ 62 ล้านคน แต่ในปัจจุบันมีการเปิด AEC หรือ Asean Economics Community คือ การรวมตัวของ 10 ประเทศ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันจึงทำให้บริษัทสามารถขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้แก่ประชากรของ Asean ได้ถึง 636 ล้านคน เลยทีเดียว
3. การเมืองและกฏหมาย (Political and Legal) เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากมาก ทั้งนี้ แล้วแต่การเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศไทยมีการปกครองในระบบประชาธิปไตย แต่อยู่มาวันหนึ่งมีการปฏิวัติ รัฐประหารโดยทหาร จึงมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและกฎหมายโดยรวมของประเทศ เป็นต้น
4.เทคโนโลยี(Technology) ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าในอดีต ไม่ว่าเทคโนโลยีทางการเกษตร เรามีการตัดต่อพันธุ์กรรมในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยียานยนต์ เรามีเครื่องยนต์กลไกใหม่ๆ ในการช่วยทำงานด้านการเกษตรและอุตสหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ เรามีระบบอินเตอร์เน็ตที่ทำให้เราทำงานอย่างได้สะดวก สบายและรวดเร็วขึ้น เช่นมีการค้าขายผ่านเว็ปไซค์ มีการติดต่อกันผ่าน E-mail มีการพูดคุยกันผ่านช่องทางต่างๆ ได้ในราคาที่ถูกและดีขึ้นกว่าในอดีต เช่น การประชุมกลุ่มผ่านไลน์ ผ่าน Facebook เป็นต้น
5.สถาวการณ์โลก เช่น ภาวะโลกร้อน ธรรมชาติ ฤดูกาล สภาพแวดล้อม อากาศ น้ำ ดิน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ยุคนี้ ฤดูกาลต่างๆ มักจะไม่นิ่งหรือไม่ตรงตามกาลเหมือนในอดีต บางช่วงฤดูหนาวกลับร้อน ฤดูร้อนกับหนาว บางประเทศไม่เคยมีหิมะตกแต่ในปัจจุบันกลับมี เป็นต้น
ดังนั้น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกจะทำให้เราได้รู้ถึง การสร้างโอกาส (Opportunity) ได้ และสามาถทำให้เราวิเคราะห์ถึงอุปสรรค(Threats)ในการทำการตลาดได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น
ฉะนั้น การดำเนินธุรกิจ การดำเนินการตลาดในยุคปัจจุบัน เราควรเรียนรู้ เราควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางด้านการตลาดด้วย จึงจะทำให้เราดำเนินกลยุทธ์ทางด้านการตลาดได้ดียิ่งขึ้น และถ้าเป็นไปได้ นักการตลาดควรทำการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดโดยการประยุกต์ทฤษฏี Swot ใช้อย่างละเอียด ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดได้ดีกว่านักการตลาดที่ไม่มีหลักการในการคิดหรือไม่มีหลักการในการดำเนินธุรกิจ แต่ ดำเนินการตลาดหรือดำเนินธุรกิจไปตามแบบยถากรรม



...
  
เทคนิคในการพูด
เทคนิคการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


อันวาจา พาที นี้เป็นเอก

จะปลุกเสก ให้คนชอบ ตอบสนอง

จะต้องพูด ให้สนุก สุขสมปอง

ขอรับรอง สำเร็จกิจ พิชิตชัย


นักพูดที่มีชื่อเสียงหลายคนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ มักมีเทคนิคแตกต่างกัน

อ.ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เจ้าตำรับทอล์คโชว์เมืองไทยคนแรกๆ อ.ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ มักจะเขียนสิ่งที่น่าสนใจหรือสิ่งที่ใช้ประกอบการพูดลงในกระดาษแผ่นเล็กๆ แทบทุกวัน เมื่อถึงเวลาแสดงทอล์คโชว์ ก็จะเปิดกล่องแล้วนำมาเขียนบทพูด

ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย มักให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมคำพูด ท่านจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่ง เวลาอ่านเจอคำพูดของใครที่น่าสนใจหรือที่สามารถจะนำไปใช้ในอนาคตได้ ท่านก็จะจดเป็นข้อมูล แล้วท่านก็เขียนโครงเรื่อง ซ้อมพูด อัดใส่เทป เปิดฟังแล้วแก้ไข เมื่อแก้ไขจนท่านพอใจถึงได้นำออกไปพูด


