หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ผู้บริหารการเปลี่ยนแปลง
ปัจจุบัน จะเห็นได้ชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลเกิดขึ้นในโลกของเราเป็นอย่างมากในแทบทุก ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ซึ่งเรื่องของการเปลี่ยนแปลงนี้มีทั้งแบบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยตรง อาจเกิดขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงล่วงเลยไป แต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นเพราะมนุษย์เป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะทำโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากมนุษย์มักจะก่อให้เกิดผลที่รุนแรงรวดเร็ว และมักเกิดความกระทบกระเทือนต่อการดำเนินชีวิตและความเป็นอยู่ของพลเมืองโลก โดยตรง ถ้ามองการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ด้านในปัจจุบันที่เห็นเด่นชัด คือ การเปลี่ยนแปลงด้าน การต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยี การติดต่อสื่อสาร การคมนาคม ขนส่ง สื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และด้านสังคม เป็นต้น ในการเปลี่ยนแปลงนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษารวมอยู่ด้วย โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงการศึกษาของไทยจะเห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นับแต่มีการปฏิรูปการศึกษา ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับล่าสุด พ .ศ.2540 ซึ่งได้กำหนดให้มี “กฎหมายการศึกษาแห่งชาติ” และจัดให้มี “การปฏิรูปการศึกษา” ตามความในมาตรา 81 ที่ว่า “…จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม…” การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา ครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังที่เห็นจากการกำหนดเป็นประเด็นสำคัญอย่างชัดเจนใน รัฐธรรมนูญอันเป็น กฎหมายหลักของประเทศ และการกำหนดให้มีการร่างกฎหมายพิเศษเฉพาะทางการศึกษา ฉะนั้น เราทุกคนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารการศึกษาจึงควรให้ความสำคัญและจะต้อง ให้การเอาใจใส่อย่างมากที่จะศึกษาแนวทางของการศึกษาที่จะเปลี่ยนแปลงไป และเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาที่กำลังเกิดและจะเกิด ขึ้น
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษานั้นอาจแบ่งได้เป็น 2 อย่าง คือ
1) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอก
2) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายใน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัย ภายนอกมีมาก และมักจะเป็นส่วนสำคัญก่อผลกระทบมากมายต่อสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา และต่อการบริหารการศึกษา อิทธิพลจากปัจจัยภายนอกอย่างกว้าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความเจริญทางเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายใน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของระบบงาน นโยบาย การบริหาร คน และ งบประมาณของสถานศึกษานั้น ๆ เอง เป็นต้น ก่อนอื่นผู้บริหารต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสถานศึกษานั้น อาจเกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน และล้วนมีส่วนก่อให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารการศึกษา การจัดการเรียนการสอน และที่สำคัญที่สุดก็คือ การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นที่แน่นอนว่าไม่ว่าทางใด ก็ทางหนึ่งในที่สุดแล้วก็จะต้องมีผลกระทบต่อตัวนักเรียนซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการจัดการศึกษานั่นเอง
โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนแปลงภายในมักเกิดเนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง ของปัจจัยภายนอก แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์กรหรือสถานศึกษาที่เกิดจากผลของ ปัจจัยภายในเองโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราพิจารณาดูให้ดีจะพบว่า ปัจจัยภายในที่มีผลกระทบก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาก ที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องของคนในสถานศึกษานั่นเอง บุคลากรมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในอย่างมาก ซึ่งบางครั้งการเปลี่ยนแปลงในอันเนื่องมาจากคนนี้อาจเกิดขึ้น โดยปราศจากสาเหตุหรืออิทธิพลของปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของคนในองค์กรนั่นเอง และคนที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในองค์กรหรือสถานศึกษามากที่สุดก็ไม่ใช่ ใครอื่นแต่คือ ผู้บริหารสถานศึกษานั่นเอง บางครั้งการที่ผู้บริหารเปลี่ยนแปลงความคิดเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ ไม่ว่าจะใช้หรือไม่ใช้วิสัยทัศน์อันก้าวไกลหรือไม่ก็ตามผลที่เกิดก็คือ ผู้บริหารท่านนั้นสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน คงจะเคยได้ยินกันว่าครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ๆ อาจไม่ทันตั้งตัวอาจมีคำสั่ง แบบสายฟ้าฟาดเมื่อใดก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร การเข้ามารับตำแหน่งใหม่ การใช้อำนาจการตัดสินใจเป็นการแสดงให้คนที่อยู่ในองค์กร และแม้กระทั่งผู้ที่เกี่ยวข้องนอกองค์กรได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงการถ่าย เทอำนาจ ซึ่งแม้ว่าในทางบริหารถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ และมีคำพูดทางการบริหารที่ผู้บริหารสากลยอมรับคือ “อำนาจเป็นธรรมชาติ” แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีเพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมี การต่อต้าน และถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุที่สมควร การต่อต้านย่อมมีมากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากผู้บริหารแล้ว ตัวบุคลากรอื่น ๆ ก็เป็นปัจจัยภายในการเปลี่ยนแปลงด้วย การที่บุคลากรต่อต้านไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บริหาร ไม่รักษาระเบียบวินัย ไม่ให้ความร่วมมือหรือใส่ใจในการปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นสาเหตุให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงต่อประสิทธิภาพขององค์กรทั้งสิ้น
เรื่องของระบบงาน เรื่องของนโยบาย เรื่องของวิธีการบริหาร ตลอดจนเรื่องของงบประมาณก็เป็นปัจจัยภายในที่มีผลต่อการบริหารการเปลี่ยน แปลงอย่างมากด้วย การที่นโยบายเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่อการทำงานมากบางกรณีอาจกระทบทั้งระบบงาน เพราะนโยบายเปรียบเสมือนหลักการสูงสุดที่ทั้งผู้บริหารและบุคลากรทั้งหมด ต้องยึดถือและปฏิบัติตาม เมื่อมีการเปลี่ยนหลักการใหญ่ที่สุดขององค์กรสิ่งต่าง ๆ ที่เคยปฏิบัติกันมาย่อมใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สอดรับกับนโยบายที่เปลี่ยนแปลงใหม่ด้วย แน่นอนเมื่อนโยบายเปลี่ยน ระบบงานที่เคยมีอยู่ ใช้อยู่ก็ต้องได้รับความกระทบกระเทือน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง วิธีการบริหารก็อาจต้องเปลี่ยนแปลงตามไปเพื่อให้เกิดความสอดคล้องหรือสมดุล กันให้มากที่สุด
ส่วนใหญ่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายในมักเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กัน เหมือน งูกินหางแทบจะแยกอันไม่ออกแต่เท่าที่แบ่งเป็นเรื่อง ๆ ไปนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นชัดเจนขึ้นในเรื่องของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละ ปัจจัย การบริหารความเปลี่ยนแปลงในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากภายใน จึงเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและค่อนข้างจะจัดการยากเพราะแต่ละปัจจัยมักจะมี ความสัมพันธ์ระหว่างกันเสมอ
นอกจากการมีวิสัยทัศน์ที่ดีมีความระวังระไวตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารต้องศึกษาให้รู้ถึงอิทธิพลกระทบของการเปลี่ยนแปลง ต้องรู้จักวิเคราะห์ตรวจสอบปัญหา แล้วจึงสร้างและพิจารณาเลือกใช้กลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหา ต้องเรียนรู้ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่อาจมีในการแก้ไขปัญหาเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอแล้ว ผู้บริหารต้องเตรียมการรับการต่อต้านที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนการ ควบคุมดำเนินการตามกลยุทธ์ และการประเมินผล
