หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ทำไมคนดีๆ จึงลาออก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

ทำไมคนดีๆ จึงไม่ยอมอยู่ในองค์กร


ถามว่าทุกองค์กรต้องการคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนมีฝีมือ และคนมีคุณภาพ มาอยู่ในองค์กรหรือไม่

ขอตอบว่า ทุกองค์กร อยากที่จะมีคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนมีฝีมือ และ คนมีคุณภาพ เข้ามาอยู่ในองค์กรทั้งสิ้น บางองค์กร ถึงขนาดจ้างหรือให้เงินเดือน คนเหล่านี้ สูงมากๆ เพื่อจูงใจให้คนเหล่านี้อยู่ในองค์กร

แต่ทำไม เมื่อคนเหล่านี้ เข้ามาอยู่ในองค์กรแล้ว แค่ระยะเวลาหนึ่งคนเหล่านี้ก็ขอ ลาออกไป สาเหตุที่คนมีคุณภาพเหล่านี้ ต้องออกไป อาจมีอยู่หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักของคนทำงานให้องค์กรไม่นานก็คือ เรื่องของคนนั่นเอง และปัญหาโดยมากที่เกิดมักเกิดจากหัวหน้างานนั่นเอง ในวันนี้ เราจะมาพูดลักษณะที่ไม่ดีของหัวหน้างานที่ทำให้ลูกน้องไม่อยากอยู่ร่วมองค์กร มีดังนี้

1.ขาดความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คำพูด การกระทำและหน้าที่การงาน


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน คำพูดสำคัญมากครับ ดังนั้น ก่อนที่จะสัญญากับลูกน้องเรื่องอะไรต้องมั่นใจว่าทำได้เสียก่อน เช่น การรับปากว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ แล้วไม่เลื่อนจึงถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบทางการพูด หรือ รับปากว่าจะให้ผลประโยชน์ต่างๆ แล้วไม่ให้ (โบนัส ขึ้นเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง) แล้วไม่ให้ จึงถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบทางคำพูดอย่างยิ่ง แล้วในที่สุดจะไม่มีลูกน้องเชื่อถือ


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน ต้องมีความรับผิดชอบทางการกระทำ แต่หัวหน้างานที่ไม่ดีมักจะรับแต่ชอบแต่ไม่ชอบรับผิด คือ สิ่งไหนดีตัวเองบอกว่าเป็นผลงานของตนเอง แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็จะโยนให้ลูกน้อง นี่เป็นลักษณะที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งของหัวหน้างาน


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน เราจะเห็นว่าผู้เป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคนที่ดี ต้องรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างสูง บางครั้งเราจะเห็นว่าถ้างานไม่เสร็จ เขาจะทำจนเสร็จบางครั้ง ทำงานจน ตี 1-ตี 2 เลยก็มีเพื่อให้งานนั้นเสร็จ


2.หัวหน้างานที่ดี ต้องมีความสามารถในการบริหาร คือ ต้องมีความรู้ความสามารถในด้านการบริหารงาน ไม่โยนให้ลูกน้องทำแต่ตัวเองไม่ยอมทำ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารคน การบริหารงาน และการบริหารเงิน


3.หัวหน้างานที่ดี ต้องรู้จักสอนงานลูกน้อง หัวหน้างานบางคนใจไม่กว้าง คับแคบ ไม่ยอมสอนงานลูกน้อง หรือ สอนงานให้ไม่หมด เนื่องจากกลัวลูกน้อง ได้ดีกว่า รู้มากกว่า การไม่สอนงานลูกน้อง ทำให้คนองค์กรไม่มีคุณภาพ หรือพัฒนา จึงไม่สามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นได้


4.หัวหน้างานที่ดีไม่ควรสร้างความแตกแยกในองค์กร เพราะ ผู้บริหารหรือหัวหน้างาน บางคนเชื่อว่าการสร้างความแตกแยก จะทำให้การบริหารงานนั้นง่ายขึ้น เพราะลูกน้องจะไม่รวมตัวกันกดดัน หัวหน้างาน


5.หัวหน้างานที่ดีต้องรู้จักพัฒนาตนเองไม่ว่าทั้ง การงานและความรู้ อีกทั้งต้องกระตุ้นให้ลูกน้องพัฒนาตนเองด้วยทั้งการงานและความรู้ ดังนั้น หัวหน้างานต้องเป็นแบบอย่างที่ดี


สุดท้ายก็ขอฝากแง่คิดเกี่ยวกับคนไว้ดังนี้ครับ


ฉลาดและขยัน เป็นนายคน


ฉลาดและขี้เกียจ เป็นที่ปรึกษา


โง่และขี้เกียจ เป็นคนรับใช้


โง่และขยัน เป็นอะไรก็ไม่ได้





























...
  
5 ส. สร้างสุขในการทำงาน
5 ส. สร้างสุขในการทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
-ในช่วงชีวิตของคนเราทุกคน ช่วงเวลาในการทำงานถือว่าเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-50 ปี ทั้งนี้แล้วแต่บุคคล ดังนั้น การทำงานจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ทรมานในการทำงาน เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ ในวันนี้กระผมมีเทคนิค 5 ส. มาฝากกัน
ส.ที่ 1 สดใส การทำงานในทุกๆวัน เราควรทำตัวเองให้ สดใส สดชื่น แจ่มใส มองโลกในแง่ดีหรือประโยชน์ที่ได้รับจากงาน การเริ่มต้นทำงานในทุกๆ เช้า ควรเริ่มต้นด้วย จิตใจที่เบิกบาน ตื่นตัวในการทำงานตลอดเวลา เมื่อเกิดความเครียดก็ควรพักผ่อน นั่งสมาธิ ออกกำลังกายเพื่อให้เกิดความสดใสในการทำงาน
ส.ที่ 2 สัมพันธ์ เราต้องยอมรับว่าในการทำงานทุกๆวัน ในองค์กรหรือนอกองค์กร เราต้องทำงานกับผู้คน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน จึงเป็นสิ่งที่ควรยึดถือปฏิบัติ เพราะคนเราหากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็จะทำให้เกิดความร่วมมือกันในการทำงาน สำหรับการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เราควรฝึกฝนและสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในที่ทำงาน เช่น การจำชื่อบุคคลต่างๆ ทั้งในองค์กรและนอกองค์กรให้ได้ พยายามเรียกชื่อเขาให้ถูกต้อง เพราะคนเราโดยมากมักสนใจ พึงใจในชื่อของตนเอง , รู้จักยกย่องผู้อื่น เพราะคนเราชอบคนที่ใช้คำพูดสรรเสริญ ชมเชยตนเองมากกว่าคนที่ชอบนินทา , พยายามเป็นนักฟังที่ดี คนเรามักชอบคนที่ตั้งใจฟังตนเองมากกว่า พูดขัดคอ และจะให้ดีควรพูดหรือพยายามสนทนาในเรื่องที่คู่สนทนาให้ความสนใจ เป็นต้น
ส.ที่ 3 สื่อสาร การทำงานร่วมกันของคนเรา การสื่อสารเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ไม่ว่า การสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน ดังนั้น เราควรฝึกฝนและระมัดระวังเรื่องของการ คำพูด การสื่อสาร เช่น เราควรใช้คำพูดที่สร้างสรรค์มากกว่าการใช้คำพูดที่ทำลายกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ สร้างบรรยากาศในการทำงาน เช่น ใช้คำว่า “ สวัสดี” เมื่อต้องการทักทายกัน ใช้คำว่า “ ขอโทษ” หากว่าเราทำผิด ใช้คำว่า “ ขอบคุณ” เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ส.ที่ 4 สนใจงาน การที่คนเราจะมีความก้าวหน้าในการทำงาน ความสนใจงาน การรู้จักเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการสนใจงาน จะทำให้เราเกิดสมาธิ เกิดความมุ่งมั่น เกิดการเอาใจใส่ในงานที่ตนเองทำ เมื่อเกิดความสนใจในงานที่ทำ รู้จักเรียนรู้ รู้จักลำดับความสำคัญของงานก่อนหลัง และพัฒนาตนเองแล้ว ก็จะเกิดความก้าวหน้าในการทำงาน อีกทั้งการสนใจในงานที่ทำจะทำให้เราพร้อมที่จะทำการสำรวจและประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา ว่าเรามีจุดอ่อนจุดแข็งอะไร ควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในด้านใดบ้าง
ส.ที่ 5 สุขใจ ดังที่ได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นแล้วว่า ช่วงเวลาของคนเรา ช่วงเวลาในการทำงานถือว่ายาวนานที่สุด ฉะนั้น เราต้องทำงานที่เรารัก เราต้องทำงานที่เราชอบ เราจึงจะเกิดความสุขใจ แต่หากว่าเราไม่สามารถทำงานที่เรารักได้ เราก็ควรปรับตัวให้ รักในงานที่เราทำในปัจจุบัน เราก็จะเกิดความสุขใจ สบายใจในการทำงาน
สุดท้ายนี้ การสร้างความสุขในการทำงานยังมีปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย เช่น การสร้างบรรยากาศในห้องทำงาน โต๊ะ เก้าอี้ แฟ้มเอกสาร หนังสือ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน ควรเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้ง หลักการในการทำงานที่ดี ไม่ใช่การทำงานหนัก แต่ควรทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางคนทำงานหนักเพียงแค่วันสองวัน แล้วหยุดยาว ตรงกันข้าม การทำงานอย่างสม่ำเสมอ จะได้ผลงานที่มากกว่า
และสิ่งที่สำคัญ ควรแบ่งเวลาหรือบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลขึ้นในการดำรงชีวิต เช่น เวลาสำหรับครอบครัวเวลาสำหรับการพักผ่อน เวลาสำหรับการทำงานอดิเรก เวลาสำหรับการเข้าสังคม เป็นต้น