เดล คาร์เนกี้ อาจารย์สอนด้านการพูดระดับโลกเคยซ้อมบทพูดต่อกองหญ้า ซ้อมพูดขณะถอนหญ้า หรืออดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ลินคอล์น ซ้อมพูดขณะอยู่บนหลังม้า ขณะที่ขี่ม้าเดินทางเป็นระยะทางไกลๆ

บางคนก็ฝึกพูดต่อหน้ากระจกแล้วก็ได้ผล ในวันนี้กระผมจึงอยากจะเขียนถึงเรื่องเทคนิคการพูด

1. การพูดที่ดีต้องเน้นไปที่ตัวผู้ฟังเป็นหลัก ควรพูดเรื่องที่ใกล้ตัวผู้ฟัง ควรพูดให้ตรงกับวัยของผู้ฟัง เช่น การพูดให้วัยรุ่นควรพูดเรื่องที่สนุกสนาน พูดให้วัยทำงานก็ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องอาชีพ ความก้าวหน้าในอนาคต วัยชราหรือวัยสูงอายุ ก็ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องศาสนา เรื่องของสุขภาพ


2. การพูดที่ดีต้องยกตัวอย่างให้มากๆ บางครั้งเรื่องที่พูดจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนามธรรมเพราะฉะนั้น นักพูดที่มีประสบการณ์สูง มักจะยกตัวอย่างประกอบการพูดมากๆ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ ที่สำคัญการยกตัวอย่างประกอบควรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูดด้วย ไม่ควรนำตัวอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องมาประกอบกับหัวข้อเรื่องที่บรรยายถึงแม้ว่าตัวอย่างนั้นจะสนุกหรือเป็นตัวอย่างที่ดีก็ตาม


3. การพูดที่ดีต้องสอดใส่อารมณ์ขัน โดยเฉพาะในสังคมไทยเรา นักพูดที่มีอารมณ์มักเป็นที่นิยม เป็นที่ศรัทธาต่อผู้ฟัง การมีอารมณ์ขันมักช่วยให้การพูดเกิดการผ่อนคลาย การมีอารมณ์ขันสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี การมีอารมณ์ขันมักจะสร้างเสน่ห์ให้แก่ตัวผู้พูดเอง


4. การพูดที่ดีต้องครบเครื่อง หมายถึง มีบทกลอนประกอบการพูดบ้าง มีเพลงประกอบการพูดบ้าง มีคำคมประกอบการพูดบ้าง ดังนั้นผู้รักที่จะเป็นนักพูดควรอ่าน ควรท่อง บทกลอน คำคม ควรฝึกร้องเพลงประกอบการพูด เพื่อให้การพูดของตนเกิดความหลากหลายผู้ฟังจะได้ไม่เบื่อหน่ายแต่จะสนุกเมื่อได้ฟังเราพูด


5.การพูดที่ดี ควรมีน้ำเสียงต่างๆประกอบการพูดตามสถานการณ์ต่างๆ ถ้อยคำบ่งบอกถึงความหมาย แต่น้ำเสียงก่อให้เกิดการหวั่นไหวได้ เช่น เราไล่สุนัข ไป ไป ไป ด้วยเสียงเบาๆ สุนัขมักไม่กลัวแต่กลับเดินมาหาเรา แต่ถ้าเราเรียกสุนัข มา มา มาเนี่ย ด้วยเสียงดัง สุนัขมักกลัวกลับไม่มาหาเรา เพราะอะไรครับ ก็เพราะน้ำเสียงของเรานั่นเอง

7. การพูดที่ดี ต้องเป็นตัวของตัวเอง เราอาจจะประทับใจนักพูดคนใดก็ตาม เราอาจจะเรียนรู้จากนักพูดคนใดก็ตาม เราอยากเป็นเหมือนใครก็ตาม แต่สุดท้าย เราต้องเป็นตัวของเราเอง เราอาจจะเลียนแบบนักพูดคนใดก็ตามที่เราชอบ เช่น อาจารย์จตุพล ชมพูนิช เราเลียนแบบ อาจารย์จตุพล ชมพูนิช ได้เหมือนที่สุด เราก็เป็นที่สอง ดังนั้น จงเป็นตัวของตัวเอง แล้ว คุณจะเป็นที่หนึ่งในแบบฉบับของคุณเอง

คนคิดน้อย พูดมาก


คนพูดมาก ทำน้อย


พูดดี มิได้หมายความว่าทำดี


พูดเก่ง มิได้หมายความว่าทำเก่ง


โง่หรือฉลาด อาจทราบได้จาก คำพูด

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.