ทั้ง นี้ ต้องคำนึงถึงขนาดและความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยย่อมมีผลกระทบต่อองค์กรและการดำเนินการน้อย ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ย่อมมีผลกระทบต่อองค์กรและการดำเนินการอย่าง มาก ผู้บริหารยังต้องคำนึงถึงการคัดเลือกการรับบุคลากรควรจะเลือกคนที่มีความ สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายอีกด้วย ในกรณีที่ผู้บริหารเป็นผู้ต้องการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเสียเอง หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่าเป็น Change Agent ผู้บริหารก็จะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วย ในกรณีนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดที่ไม่อาจลืมได้ก็คือ การเตรียมพร้อมเพื่อรับการต่อต้าน เพราะเป็นความจริงทางธรรมชาติ ที่ว่า ที่ใดมีการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมีการต่อต้านเกิดขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยเป็น ธรรมดา เมื่อผู้บริหารใช้การบริหารการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติแล้วมักทำให้ผู้บริหาร ต้องตกที่นั่งของ Change Agent ซึ่งผู้บริหารเป็นผู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกผู้บริหารควรจะต้องจัดการในเรื่องต่อไป นี้ คือ เรื่องของทัศนคติความเชื่อและความคิดเห็นของบุคลากรต้องพยายามทำให้บุคลากร เห็นพ้องกับตนในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง เรื่องของพฤติกรรมและการกระทำต่าง ๆ ของบุคลากรต้องสามารถควบคุมให้ทุกคนในองค์กรมีพฤติกรรมและกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ขานรับกับการเปลี่ยนแปลงเรื่องของโครงสร้างขององค์กรต้องปรับเปลี่ยนให้ รับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งเรื่องของอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ต้องจัดการให้มีอยู่ในสภาพที่จะรับการเปลี่ยนแปลงได้การแก้ไขต้องทำการวาง แผนแก้ปัญหาและทำงานเป็นทีม ผู้บริหารต้องวางนโยบายที่สอดรับชนิดที่เรียกว่าเป็นการเผชิญหน้ากับความ เป็นจริงที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เรื่องข้อมูลต้องแม่นยำ ถูกต้องและเพียงพอเพื่อสามารถนำไปกำหนดแนวทางในการดำเนินการได้ถูกต้องด้วย ผู้บริหารต้องรู้จักการวิเคราะห์สถานการณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างชาญฉลาดเพื่อการแก้ไขผู้บริหารต้องรู้จักที่จะ เปลี่ยนวิกฤติให้กลายเป็นโอกาส โดยอาศัยช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ในการตรวจสอบตัวเองอย่างถี่ถ้วน ว่าทิศทางขององค์กรของเราควรจะเป็นไป หรือดำเนิน ไปในทางใด ก็จะให้องค์กรสามารถยืนหยัดอยู่ได้ หรือในกรณีที่ได้เกิดความเสื่อมถอย ทรุดลงไปแล้วถ้า ผู้บริหารรู้จัดการบริหารการเปลี่ยนแปลง การดำเนินการก็จะสามารถกลับฟื้นตัวขึ้น เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบได้ในทิศทางที่ยั่งยืนบนหลักการของการเจริญ เติบโต ตามความเป็นจริงโดยอ้างอิงทรัพยากรขององค์การและทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ ผู้บริหารควรต้องคำนึงถึงการในระดับกว้างให้ถึงขั้นระดับชาติ ผู้บริหารต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับนโยบายรัฐโดยสามารถที่จะสร้างนโยบาย และมาตรการที่สอดคล้องกับรัฐและองค์กรที่เป็นพันธมิตรในการดำเนินการ ก็จะทำให้องค์กรดำเนินการ ต่อไปได้ และสามารถผ่านพ้นวิกฤติแห่งการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ ผู้บริหารต้องสร้างนโยบายที่มีเสถียรภาพเป็นที่ยอมรับทั้งจากคนภายในและภาย นอก และจะต้องเป็นนโยบายที่สามารถนำไปใช้ปฏิบัติในการดำเนินการบริหารองค์การได้ จริง ทั้งยังต้องคำนึงถึงการรักษาระเบียบ วินัยขององค์กรอย่างเคร่งครัด