...
  
การบริหารเวลา : ทำทันทีหรือททท.
การบริหารเวลา : ทำทันทีหรือททท.
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ความคิดที่ดีๆของคนเรามากมาย ไม่สามารถออกมาเป็นรูปธรรมหรือออกมาเป็นผลงานได้ก็เนื่องมาจากการไม่ยอมที่จะลงมือทำทันที หลายคนนึกอยากที่จะเขียนหนังสือ อยากที่จะเขียนบทความ อยากที่จะเรียนต่อ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ก็เนื่องมาจากการผัดวันประกันพรุ่ง
การผัดวันประกันพรุ่ง การไม่ยอมที่จะลงมือทำทันทีนี้ทำให้เราเสียโอกาสที่สำคัญๆของชีวิตไป แต่สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเขามีความคิดที่ดีๆ เขาจะเริ่มลงมือทำทันที ไม่ปล่อยให้โอกาสหรือความคิดที่ดีๆนั้นผ่านพ้นไป
นักธุรกิจใหญ่ๆที่ประสบความสำเร็จ หลายๆท่านเมื่อเห็นโอกาสแล้ว เขาจะไม่รีรอที่จะเพิ่มกำลังการผลิต เขาไม่รีรอที่จะหาเครื่องทุ่นแรงมาช่วยเช่นเทคโนโลยีต่างๆ เขาจะสั่งซื้อและใช้เงินลงทุนทันที ตรงกันข้ามหลายๆคน อยากที่จะเปิดร้านทำธุรกิจสักแห่ง ไม่ว่าร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า เขาจะคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ไม่สามารถเปิดร้านได้ เพราะมัวแต่เสียเวลากับการคิดแต่ไม่ยอมที่จะลงมือทำ
ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง ขอให้ท่านจงลงมือทำทันที ไม่ต้องรีรอ หากว่าท่านมั่นใจจงเริ่มลงมือทำ เพราะการลงมือทำจะทำให้ท่านเห็นผลงาน และเมื่อท่านเห็นผลงานท่านก็จะเกิดความภาคภูมิใจ อีกทั้งเกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ตรงกันข้ามการชักช้า รีๆรอๆ มักจะทำให้ความกระตือรือร้นของท่านจืดจาง เมื่อเวลาผ่านไปท่านก็จะมีความรู้สึกไม่อยากที่จะทำมัน หลายๆท่านกลัวที่จะล้มเหลว อย่าได้กลัวมันเลยเจ้าความล้มเหลวนี่ เพราะความล้มเหลวจะสอนให้เราเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น แข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม
การผัดวันประกันพรุ่งจึงเป็นอุปสรรคต่อการบริหารเวลา การผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้เกิดจากสิ่งอื่นใดเลย แต่เกิดจากตัวของเราเองนี่แหละ เพราะตัวของเราเอง ชอบมีข้ออ้างและเหตุผลต่างๆ เช่น ยังมีเวลาอีกหลายวัน , เดี๋ยวค่อยทำ , พรุ่งนี้ค่อยทำ เป็นต้น
หลายๆท่านเห็นงานที่มีมากแล้วไม่อยากลงมือทำ เช่น การเขียนหนังสือสักเล่มซึ่งมีจำนวน 200 หน้า ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่อยากทำเพราะการจะเขียนหนังสือให้ครบ 200 หน้า ต้องใช้เวลานานหลายเดือน แต่เราสามารถทำได้โดยอาศัยเทคนิคดังนี้ คือ การซอยงานใหญ่ๆให้น่าทำขึ้น
หากหนังสือของเรามี 200 หน้า เราสามารถแบ่งออกเป็นบทๆหรือตอนๆ ได้ไหม เมื่อเราแบ่งออกเป็น 20 บท หรือ20 ตอน เราก็จะได้บทหรือตอนละ 10 หน้า แล้วเราจึงเริ่มลงมือเขียนทีละตอน ทีละตอน จนได้หนังสือออกมาเป็นเล่ม
การซอยงานใหญ่ๆ ให้น่าทำขึ้นหรือการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตอนๆ นี้ จะทำให้เราเกิดกำลังใจทำงาน กล่าวคือ เมื่อเราเขียนไปได้ 1 ตอนแล้ว เราก็อยากที่จะเขียนตอนต่อไป แทนที่จะปล่อยเวลาให้ช้าหรือคงค้างงานเอาไว้
จงเพาะนิสัยทำทันทีหรือททท. แล้วท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ดังคำพูดของ เดล คาร์เนกี ที่ว่า “เมื่อตัดสินใจแล้วปฏิบัติทันที จงลงมือทำเดี๋ยวนี้”
...
  
อารมณ์ขันกับนักพูด
ทำไมนักพูดจึงต้องมีอารมณ์ขัน

โดย..อาจารย์จตุพล ชมภูนิช

วงการนักพูดบ้านเราในขณะนี้ ถ้าเอ่ยชื่อ “จตุพล ชมภูนิช” หลายคนต้องร้องอ๋อ (แต่ไม่ใช่ อ๋อ…เหรอ) เพราะหลายคนบอกว่าเขาเป็นนักพูด นักเขียน นักฝึกอบรม และล่าสุดเป็นพิธีกร แต่เชื่อหรือไม่ว่า อาชีพทั้งหมดที่บอกไปนั้น เริ่มต้นจากการ “พูด” แทบทั้งสิ้น”

นักพูดไม่จำเป็นต้องพูดเก่งมาตั้งแต่เกิด และนักพูดก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้ใครรู้ว่าตัวเองพูดเก่ง เขาผู้นี้ก็เช่นกัน เขาเริ่มการพูดเป็นทางการครั้งแรกในชมรมโต้วาทีในมหาวิทยาลัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องเริ่มต้นจากความชอบก่อนเป็นอันดับแรก และจากนั้นเราจะมาดูว่าเขาเริ่มต้นเป็นนักพูดมืออาชีพได้อย่างไร

“…ก็ฝึกตัวเองก่อนนะ เวลาเดินเข้าบ้านก็พูดเสียงดัง ๆ ตะโกนไปเลย เพราะซอยแถวบ้านไม่ค่อยมีคน ก็เดินเข้าไปก็พูดไปด้วย พอสักพักก็ได้เริ่มฝึกฝนวิธีคิด วิธีการพูดโดยไม่ต้องเตรียมตัว มันก็ได้ประสบการณ์ขึ้นมาส่วนหนึ่ง…

…จากนั้นก็มาฝึกพูดในรั้วมหาวิทยาลัย ครั้งแรกนี่ไม่ประสบความสำเร็จ คือไม่มีคนฟัง ไม่มีคนชอบ อะไรก็ไม่รู้นะ (หัวเราะ)… นี่คือในช่วงแรก ๆ ทำไม่ได้ แต่ผมเป็นคนที่ถ้าทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งพยายามขึ้น ไม่ใช่ว่าเลิก ก็แสดงว่าความพยายามของเรายังไม่ถึง เรายังไม่ให้เวลาเต็มที่ ความสามารถเรายังไม่พอ ก็ต้องเพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไปให้มันด้วย เลยกลับมาฝึกใหม่…”

ตอนนั้นใครเป็นนักพูดในดวงใจ?

“…ตอนนั้นรุ่นพี่ ๆ ในมหาวิทยาลัยที่พูดเก่ง ๆ ก็มีหลายคน เราก็ดู ๆ แล้วก็ลองศึกษาว่าเขามีวิธีการพูดอย่างไร ทำไมคนถึงสนุก คนถึงฮาเฮ ก็มีหลายคนนะ แต่ว่าแต่ละคนก็หยิบมาอย่างละเล็กละน้อย อย่างคนนี้พูดเสียงหนักแน่นดี คนนี้มีลูกเล่นลูกฮาดีนะ…

…จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ผมก็คอยสังเกตการณ์ตลอด เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะหยิบยกของแต่ละคนมา บางคนมีไหวพริบปฏิภาณดี บางคนก็มีวิธีการพูดดี สำนวนดี ผมก็พยายามศึกษา เราจับเอามาอย่างละเล็กละน้อย ไม่ได้ถึงขนาดเลียนแบบหรือไปเอาของใครมาเป็นแบบอย่าง…”

ทุกวันนี้อาจารย์มีแบบฉบับในการพูดของตนเองอย่างไร?

“…ผมว่าเป็นตัวของผมเองนะ คือจะนำสิ่งร่วมสมัยมาใช้ เช่น เพลงโฆษณา ละคร อะไรต่าง ๆ เอามาประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ แล้วก็นำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันที่เราอาจมองข้ามไป มาหยิบยกให้เห็นเด่นชัดขึ้น คงจะเป็นอย่างนี้ คือให้มันทันสมัยมากขึ้น เข้ากับความสนใจของคนฟัง…”

อาจารย์เคยเบื่อการพูดบ้างไหม?

“…ถ้าพูดนี่ คงไม่เบื่อนะครับ เพราะปรกติอาชีพผมนี่ จริง ๆ คืออาชีพฝึกอบรม ต้องไปสอนคน ต้องไปบรรยายตามคอร์สต่าง ๆ ทีนี้คนมันเปลี่ยนตลอด พอบรรยายเรื่องนี้ไป สมมติว่า พูดเรื่องการทำงานอย่างไรให้มีความสุขสนุกกับงาน วิธีการบริหารอย่างเหนือชั้น วิธีการขายอย่างมืออาชีพ คนฟังจะเปลี่ยนเข้ามาเรื่อย ๆ ถ้าไม่เปลี่ยนคนฟัง เราก็เปลี่ยนหัวข้อ คือ เปลี่ยนข้อมูลในการบรรยายให้ผิดแผกแตกต่างกันออกไป ทีนี้ถ้าสอนในชั้นเรียน เจอนักเรียนหน้าเดิม มันก็มีโอกาสเบื่อ แต่ว่าอาชีพนี้มันเปลี่ยนเรื่อย ๆ มันสบายใจ ไม่มีโอกาสเบื่อ…”

มีการเตรียมตัวในการพูดแต่ละครั้งอย่างไร?

“…

จากวันนั้นถึงวันนี้ ๑๐ กว่าปีแล้ว อาจารย์มีพัฒนาการในการพูดอย่างไร?

“…ก็ทนทานขึ้นเยอะ (หัวเราะ)… ก็เมื่อก่อนพูดแล้วคนไม่ขำ เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ควรมีค่าแก่การอยู่ต่อ แต่หลัง ๆ นี่ไม่ฟังไม่เป็นไร จะแยกแยะดูว่าปัจจัยของการให้คนฟัง คนขำ นี่มันมีหลายอย่าง ไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว ถ้าเขาหิว เขาก็ไม่ขำแล้ว เขากินข้าวกันอุตลุด คุยกับเพื่อน เขาก็ไม่ฟังอย่างนี้… เราก็รู้ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ผมขึ้นไปพูด ผมจะวิเคราะห์ว่าวันนี้ต้องการขนาดไหน ถึงขนาดลงไปหัวเราะกลิ้งเกลือกลงกับพื้น มันกำหนดได้ บอกได้เลยนะ ถ้าเป็นบรรยายนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะเขาเตรียมกระดาษคนละแผ่นเตรียมจดสุดชีวิต แต่ที่ลำบากที่สุดคือ การทอล์คโชว์ อย่างดินเนอร์ทอล์ค กินโต๊ะจีนนี่ ถามว่าเขากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารข้างหน้า แล้วจะทำอย่างไรที่จะให้เขาทิ้งช้อนทิ้งตะเกียบหันมามองเรา หันมาฟังได้ ๔๐ นาที หรือ ๑ ชม. เป็นไปได้ยากมาก

เพราะฉะนั้นตรงนี้ผมต้องวิเคราะห์ทุกครั้งก่อนขึ้นพูดว่า เราควรจะต้องทำอย่าไรให้เขากลับมาฟังเรา แล้วงานนี้นะ โอ้โอ! คนจีนทั้งนั้น ฟังกันไม่รู้เรื่อง ก็ขอแค่หึหึก็พอ บางที่ขอแค่รอยยิ้ม บางที่ต้องเฮนะ ไม่เฮไม่ได้ กำหนดได้เลยครับ…”

ขณะพูดเคยหมดมุขบ้างไหม?

“…ไม่มีครับ ก็คือ เราจะสังเกตงานส่วนหนึ่งว่าควรจะหยิบอะไรมาเล่นบ้าง แบบฉากที่วิลิศมาหรา หรือไฟมันมืดตะคุ่ม ๆ ก็หยิบเอามาเล่นได้ เพื่อให้ใกล้ตัวเขา และเขาก็จะได้สนุกไปด้วย แล้วก็ถามสมมติไม่ไหวจริง ๆ มันก็จะมีที่เขาเรียกว่า ซูเปอร์แก๊ก คือ แก๊กที่โยนทีไร เฮทุกที ทุกที่เสมอมา แต่ต้องเอาไปปรับใช้ในแต่ละงานนะ จะใช้ในกรณีที่หินจริง ๆ ก็ต้องลองดูเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์…”

ในการพูดแต่ละครั้ง สิ่งที่นักพูดไม่ควรพูดคืออะไรบ้าง?

“…สิ่งที่ไม่ควรพูดคือ เกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องลามกอนาจาร ถ้ามันโจ่งแจ้งเกินไป ความจริงทุกคนชอบนะ แต่มันโจ๋งครึ่มเกินไป จนกระทั่งไม่เหลือไว้ให้คิด ถ้าเราไปทะลึ่งตึงตัง มันก็ไม่ถูกกาลเทศะ รวมไปถึงการพูดที่ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจหรือเอาปมด้วยคนอื่นมาเป็นอารมณ์ขัน อย่างหัวล้าน ตัวเตี้ย ตัวดำ ก็ไม่ควรพูด…”

มีความคิดเห็นอย่างไรที่นักพูดยืมมุขตลกมาใช้?