การแสวงหาข้อมูลและการให้ข้อมูลแก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกให้ถูก ต้อง และมากเพียงพอที่จะนำไปใช้การวางแผนรับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ก็นับเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารองค์การจะต้องให้ความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ต้องจัดให้มีการพัฒนาปรับปรุงระบบการจัดหาแลกระจายข้อมูลและให้มีการประสาน กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างดี อีกทั้งยังต้องสามารถทำให้ทุกฝ่ายในองค์กรรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องเข้าใจและยอม รับถึงการร่วมมือการ เพื่อการตั้งรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและเพื่อแก้ไขปัญหาที่จะมีตามมา ด้วย
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันส่วนใหญ่มักเกิดจากปัจจัยภายนอก ซึ่งบางอย่างที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงรู้ได้ล่วงหน้า ยังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงผันผวนขึ้นต่อการดำเนินกิจการขององค์การ ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องรู้จักบริหารการเปลี่ยนแปลงเพื่อรับกับการเสี่ยงได้ อัตราการความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่บางครั้งประมาณการยาก และคาดการณ์ผลกระทบลำบากเพราะเหตุการณ์ที่เกิดมาจากปัจจัยภายนอกที่อาจขยาย กว้างขึ้นคลอบคลุมการดำเนินการในหลาย ๆ ส่วนขององค์กร ผู้บริหารต้อง รู้จักทำสมาธิสร้างความแข็งแกร่งในในให้สูงพอที่จะฟันฝ่าอุปสรรค โดยรู้จักบริหารท่ามกลางความเสี่ยงด้วยการอาศัยการตัดสินใจที่อ้างอิงข้อมูล ที่ถูกต้อง และต้องเป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาดทันต่อเวลาและ เหตุการณ์ด้วยอาการที่ไม่ตื่นตระหนก เพราะถ้าผู้บริหารซึ่งถือว่าเป็นผู้นำเป็นหลักขององค์กรเกิดความกลัวความ ตื่นตระหนกต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว บุคลากรอื่น ๆ ในองค์กรจะเกิดอาการเสียขวัญทำให้เกิดการทำงานที่ขาดสติ การทำงานตามที่ควรจะเป็นไปตามหลักการและความเป็นจริงก็จะไม่สามารถทำได้ ทำให้เกิดผลเสียต่อองค์กร
นอกจากที่ผู้บริหารต้องรู้จักการบริหารการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางความเสี่ยง แล้ว ผู้บริหารที่ดียังต้องรู้จักการปลุกจิตสำนึกของคนในองค์กรในอันที่จะเตรียม พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ตามสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น การเตรียมตัวที่ดีจะทำให้สามารถรับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและสามารถแก้ไข ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
การเปลี่ยนแปลงนโยบายให้ทันรับกับเหตุการณ์และความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น การรู้จักยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน การรู้ว่าสิ่งใดต้องทำก่อนสิ่งใดควรทำหลัง สิ่งใดที่พอที่จะมีหวังที่จะสามารถแก้ไขได้ ผู้บริหารก็จะต้องดูแลก่อนสิ่งใดที่จำเป็นต้องตัดทิ้งก็จะต้องทำ โดยไม่เสียดายเพราะการเก็บเอาไว้อาจเป็นการ ฉุด รั้ง ให้องค์กรต้องถอยหลังไปอีก ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการหรือกิจกรรมที่อยู่ในแผนให้ดี ต้องพิจารณาเรื่องความสามารถขององค์กรซึ่งอันนี้รวมไปถึงความสามารถของ บุคลากรในการที่จะผลิตผลงานที่มีประสิทธิภาพให้สูงสุด การจัดการด้านการเงิน เรื่องต้นทุน ค่าใช้จ่าย กำไรต่าง ๆ ตลอดจนดูแลเรื่องความคุ้มทุน
ระบบการบริหารในองค์กรก็ต้องสร้างให้เป็นแบบกลยุทธ์ในเชิงกรุกมากกว่าเชิง รับ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการบริหารที่ต้องใช้วิธีเฉพาะหน้าให้ได้มากที่สุดเท่า ที่จะทำได้ เพราะการบริหารวิธีเฉพาะหน้ามักจะมี จุดอ่อนในตัวทำให้เกิดความเสี่ยงสูง เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้บริหารจำเป็นต้องใส่ใจและดูแลให้เกิด
ผลในทางปฏิบัติให้ได้ จึงจะนับว่าผู้บริหารท่านนั้นรู้จักการบริหารการเปลี่ยนแปลง
จาก ที่ผู้ศึกษาได้ศึกษา เรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารการศึกษาและเรื่องเกี่ยวกับภาวะผู้นำ เห็นว่าเรื่องเกี่ยวกับการยอมรับการเปลี่ยนแปลง ความเป็นมาเป็นไป ของสังคมของโลกในยุคปัจจุบัน การเปิดใจกว้างเป็นกระบวนการทางความคิด ที่ยอดเยี่ยมหากผู้บริหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารในองค์กรใดๆก็ตาม ไม่เฉพาะในวงการ การศึกษาเท่านั้น ...