“ถ้านักพูดยืมมุขตลกมาใช้ เข้าใจว่าเป็นการล้อเลียน ผมยังยืมมาเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเราต้องดึงสื่อที่มันร่วมสมัยมาใช้ในสไตล์การพูดของผม เช่นคำว่า ท้อแท้… ไม่สบาย ซึ่งหยิบมาแค่นั้นเอง ซึ่งไม่จำเป็นที่เป็นแค่ตลก นักร้อง ดารา ใครที่ดัง ๆ แม้แต่นักการเมืองที่ชี้นิ้ว ชี้อะไรต่างๆ เขาดังเราก็หยิบยกเข้ามาประกอบการพูด ตลอกกับนักพูดนี่คนละอย่างและห่างไกล สาเหตุเพราะว่าตลกเขาใช้โจ๊ก โจ๊กแปลว่าตลก ส่วนนักพูดจะมี Sense of Humor แปลว่ามีอารมณ์ขัน ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเอาถาดมาตี มาตบกัน เพียงแต่ใช้คำพูดของเราสร้างให้เกิดมุมมองที่สนุกสนานขึ้นมาได้ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องหัวเรากลิ้ง Sense of Humor แค่อมยิ้มก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว คือพูดแล้วไม่เครียด ฟังแล้วสบาย ๆ ๑ ชั่วโมงผ่านไปอย่างไม่รู้ตัวก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ต้องตลกโปกฮาแบบทะลึ่งตึงตัง แต่เป็น Sense of Humor ซึ่งนักพูดไม่ได้มีทุกคน แต่ว่านักพูดจะใช้แล้ว ต้องเป็น Sense of Humor ไม่ใช่ตลก ไม่ใช่โจ๊ก…”

ถ้าไม่มี Sense of Humor แล้ว เป็นนักพูดไม่ได้หรือ?

“…เป็นได้ครับ แต่นักพูดแบ่งเป็นนักพูดเชิงวิชาการ นักพูดเชิงสนุกสนาน จริง ๆ นักพูดเชิงวิชาการพูดง่าย คือเรามีวิชาการอยู่กับตัว เรามีความรู้เราก็ถ่ายทอดไปตามนั้น หนังสือว่าอย่างไร เขาว่ากันอย่างไร ว่าไปตามนั้นก็จบ แต่การพูดแล้วนั้นมีมุมมองแปลก ๆ มีแง่คิด มีความสนุกสนานเจือปนอยู่บ้าง ก็เป็นอีกขั้นที่ยาก คือคนฟังฟังแล้วได้อะไรและได้อย่างไม่รู้ตัวด้วย ได้แบบเพลิดเพลินด้วย…”

คุณสมบัติของนักพูดที่ดีควรจะเป็นอย่างไร?

“…นักพูดที่ดี ผมว่าต้องพูดให้จริง เรื่องไม่จริงไม่ควรพูด นับตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เพราะการพูดเรื่องไม่จริงเพื่อใช้วาทศิลป์แปลงให้ดูแล้วให้เกิดความเชื่อถือนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องเพราะบางทีบางคนใช้วิธีการพูดโน้มน้าว หว่านล้อม ชักจูงให้คนฟังมีความรู้สึกว่าอย่างนั้นจริง ๆ นี้ไม่ควร นี่คือข้อแรก…

ข้อสองคือ ต้องจริงจังกับการพูด ถ้าการพูดทุกครั้งหมายถึงการขาย เพราะฉะนั้นทุกครั้งเราต้องรับผิดชอบกับผลงานของตนเอง ต้องพูดให้ดี แล้วจริงใจด้วย ออกมาจากใจจริง ๆ คิดอย่างไรพูดออกมาอย่างนั้น…”

กับการที่นักพูดผันตัวเองเข้าสู่วงการแสดงหรือพิธีกร มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?

“…ถ้าเรื่องพิธีกรนะ ผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเลย เพราะนักพูดก็ต้องพูดอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของการเป็นนักพูด มีสูตรหนึ่งคือ เทคนิคการเป็นพิธีกร ซึ่งพิธีกรจริง ๆ อาจจะยังไม่เคยเรียน แต่นักพูดเรียนมาแล้วทุกคน เขาจะรู้ว่าการสยบม็อบหรือการปลุกคนฟังให้เขาวางช้อนวางตะเกียบฟังหน้าเวทีทำอย่างไร วิธีการถาม วิธีการจะตามมุข วิธีการหักแง่หักมุมที่ทำให้เกิดความสนุกสนานทำอย่างไรบ้าง

นักพูดทุกคนมีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าบางคนทำได้ดี บางคนทำได้ไม่ดี บางคนหน้าตาดี อะไรหลายอย่างที่เป็นส่วนประกอบในการเป็นพิธีกร รวมทั้งโอกาสด้วย ซึ่งผมถือว่าถ้าในกรณีที่นักพูดมาเป็นพิธีกร ธรรมดามากและควรเป็นด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นนักแสดงนี่บอกไม่ได้ เพราะทุกคนแสดงได้ไม่เหมือนกัน…”

แล้วชอบเป็นพิธีกรไหมคะ?

“…โอ้โฮ! ผมเป็นได้สบายมากเลยครับทั้งในทีวีและข้างนอก ข้างนอกนี่ถือว่าเป็นยากกว่าในทีวีเยอะ เพราะเราต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ถ้าบนเวทีต้องใช้ฝีมือเยอะ เช่น ช่วงนี้ใครยังไม่มาเราจะทำอย่างไร ผมสามารถยืนบรรยายได้ทั้งวันสบายอยู่แล้ว แต่เราสามารถจะทำอะไรได้มากกว่าโยนเข้าเพลง…”

เรื่องหน้าแตก?

“…มีครับ อย่างอ่านชื่อผิด ประเภทที่ไม่ควรเกิดเลยคือ ประเภทหลุด บางทีเคย มีอยู่ครั้งไปอัดรายการสดของช่อง ๙ นานแล้วละ ใช้คำพูดไม่สุภาพออกไป ผมพูดว่าม้วนหางซิลูก และเผอิญมันเพี้ยน เพราะข้างล่างเราเล่นหยอกล้อกันติดปาก และวันนั้นมันเป็นรายการสดด้วย ตัดก็ไม่ได้ ปรากฏว่าพลั้งปากออกไป แต่มันก็ไม่น่านะ…”

ความคิดเห็นเกี่ยวกับการพูดของเด็กไทย ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินรายการโต้คารมมัธยมศึกษา?

“…ยอมรับว่าเขาเก่งนะครับ เพราะเขามีเวลาเยอะ อย่างคนทำงานเช่นผมนี่ เวลาจะน้อยเพราะจะต้องแบ่งแยกความคิดไปอย่างอื่นอีกเยอะ ด้านธุรกิจ ด้านการงาน ด้านแก้ไขปัญหาชีวิตและสุขภาพ อะไรต่าง ๆ แต่เด็กนี่ ก็ผมเคยเป็นเด็กมาก่อน ตอนเป็นนักศึกษานี่สามารถแปลงเพลงได้วันหนึ่งตั้ง ๕-๖ เพลง เพื่อจะมาร้องในแซววาที แปลงกลอนแปลงสุภาษิต มานั่งคิดมุขได้เพียบเลย เพราะเวลาเยอะ เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจว่าคนที่เป็นนักเรียนนักศึกษานี่ ถ้าเก่งก็คือเก่งไปเลย มีความสามารถเยอะเพราะเขามีเวลาฝึกฝน…

ถ้าเราให้เวลากับอะไรมาก สิ่งนั้นก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เด็กสมัยนี้เก่ง ซึ่งผมชื่นชมและอยากให้เขามีโอกาสแสดงออกอย่างนี้ ไม่ใช่ไปยืนแย้ว ๆ อยู่ข้างเวที คอยไปซับเหงื่อซับน้ำลายให้ใครเขา มันไม่มีประโยชน์กับชีวิต ว่าไหม อย่างการพูดนี่มันยังได้ใช้กับการงานอาชีพส่วนตัวได้เยอะ

คำแนะนำสำหรับคนที่จะเป็นนักพูด?