  
โต้วาที ท้องไม่แท้ง แท้งไม่ฟ้อง (6)
12
...
  
ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเราเกิดมาในโลกนี้ ทุกคนต่างก็ต้องพบเจออุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ ความสุข ความเศร้า ความเหงา ซึ่งอารมณ์ต่างๆเหล่านี้ เป็นอารมณ์ของมนุษย์หรือปุถุชนที่ต้องพบเจอกัน แต่มนุษย์เราทุกๆคน ก็หวังที่จะมีชีวิตที่เป็นสุขมากกว่าชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ บทความฉบับนี้ เราจะมาพูดเรื่อง “ ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ” ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ สามารถนำไปใช้ได้จริง เริ่มจาก
1.หัดเป็นคนมองโลกในแง่ดี คนที่มองโลกในแง่ดีจะมีความทุกข์น้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย “ โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก ” เป็นคำพูดของคุณขรรค์ชัย บุนปาน ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งเป็นคำพูดที่ให้แง่คิดที่ดี เพราะบางคนชอบแบกปัญหาเหมือนแบกโลก แต่แท้จริงแล้ว ปัญหาทุกปัญหามีทางออกและทางแก้ ดังนั้นหากอยากมีความสุข ขอให้พยายามมองโลกในแง่ดี
2.ใฝ่ธรรมะ คนที่มีธรรมะในใจ มักมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีธรรมะ เพราะผู้ที่มีธรรมะเมื่อพบเจอปัญหาอุปสรรคต่างๆ มักจะมองโลกตามความเป็นจริง สามารถปล่อยวางได้ ทำใจได้ แก้ไขปัญหาได้อย่างเยือกเย็นกว่า หากต้องการพบความสุขที่ยั่งยืน เราควรใฝ่ศึกษาหาธรรมะ แต่ในความเป็นจริง คนส่วนหนึ่งมักใฝ่ศึกษาหาธรรมะตอนที่ตัวเองมีความทุกข์ เช่น บางคนอกหักก็เข้าวัด , บางคนมีปัญหาเรื่องการทำงานก็หาหนังสือธรรมะมาอ่าน , บางคนมีปัญหาชีวิตถึงกับบวชไปเลยก็มี แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าคนบางส่วน ที่มีทุกข์ หาทางออกไม่เจอก็ฆ่าตัวตายไปเลยก็มี
3.ลด ละ เลิก อบายมุข ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติดประเภทร้ายแรงผิดกฎหมาย(ยาบ้า ฝิ่น เฮโรอิน กัญชา) หรือ ยาเสพติดไม่ร้ายแรงไม่ผิดกฎหมาย(บุหรี่ เหล้า เบียร์ ) การ ลด ละ เลิก อบายมุข จะทำให้ชีวิตมีความสุข อีกทั้งสุขภาพแข็งแรง ทั้งใจและร่างกาย ซึ่งยาเสพติดส่วนมากมักจะมีโทษมากกว่ามีประโยชน์ เมื่อเสพก็มักจะติด ยิ่งเสพก็ยิ่งต้องการเสพมากขึ้น หากสามารถ ลด ละ เลิก อบายมุข ได้ก็จะทำให้ท่านลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น อีกทั้งไม่ต้องป่วยเป็นโรคต่างๆ
4.ยิ้มและหัวเราะ การยิ้มและหัวเราะ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียเงินลงทุน อีกทั้งมีประโยชน์มากๆกับผู้ที่ปฏิบัติ คนที่ยิ้มเก่งมักเป็นคนที่มีอารมณ์ดี เบิกบานแจ่มใส การหัวเราะก็เช่นกัน ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาว่า คนที่หัวเราะเป็นประจำจะมีผลดีต่อระบบของหัวใจ ระบบของกล้ามเนื้อ การยิ้มและการหัวเราะ จะทำให้มีเพื่อนมาก คนอยากคบค้าสมาคมมากกว่าคนที่เครียด หน้าบึ้ง ลองหัดยิ้มและหัวเราะทุกวัน ท่านจะพบความสุขมากขึ้นในการดำรงชีวิต
5.รักษาสุขภาพ โดยยึดหลักทางสาธารณสุข 5 อ. อันได้แก่ 1.อาหาร 2.อากาศ 3.ออกกำลังกาย 4.อุจจาระ 5.อารมณ์ (1.อาหาร ควรรับประทานให้ครบ 5 หมู่ 2.อากาศ ควรหาโอกาสในการนำเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในระบบหายใจมากๆ 3.ออกกำลังกาย ควรหาเวลาในการออกกำลังกายประมาณ 20-30 นาที ต่อวัน และ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง 4.อุจจาระ ควรขับถ่ายทุกวันในตอนเช้า ไม่ใช่ 5-6 วันครั้ง ก็จะทำให้สุขภาพย่ำแย่ สำหรับบางคนมีปัญหาเรื่องของระบบการขับถ่ายที่ไม่ดีเนื่องจากการรับประทานกากอาหารเข้าไปน้อยดังนั้นควรทานผัก ผลไม้ ให้มากขึ้น และ 5.อารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์เสียนานและบ่อยๆ เพราะทำให้เกิดภาวะความเครียดได้ )
6.ใช้จ่ายอย่างประหยัด ในภาวะสังคมปัจจุบันเป็นยุคของสังคมที่เรียกว่า “บริโภคนิยม” ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แข่งขันกันบริโภคสินค้าแปลกๆ ใหม่ๆ ทันสมัย ทำให้เกิดหนี้สินขึ้นมาอย่างมากมาย บางคนไม่มีเงินใช้หนี้ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นภายในใจ การหาเงินเก่งไม่สำคัญเท่ากับการเก็บเงินเก่ง เนื่องจากบางคนมีเงินเดือน 100,000 บาทต่อเดือนแต่ใช้ไป 120,000 บาทต่อเดือน สู้คนที่หามาได้เดือนละ 9,000 บาท แต่รู้จักเก็บออมเงินได้เดือนละ 1,000 บาทไม่ได้
ฉะนั้น สุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับแง่คิด ทัศนคติในการมองโลก อีกทั้งการประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล หากต้องการพบความสุขหรือหากท่านต้องการพบความทุกข์ ท่านไม่ต้องไปเที่ยวหาที่อื่นไกล ความสุขหรือความทุกข์ ท่านสามารถพบหรือสัมผัสได้จากตัวท่านเองทั้งสิ้น


















...
  
เขียนให้เก่งอย่างนักเขียน
เขียนให้เก่งอย่างนักเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
งานเขียนเป็นอาชีพอิสระ งานเขียนเป็นอาชีพที่สามารถบริหารเวลาในการทำงานด้วยตนเองได้ งานเขียนสามารถสร้างรายได้มากมายมหาศาล สำหรับคนที่เขียนเก่งและสามารถเขียนในแนวที่ตลาดมีความต้องการได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม งานเขียนเป็นวิชาชีพหนึ่งที่ต้องอาศัยองค์ความรู้อยู่พอสมควร ถ้าไม่มีองค์ความรู้ท่านก็ไม่สามารถเขียนถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ที่ท่านต้องการถ่ายทอดได้
ทำอย่างไรถึงจะเขียนให้เก่งอย่างนักเขียน เคยมีคนตั้งคำถามนี้กับกระผมอยู่บ่อยๆ โดยส่วนตัวกระผมคิดว่า การประกอบอาชีพใดๆ ก็ตามในโลกนี้ บุคคลที่ประกอบอาชีพนั้นๆ หากต้องการความสำเร็จ ท่านจำเป็นจะต้องมีการพัฒนา ทั้งการพัฒนาตนเอง การพัฒนาทักษะ การพัฒนาความรู้ การพัฒนาความคิด การพัฒนาจิตใจ เป็นต้น
หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จในวิชาชีพต่างๆ แต่ท่านขาดการพัฒนา ชีวิตการทำงานของท่านก็จะนิ่ง ไม่มีความก้าวหน้า แต่ถ้าหากท่านมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การประกอบอาชีพนั้นๆ ก็จะเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพและปริมาณ
การจะเขียนให้เก่งอย่างนักเขียนก็เช่นกัน ท่านควรเริ่มต้นจากการฟังหรืออ่าน แนวความคิดของนักเขียนแต่ละท่านว่านักเขียนเหล่านั้นมีเทคนิคอย่างไรเวลาเขียน มีแรงบันดาลใจอย่างไรถึงได้สร้างผลงานที่มีคุณภาพและปริมาณออกมาอย่างมากมาย เมื่อท่านได้เทคนิค วิธีการ ต่างๆจากบรรดานักเขียนแล้ว ท่านลองนำไปปฏิบัติ นำไปปรับปรุง ดัดแปลง วิธีการต่างๆ เหล่านั้น ท่านก็จะเป็นอีกผู้หนึ่งที่จะประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียนภายในอนาคต
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่บรรดานักเขียนที่ประสบความสำเร็จมีเหมือนกันก็คือ
1.การอ่าน การอ่านเป็นเส้นทางของการเป็นนักเขียน นักอ่านทุกคนอาจไม่ใช่นักเขียน แต่นักเขียนทุกคนจะต้องเป็นนักอ่าน การอ่านหนังสือต่างๆ จะทำให้งานเขียนนั้นเกิดการพัฒนา หากไม่ชอบอ่านเราก็จะไม่รู้แนวทางในการเขียนรูปแบบต่างๆ หรือประเภทต่างๆ เช่น การใช้ภาษา การใช้สำนวน การใช้โวหาร การใช้ถ้อยคำ การเว้นวรรค การเล่นคำ การใช้รูปแบบตัวอักษร การสร้างเอกลักษณ์ของนักเขียนแต่ละท่าน เป็นต้น
2.แรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่นปรารถนาที่จะเป็นนักเขียน เป็นสิ่งหนึ่งที่บรรดานักเขียนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมี กล่าวคือ เมื่อนักเขียนมีแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายในชีวิตในการทำงานที่อยากเป็นนักเขียน นักเขียนผู้นั้นก็จะมีความขยันขันแข็งที่จะเขียน มีความตั้งใจที่จะพยายามพัฒนางานเขียนของตนเอง มีความอดทนต่ออุปสรรค การประกอบอาชีพหรือการทำกิจการใดๆ ก็ตาม หากต้องการประสบความสำเร็จจะต้องใช้เวลา เช่น นักมวยแชมป์โลก ไม่ได้ชกแค่ครั้งเดียวแล้วได้เป็นแชมป์โลก แต่ต้องฝึกซ้อม ฝึกฝน พยายาม มานะ อดทน กว่าจะประสบความสำเร็จในการเป็นแชมป์โลก นักเขียนก็เช่นกัน ไม่ใช่เขียนหนังสือออกมาแล้ว 1 เล่ม แล้วไม่ดัง ก็เลิกล้ม หากมีนิสัยอย่างนี้ก็คงประสบความสำเร็จได้ยาก
3.แนวคิดหรือการคิด การประกอบอาชีพใดๆ ก็ตามหากทำเหมือนคนอื่น ผลที่ออกมาก็จะไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ แต่หากเรากล้าที่จะทำให้สิ่งที่ต่างแตก ผลที่ออกมาเราก็จะได้รับผลสำเร็จที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เช่นกัน จงสร้างความแตกต่างแล้วจะมีคนตามอ่านหนังสือของท่านเป็นจำนวนมาก
4.ทำทันที สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นนักเขียนก็คือ ทำทันที “ จงอย่าบอกโลกว่าท่านทำอะไรได้บ้างแต่จงแสดงมันออกมา” มีคนเป็นจำนวนมากอยากเป็นนักเขียน แต่ไม่ยอมลงมือที่จะเขียน หากท่านไม่ย่อมเดินก้าวแรก ท่านก็ไม่มีวันที่จะถึงจุดหมายปลายทาง เช่นกัน หากว่าท่านอ่านมากแต่ไม่ยอมเขียน ท่านได้เป็นแค่นักอ่านไม่ใช่นักเขียน , หากว่าท่านมีแรงบันดาลใจแต่ท่านก็ไม่ลงมือที่จะกระทำคือลงมือเขียน แรงบันดาลใจแทบจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย และหากท่านมีแนวคิดที่ดีๆ แต่ท่านไม่ยอมลงมือที่จะถ่ายทอด แนวคิดนั้นก็ไม่สามารถเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้
โดยสรุปท่านสามารถเขียนให้เก่งอย่างนักเขียนได้ ถ้าท่านชอบอ่านหนังสือ ท่านมีแรงบันดาลใจ ท่านมีแนวความคิดที่ดีๆ แปลกๆ ใหม่ๆ และสิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านต้องลงมือเขียน ถ้าอยากเป็นนักเขียนต้องเขียนครับ




...