“…คนที่จะเป็นนักพูดต้องมีความตั้งใจจริงที่จะเป็นจริง ๆ เพราะอุปสรรคมันเยอะกว่าจะไปถึงเส้นทางนั้น มันสะสมนานเพราะมันไม่ได้เป็นภายในวันเดียว บางทีเราพูดดี คนเขาก็นึกว่าฟลุคอยู่ ยังไม่คิดว่ามันเป็นผลงาน เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีความอดทนกับระยะทางอันยาวไกลเพื่อที่จะไปรอคอยความสำเร็จนั้น ต้องใจรักครับ…

สำหรับวงการนักพูดในปัจจุบันนี้ เนื่องจากการพูดเข้าไปอยู่ในวงการต่าง ๆ เยอะ เพราะว่าการพูดผมถือว่าเป็นศิลปะที่เยี่ยมเลยนะ คิดดูคน ๆ หนึ่งพูดแล้วทำให้คนเป็นร้อยเป็นพันฟังคน ๆ เดียวได้ หัวเราะตาม ร้องไห้ตาม คิดตามได้ เพราะฉะนั้นมันต้องมีอะไรมากกว่าเป็นเพียงเสียงที่เปล่งออกมา บางทีเสียงหัวเราอะไรต่าง ๆ ที่เป็นตลกจบแล้วคือจบ แต่การพูดมันไม่จบ จบแล้วยังไปนั่งคิดต่ออีกว่า เออ… มันจริงไหมที่เขาพูด เราน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันได้แง่คิดมุมมองไปช่วยผลักดันพลังในตัวเอง หรือว่าได้ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาได้เยอะ ดังนั้นทางที่ดีถ้ามีการพูดเข้าไปเจือปนในสิ่งต่าง ๆ ก็จะทำให้ดูมีสาระประโยชน์มากขึ้น…”

ทุกวันนี้ในวงการนักพูดก็ยังคงเปิดโอกาสให้นักพูดรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาทุกเมื่อ แต่ทว่าคุณจะมีพลังความสามารถเพียงพูดที่จะยืนอยู่ในระดับแนวหน้าได้หรือไม่เท่านั้น ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้กล้าท้าทาย แต่ความสามารถของคุณพิสูจน์ได้ เพราะประชาชนเป็นคนตัดสิน

และวันนี้ นอกจาก “จตุพล ชมภูนิช” ยังไม่เบื่อที่จะพูดแล้ว เขายังเปิดสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาธุรกิจ (Progress Business Training Institute) ขึ้นที่ลาดพร้าว ๗๑ เพื่อฝึกอบรมด้านธุรกิจและฝึกให้ทุกคนที่อยากพูดได้มีโอกาสพูด เพราะตราบใดที่คนเรายังพูดได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เราก็ควรที่จะรู้จักวิธีการพูดให้ดีมีสาระด้วยเช่นกัน…

นักพูดจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะพูด และต้องศึกษาหาความรู้ทุกวิถีทาง ผมอ่านหนังสือเยอะ อ่านเพียบเลย แล้วก็คุย ถาม เขียน คิด ฟัง แล้วจึงมาประยุกต์ ประมวล คือรวบรวม ประยุกต์ก็คือการปรับใช้ให้เกิดความน่าฟัง น่าคิด น่าเชื่อในสิ่งที่เราพูด เรานำเสนอไป หัวข้อเดียวกัน วิชาเดียวกัน คนอื่นพูดอาจเบื่อ แต่พอเราพูดคนอยากฟัง ติดตามฟังต่อ อย่างนี้มันก็คือการประยุกต์ปรับเปลี่ยนให้มันเกิดความทันสมัย…” ...
  
วิธีการนำเสนอ
เทคนิคในการนำเสนอ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในการนำเสนอของแต่ละบุคคลมักมีการนำเสนอที่ไม่เหมือนกัน และมีวิธี มีเทคนิคที่แตกต่างกันไป ในบทความฉบับนี้ เราจะมาพูดถึง วิธีในการนำเสนอ เราสามารถจะนำเสนอโดยวิธีดังต่อไปนี้
1.เทคนิคสุนทรพจน์ คือ การลำดับเหตุการณ์ เช่น เล่าเรื่องตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน ไปยังอนาคต หรือ หากต้องการอธิบายประเทศไทย ก็ขอให้ไล่ลำดับตั้งแต่เหนือสุดลงไปยังใต้สุด ข้อควรระวังในการนำเสนอวิธีนี้ คือ ผู้นำเสนอไม่ควรอธิบายแบบไม่เรียงลำดับ กล่าวคือพูดย้อนไปย้อนมา จนผู้ฟังรู้สึกสับสน วกวน จนอยู่ในอาการมึนงง
2.เทคนิค เปรียบเทียบ ระหว่างสิ่ง 2 สิ่ง เช่น พวกเราอาจจะเคยไปฟังธุรกิจขายตรง บางยี่ห้อ มักจะมีการนำเสนอสินค้าของตนเอง เปรียบเทียบกับสินค้าของคู่แข่ง ในเรื่องของคุณสมบัติ ลักษณะ ตลอดจนราคา อีกทั้งผู้นำเสนอยังมีการแสดงการสาธิตสินค้าที่เปรียบเทียบให้ผู้ฟังได้เห็นกับตาอีกด้วย
3.เทคนิค การแสดงปัญหา และหาทางแก้ไขปัญหา เป็นเทคนิคการนำเสนอที่ผู้นำเสนอได้พูดถึงปัญหาเพื่อให้ผู้ฟังเกิดการติดตามรับฟัง การพูดของผู้นำเสนอ แล้วผู้นำเสนอจึงให้ผู้ฟังออกความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหา หรือผู้พูดนำเสนอก็ได้บอกวิธีการแก้ไขปัญหาให้แก้ผู้ฟัง
4.เทคนิค การจัดหมวดหมู่ การจัดกลุ่มและแบ่งภาค สำหรับข้อมูลในยุคปัจจบันมีมากมาย การจัดหมวดหมู่ การจัดกลุ่มและแบ่งเป็นภาค จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น ในการนำเสนอหากผู้นำเสนอไม่ได้จัดหมวดหมู่ จัดกลุ่มหรือแบ่งเป็นภาคให้กับผู้ฟัง ผู้ฟังอาจจะไม่เข้าใจ แต่หากผู้นำเสนอได้ใช้เทคนิคการจัดหมวดหมู่ การจัดกลุ่มและแบ่งเป็นภาค แล้วก็จะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เช่น บริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง มีลูกค้าทั่วประเทศ หากระบุเป็นจังหวัด ก็จะมีมากเกินไป แต่ถ้าเราจัดแบ่งลูกค้าออกเป็น ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน ก็จะทำให้ผู้ฟังรับรู้ได้ง่ายและเร็วขึ้น
5.เทคนิค การใช้ตัวย่อหรือตัวอักษร นักการตลาดหรือผู้ที่อยู่ในแวดวงการตลาด หากพูดถึง เรื่อง 4P(Product , Price , Place ,Promotion) นักการตลาดก็คงจะเข้าใจได้ไม่ยาก ในวงการขาย KASH (K = Knowledge A = Attitude S = Skill H = Habit ) นักขายหรือคนที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับการขายหลายๆท่าน ก็อาจจะเข้าใจ หรือ 5 ส. (สะอาด , สะสาง , สะดวก , สุขลักษณะ และสร้างนิสัย) บุคคลที่ทำงานหรือบริหารสำนักงานก็คงเข้าใจได้ไม่ยาก ฯลฯ
6.เทคนิค การตั้งคำถาม การตั้งคำถามจะทำให้ผู้ฟังสงสัย แล้วอยากที่จะติดตามฟัง เช่น ท่านเชื่อหรือไม่ ว่าท่านสามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ภายใน 3 เดือน , ท่านเชื่อหรือไม่ว่า โลกจะแตกอีก 10 ปี ข้างหน้า , ท่านทราบหรือไม่ว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็นต้น
7.เทคนิค ตัวเลข การใช้ตัวเลขในการนำเสนอจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดการติดตามฟัง อีกทั้งยังทำให้ผู้ฟังทราบว่าตอนนี้ตนเองอยู่ ณ เวลาใด เช่น 5 วัน นับตั้งแต่นี้เราทุกคนต้องออกไปเลือกตั้ง , 10 ล้านบาทเท่านั้น พวกเราใกล้ความจริงแล้ว เป้าหมายในการขาย 100 ล้านบาท เราเหลือแค่ 10 ล้านบาท เท่านั้น
8.เทคนิค หาอุปกรณ์ช่วย ในการนำเสนอด้วยการพูดแต่เพียงอย่างเดียว ก็ไม่สามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายๆ แต่หากผู้นำเสนอมีอุปกรณ์ช่วย ก็จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้รวดเร็วและเห็นภาพได้ชัดเจน เช่น การสาธิตสินค้า , การให้ทดลองชิมสินค้า , การทดลองให้ขับรถจริงๆ , การให้ผู้ฟังร่วมใช้อุปกรณ์ช่วยเวลาสาธิตสินค้า เป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่า เทคนิค 8 ประการ ข้างต้น เป็น เทคนิคที่ท่านสามารถนำไปใช้ในการพูดการนำเสนอได้ ส่วนจะใช้เทคนิคใดหรืออาจจะผสมผสานกันมากน้อยแค่ไหน ก็คงต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้ง ตัวผู้พูด ตัวผู้ฟัง สถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ
...
  
กฎแห่งความสำเร็จ(กฎแห่งแรงดึงดูด)
กฎแห่งความสำเร็จ(กฎแห่งแรงดึงดูด)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎแห่งความสำเร็จมีหลากหลายกฎ แต่กฎแห่งแรงดึงดูด เป็นกฎหนึ่งที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จใช้เป็นวิธีการ ใช้เป็นเครื่องมือ นำทางไปไปสู่ความสำเร็จ กฎแห่งแรงดึงดูด ก็คล้ายๆกับกฎทั่วไปเช่นเดียวกับ กฎแห่งแรงโน้มถ่วง
ซึ่งกฎแห่งแรงดึงดูด มีลักษณะคือ สิ่งใดที่เราคิดอยู่เสมอ ฝันอยู่เสมอ หมกมุ่นอยู่เสมอ มันก็มักจะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาในชีวิตเราและเป็นความจริงในที่สุด
เราสามารถพัฒนากฎแห่งแรงดึงดูดมาใช้โดย
1.ท่านต้องหาเป้าหมายหรือหาความฝันหรือค้นหาในสิ่งที่ตนเองต้องการให้เจอเสียก่อน เช่น ท่านอยากเป็นนักเขียน ท่านอยากเป็นนักร้อง ท่านอยากเป็นนักแสดง ท่านอยากเป็นผู้สื่อข่าว ฯลฯ
2.ท่านจงเขียนมันลงไป ไบรอัน เทรซี่ นักวิชาการ วิทยากร นักบริหาร ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เคยกล่าวไว้ว่า จากการสอนวิชาเคล็ดลับไปสู่ความสำเร็จ ปรากฏว่าเขาให้ผู้เข้ารับการอบรมเขียนเป้าหมาย เขียนความฝัน เขียนสิ่งที่ต้องการ แล้ววางแผนสิ่งต่างๆ เหล่านั้นโดยการเขียนไปในกระดาษผลปรากฏว่า ผู้เข้ารับอบรม ที่เขียนเขียนเป้าหมาย เขียนแผนการ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งถึงสองปี แล้วนำสิ่งที่เขียนมาดู จะปรากฏว่า สิ่งต่างๆที่ได้เขียน มีการเกิดขึ้นเป็นความจริงมากกว่า ผู้เข้ารับการอบรมที่ไม่ได้เขียนเป้าหมาย เขียนแผนการ ลงไปในกระดาษ
3.ท่านต้องจดจ่อต่อเป้าหมาย จะทำให้ท่านเกิดวิธีการขึ้นมาเอง การจดจ่อต่อเป้าหมายจะทำให้ท่านเกิดกำลังใจในการทำงาน เกิดการไม่ท้อแท้ ท้อถอยต่ออุปสรรค การจดจ่อ ต่อเป้าหมายจะทำให้ท่านไปถึงฝั่งได้อย่างรวดเร็วมากกว่าคนที่ไม่จดจ่อต่อเป้าหมาย และยิ่งถ้าใครสามารถจินตนาการถึงเป้าหมายตามไปด้วยก็ยิ่งดี หนทางที่ดีควรจินตนาการก่อนนอนเพราะช่วงนี้ จิตใต้สำนึกจะรับภาพสิ่งที่เราจินตนาการได้มากกว่าช่วงอื่นๆ ในการดำเนินชีวิต
4.ท่านต้องเริ่มลงมือทำ “ ระยะทางหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรก” การเริ่มก้าวแรกเป็นสิ่งที่ยากในการทำใจหรือการทำ แต่เมื่อท่านได้เริ่มต้นแล้ว โอกาสที่จะเดินก้าวที่สองย่อมง่ายขึ้นกว่าการเดินก้าวแรก
5.ท่านต้องมีความสม่ำเสมอในการทำงานไปสู่เป้าหมาย จงทำงานให้มากขึ้น แต่ต้องทำงานอย่างฉลาด ต้องทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย การทำงานที่ฉลาด ท่านต้องเลือกงานที่มีความสำคัญก่อน ส่วนงานที่ไม่สำคัญ ท่านสามารถให้คนอื่นช่วยทำงานก็ได้เพื่อเป็นการประหยัดเวลาของท่าน
6.ท่านจงใช้เวลาในทุกๆวัน ในการประเมินตนเอง ว่าสิ่งที่ท่านทำในทุกๆวัน มีการพัฒนาไปขนาดไหนแล้ว มีอะไรที่ผิดพลาด อะไรที่ท่านต้องพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะช่วยให้ท่านทำงานได้ดีขึ้น ทำงานได้มากขึ้น
จากข้อความข้างต้นนี้ ท่านสามารถนำกฎแห่งแรงดึงดูดไปใช้ได้ เพียงแต่ท่านต้องไปศึกษาเพิ่มเติม แล้วควรเริ่มฝึกลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง หากท่านลงมือทำอย่างจริงจังกระผมเชื่อแน่ว่า กฎแห่งแรงดึงดูดก็จะนำท่านไปสู่เป้าหมายในชีวิตที่ท่านได้วางเอาไว้




...
  
การบริหารเวลา : การใช้เวลาเพื่อความสำเร็จ
การบริหารเวลา : การใช้เวลาเพื่อความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ใช้เวลาเพื่อการทำงานเถิด....มันคือรางวัลแห่งความสำเร็จ....
ใช้เวลาเพื่อการคิดเถิด....มันคือที่มาของพลังอำนาจ.....
ใช้เวลาเพื่อการผ่อนคลายเถิด...มันคือเคล็ดลับแห่งความมีชีวิตชีวา....
ใช้เวลาเพื่อการอ่านเถิด....มันคือรากฐานแห่งสติปัญญา....
ใช้เวลาเพื่อการฝันเถิด....มันคือพาหนะที่นำไปสู่ดวงดาว
ใช้เวลาเพื่อการสังเกต...เรียนรู้...อย่างกว้างขวางเถิด....
วันเวลาสั้นเกินไปที่จะเห็นแก่ตัว....
ใช้เวลาเพื่อการหัวเราะเถิด....มันคือดนตรีแห่งวิญญาณ...(บทสวดของชาวไอริช...)
การใช้เวลาของผู้ที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรมดาโดยทั่วไป มักมีความแตกต่าง ซึ่งการใช้เวลาของผู้ที่ประสบความสำเร็จเขาจะมุ่งเน้นในการทำงานหรือการใช้เวลาไปกับเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน เป็นอันดับแรก เขาจะมีการวางแผนในการใช้เวลา เช่นเดียวกับศัลยแพทย์ชาวอเมริกาที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ ถ้าผมจะต้องผ่าตัดผู้ป่วยโดยใช้เวลา 13 นาที ผมจะใช้เวลาวางแผนการผ่าตัด 3 นาที เหลืออีก 10 นาทีผมจะใช้เวลาในการทำการผ่าตัด”
เราจะเห็นได้ว่าการวางแผนในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อีกทั้งการควบคุมตนเองก็มีความสำคัญเช่นกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“เกษตรกรชายคนหนึ่ง ตื่นมาแต่เช้าเพื่อที่จะออกไปขุดดินเพื่อปลูกผัก เขามีความตั้งใจมากว่าจะต้องขุดดิน ขึ้นแปลง เพื่อทำการปลูกผักให้เสร็จภายในวันเดียว สวนผักของเขาอยู่ห่างไกลจากบ้านพักอาศัยที่เขาอาศัยอยู่ เขาจึงขับรถยนต์ ไปเติมน้ำมัน ระหว่างทางเขาขับรถยนต์ผ่านตลาดสด เห็นคนนำลูกไก่มาขาย เขาจึงคิดว่า แวะซื้อลูกไก่สัก 10 ตัว คงไม่ทำให้เสียเวลามาก ดังนั้นเขาก็จอดรถยนต์เพื่อลงไปซื้อลูกไก่ แล้วเขาก็ขับรถต่อไป เห็นร้านขายไม้กวาด เขาคิดว่าจะซื้อไปฝากภรรยา เขาจึงลงไปซื้อไม้กวาดมา 1 อัน แล้วเขาก็ขับรถต่อไป พอถึงปั๊มน้ำมัน เติมน้ำมันเสร็จ เขาเห็นคนนำผักผลไม้มาขาย เขาจึงตัดสินใจซื้อเพื่อนำไปเป็นอาหารมื้อเย็น จนถึงสวนของเขา ภายในสวน เขาเห็นบึงเล็กๆ มีน้ำเหลืออยู่จำนวนไม่มาก แต่ภายในบึงมีปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เขาคิดว่า เขาจะตักน้ำออกจากบึงแล้วเอาปลาออกจากบึง เพื่อนำไปเป็นอาหารเย็น ”
เราจะเห็นว่าเกษตรกรชายคนนี้ มีเป้าหมายและการวางแผนว่าจะออกไปขุดดิน ขึ้นแปลงเพื่อปลูกผัก แต่เอาเข้าจริงๆ มีกิจกรรมหลายๆอย่างที่ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปกับเป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้ หลายๆคนอ่านแล้ว คงนึกขำตลกกับเกษตรกรชายคนดังกล่าว แต่หารู้ไม่ พวกเราส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมไม่ได้แตกต่างไปจากเกษตรกรชายคนนี้มากนัก
หลายๆคนมีเป้าหมายแล้ว มักจะเฉไฉ ไม่พยายามเดินตรงไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ หลายๆคนออกนอกเส้นทางไปเลยก็มี เพราะระหว่างทางมักมีสิ่งล่อ สิ่งเร้า เพื่อให้เราเดินออกนอกเส้นทางที่เราวาง การบริหารเวลาที่ดีก็เช่นกัน คนที่จะบริหารเวลาได้ดีจำเป็นอย่างมากจะต้องเป็นคนที่มีวินัย
หลายๆคน มักบ่นว่าทำงานหนัก แต่หากพวกเราไปศึกษา วิเคราะห์ การใช้เวลาของเรา เราก็จะเห็นว่า เราใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ มากจนเกินไป จนลืมทำงานที่สำคัญที่สุดของเรา จึงทำให้เกิดผลลัพธ์น้อยมาก การทำงานหนักไม่ได้หมายถึงว่าคนๆนั้นจะประสบความสำเร็จ หากว่าการทำงานหนักและทำงานอย่างชาญฉลาดต่างหากที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำจะเป็นการดีกว่า (โพธิสัตว์)
...
  
เป้าหมายชีวิต
เป้าหมายชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ชาวประมงเดินเรือยังต้องมีเข็มทิศ คุณจะดำเนินชีวิตคุณจำเป็นจะต้องมีเป้าหมาย
เป้าหมายมีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น มีความแตกต่างกันหลายประการ แต่สิ่งหนึ่งที่คนประสบความสำเร็จมีเหมือนกันเกือบทุกคนนั้นก็คือ “ เป้าหมาย”
จากงานวิจัยของนักวิชาการชาวสหรัฐหลายท่าน ได้ระบุตรงกันว่า การที่คนจำนวน 90-95 เปอร์เซ็นต์ มีความล้มเหลวในชีวิตเนื่องจาก การไม่มีเป้าหมายในชีวิตนั้นเอง แต่ตรงกันข้ามกับคนจำนวนเพียงแค่ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ที่ประสบความสำเร็จ ก็เนื่องจากบุคคลเหล่านี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าตนเองมีความต้องการอะไร อีกทั้งยังมีแผนการที่แน่นอนในการทำงาน
จากงานวิจัยยังระบุเพิ่มเติมว่า จำนวนคนที่ล้มเหลว 90-95 เปอร์เซ็นต์ นั้นมักไม่ผูกพันกับงานที่ตนเองทำหรือทำงานที่ตนเองไม่ชอบ แต่ในขณะที่คนจำนวน 5-10 เปอร์เซ็นต์ มักผูกพันในงานที่ตนเองทำหรือทำงานที่ตนเองชอบที่สุด
จากงานวิจัยข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจ ที่คนส่วนใหญ่ในโลก ใช้ชีวิตโดยปราศจากเป้าหมายชีวิต อีกทั้งยังไม่มีความสุขในการทำงานเนื่องจาก คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานในงานที่ตนเองรัก
สำหรับหลายท่านมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว แต่ทำไมไม่มีพลังในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายในชีวิต จากการอ่านค้นคว้าและศึกษา ของกระผม ได้ข้อสรุปดังนี้
1.ท่านขาดความจริงจัง ท่านขาดการหมกมุ่น ท่านขาดความปรารถนาอย่างแรงกล้าในเป้าหมายที่ท่านวางไว้
2.ท่านขาดความถี่ในการคิดหรือฝันในเป้าหมายของท่าน จงคิดและฝันทุกๆวันและบ่อยๆ
3.ท่านขาดการเขียนมันออกมาให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น จงเขียนลงในกระดาษ จงสร้างภาพฝันโดยการ หารูป บุคคลหรือสิ่งที่ท่านต้องการเป็นมาติดตามผนังบ้าน ประตู เพื่อย้ำความทรงจำ
4.ความฝันหรือเป้าหมายของท่านเล็กเกินไป การตั้งเป้าหมายเล็กเกินไป ทำให้ท่านไม่อยากที่จะลงมือทำ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าอยากมีเงิน 100,000 บาท กับตั้งเป้าหมายว่าอยากมีเงิน 1,000,000 บาท ทำให้ความตั้งใจและการมีพลังในการทำต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่มากๆ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าอยากได้เงิน 100,000,000 บาท อย่างนี้อาจทำให้ท่านหมดกำลังใจ เลิกทำแล้วทำให้ไม่ประสบความสำเร็จได้
5.ท่านขาดความเชื่อมั่นในตนเองหรือคิดว่าท่านทำไม่ได้ การคิดลบมักทำให้หมดพลัง แต่การคิดบวก ว่าตนเองทำได้ ทำให้เกิดพลัง จงคิดบวกบ่อยๆและสม่ำเสมอ
6.ท่านจะต้องประกาศให้คนอื่นๆได้รู้ถึงเป้าหมาย ถึงความฝันของท่าน จงกล้าที่จะประกาศ เพราะ การกล้าที่จะประกาศจะทำให้มีคนค่อยเตือนท่าน หรือ หากท่านทำไม่ได้ท่านก็จะอาย ท่านจะเกิดพลังเพิ่มมากขึ้น
ทั้ง 6 ประการข้างต้น จึงเป็นเทคนิคที่ทำให้ท่านเกิดพลังขึ้นในการทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายชีวิต จงลงมือปฏิบัติแล้วท่านจะเห็นผลที่เกิดขึ้น
ท้ายนี้อยากฝากแง่คิดไว้ว่า “ อย่าได้บอกโลกเลยว่าท่านทำอะไรได้บ้าง....แต่จงแสดงความสามารถ
ออกมาให้เห็น”



...
  
โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร
21 พฤษภาคม 2555 วิทยากรบรรยาย โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ณ เทศบาลห้วยลาน ...
  
เทคนิคการเป็นวิทยากรมืออาชีพ
เทคนิคการเป็นวิทยากรมืออาชีพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
อาชีพวิทยากรเป็นอาชีพที่มีความน่าสนใจ และเหมาะกับคนที่ชื่นชอบอิสรภาพ เพราะไม่ต้องไปทำงานเป็นเวลาเหมือนเช่นงานประจำ แต่เราสามารถบริหารเวลาได้เอง อีกทั้งมีรายได้ที่ไม่จำกัดจำนวนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของวิทยากรแต่ละบุคคล แล้วเราจะเป็นวิทยากรมืออาชีพได้อย่างไรกัน กระผมขอแนะนำดังนี้
1.ท่านต้องเริ่มต้นที่ความรักครับ คนเราหากมีความรัก ความชอบ ในอาชีพที่ตนเองทำ เขาคนนั้นมักจะทุ่มเท เวลา กำลังความสามารถต่างๆ แก่งานนั้น ถึงแม้งานนั้นจะพบกับความลำบากเขาก็มักจะมีความอดทนที่สูงกว่าการทำงานในงานที่ตนเองไม่รัก การเป็นวิทยากรก็เช่นกัน กระผมอยากให้ท่านเริ่มต้นที่ความรัก ความชอบ ความอยากที่จะเป็นวิทยากร อยากที่จะถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคคลต่างๆ
2.ท่านจะต้องมีความกล้า เมื่อมีความรักในงานวิทยากรแล้ว ขั้นต่อไปท่านจะต้องมีความกล้า ท่านต้องกล้าที่จะขึ้นไปพูดบนเวที ท่านพร้อมที่จะกล้าเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองเสมอ เพราะบางคนมีความรู้มาก มีปัญญามาก แต่หัวใจเท่าหัวไม้ขีดไฟ กล่าวคือ ใจไม่ถึง ใจเล็ก เวลาที่ถูกเชิญให้ไปพูด ในหัวข้อต่างๆ บางคนมีความรู้มากกว่าอีกคนหนึ่ง แต่ปรากฏว่าขาดซึ่งความกล้า เลยตอบปฏิเสธ แต่คนที่มีความกล้ายอมได้เปรียบ เพราะจะทำให้เขาเกิดประสบการณ์ในการพูดในหัวข้อนั้นๆมากขึ้น ถึงแม้เขาจะมีความรู้น้อยกว่าวิทยากรคนอื่น แต่ถ้าเขามีความกล้า เขาก็สามารถไปได้ไกลกว่า
3.ท่านจะต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะการเตรียมตัวจะเป็นตัววัดความสามารถระหว่างมือสมัครกับมืออาชีพ เช่น ท่านจะต้องเตรียมข้อมูลในการพูด ถ้าจะให้ดีท่านต้องเตรียมข้อมูลให้มากถึง 10 เท่าของข้อมูลที่ท่านจะนำไปพูด ท่านจะต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพูด ท่านจะต้องเตรียมการนำเสนอให้ดี
4.ท่านจะต้องเรียนรู้ ฝึกฝน การเป็นวิทยากรมืออาชีพมักขึ้นอยู่กับทักษะหรือประสบการณ์ กล่าวคือ เมื่อท่านถูกเชิญไปพูดบ่อยๆ ท่านก็จะเกิดทักษะ ท่านจะเกิดความชำนาญ ท่านจะรู้ว่า ควรจะพูดอย่างไร ผู้ฟังถึงสนใจ ท่านจะเกิดไหวพริบปฏิภาณในการแก้ปัญหาต่างๆในระหว่างการบรรยาย เช่น เวลาไฟดับ หรือ อุปกรณ์ไม่พอ หรือ ห้องบรรยายเล็กจนไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้แล้วท่านควรจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร วิทยากรมืออาชีพมักจะรู้วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่าวิทยากรมือสมัครเล่น สาเหตุก็เนื่องมาจาก วิทยากรมืออาชีพเคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาก่อนนั่นเอง
5.ท่านจะต้องอดทน การจะเป็นวิทยากรมืออาชีพได้นั้น ท่านจะต้องเป็นคนที่ต้องอดทน ไม่ว่าจะต้องอดทนต่อความยากลำบาก อดทนต่อการถูกดูถูกเหยียดหยาม อดทนต่อการวิจารณ์ต่างๆ อีกทั้งการจะเป็นวิทยากรมืออาชีพได้นั้น ท่านจะต้องใช้เวลานานพอสมควร ไม่ใช่วิทยากรแค่ 1-2 ปี แล้วไม่อดทน แล้วล้มเลิก คือ เปลี่ยนแปลงอาชีพอื่น อย่างนี้ก็คงเป็นวิทยากรมืออาชีพได้ยาก เพราะวิทยากรมืออาชีพบางคนต้องใช้เวลาถึง 10-20 ปี ในเส้นทางดังกล่าว หากท่านใช้เวลาแค่ 1-2 ปี ท่านมีความอดทนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับวิทยากรมืออาชีพเหล่านั้น
6.ท่านจะต้องมีจรรยาบรรณ หรือ มาตรฐานความประพฤติ อาชีพวิทยากรถึงแม้จะเป็นอาชีพอิสระก็จริงอยู่ แต่วิทยากรมืออาชีพจะต้องเป็นคนที่มีจรรยาบรรณ เช่น เมื่อนัดวันเวลาที่จะไปบรรยายแล้ว วิทยากรต้องรับผิดชอบต่อการนัดหมายนั้น นอกจากเหตุสุดวิสัยจริงๆ อาจมอบให้วิทยากรท่านอื่นหรือให้ท่านผู้จัดงานหาวิทยากรแทน, ไม่เห็นแก่เงินหรือรายได้จนเกินไป วิทยากรบางท่านเมื่อนัดรับงานแล้ว แต่ปรากฏว่าอีกงานหนึ่งให้รายได้มากกว่างานแรก จึงไม่ยอมไปงานแรก อย่างนี้ก็ไม่ควรทำ เป็นต้น
ดังนั้น ปัจจัยข้างต้นนี้ เป็นตัวแบ่งแยกระหว่างวิทยากรมือสมัครเล่นกับวิทยากรมืออาชีพ แล้วท่านละ หากท่านอยากที่จะเดินบนเส้นทางวิทยากร ท่านจะเป็นมือสมัครหรือมืออาชีพ หากท่านต้องการเป็นมืออาชีพ ปัจจัยข้างต้นสามารถช่วยท่านได้อย่างแน่นอน
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.