  
ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการทำงาน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การทำงานในองค์กร หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน การทำงานวันหนึ่งๆ ของสัปดาห์ ของวัน ในที่นี้ขอนำเอาวันเวลาในระบบราชการเป็นมาตรฐานคือ ทำงานวันจันทร์-วันศุกร์ ทำงานตั้งแต่ 8.00-16.00 น. หากต้องการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพในการทำงาน เราควรศึกษาช่วงเวลาทำงานว่าช่วงไหนควรทำอะไร ช่วงไหนไม่ควรทำสิ่งใด เคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการวิจัยการทำงานในช่วงเวลาต่างๆ ของคนทำงาน โดยได้รายละเอียดดังนี้
1.ช่วงเวลาที่เราควรวางแผนทำงานในวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไปมากที่สุด คือช่วงเวลา 15.45-16.00 น. โดยการเขียนรายการที่จะทำในวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไป ออกมาเป็นรายการว่าเราจะทำอะไรบ้าง หากไม่มีการเขียนรายการ ก็จะทำให้เกิดการลืมได้หรือหากไม่มีเวลาจริงๆ หรือรีบกลับบ้าน ก็คงต้องใช้เวลาในตอนกลางคืนสำหรับการวางแผนการทำงานในวันถัดไป
2.ช่วงเวลาในการประชุมการวางแผนทีมงาน เราควรใช้วันและช่วงเวลา คือ วันพุธของสัปดาห์และเวลา 14.00 น.
หากว่าเราประชุมในวันศุกร์ วันเสาร์-วันอาทิตย์ เป็นวันหยุด เหตุการณ์ต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้อาจต้องมีการประชุมเพื่อปรับแผนใหม่ได้ในวันจันทร์ แต่หากประชุมในวันพุธ ซึ่งวันพฤหัสบดี วันศุกร์ ไม่ได้เป็นวันหยุดเราสามารถนำนโยบายต่างๆ ที่ประชุมไปปฏิบัติได้
3.ช่วงหรือวันเวลาใดที่ยุ่งที่สุด อีกทั้งรถติดมากที่สุด คือ วันจันทร์ โดยเฉพาะ วันจันทร์แรกของการหยุดยาวเนื่องมาจากมีการปิดวันสำคัญต่างๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ , วันสงกรานต์ เป็นต้น และ ถ้าหากไปตรงกับวันจันทร์แรกของเงินเดือนออกก็ยิ่งทำให้รถติดเนื่องจากคนที่ทำงานกินเงินเดือนจะนำเงินไปซื้อสินค้าตามห้างร้านต่างๆ
4.ช่วงที่ควรงดเว้นการประชุม หรือ เรียกประชุม คือ ช่วงวันจันทร์ในตอนเช้าและวันศุกร์ในตอนช่วงบ่าย เนื่องจากคนทำงานราชการ บางส่วนมีครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด บางส่วนก็จะเตรียมตัวกลับบ้านในช่วงบ่ายวันศุกร์ และกลับมาทำงานต่อในวันจันทร์เช้า
5.ช่วงเวลาใดที่ไม่ควรโทรศัพท์ไปติดต่อลูกค้าหรือโทรศัพท์เพื่อคุยธุระกับหน่วยงานต่างๆ คือ ช่วงเริ่มงานตอนเช้า ซึ่งหลายๆ คนพึ่งไปถึงหน่วยงาน กล่าวคือ ช่วง 8.00-9.00 น. ฉะนั้นหากหลีกเลี่ยงการโทรศัพท์เพื่อติดตามงานในช่วงเวลานี้ได้จะเป็นการดี
6.ช่วงเวลาที่สมองสามารถทำงานได้ดีที่สุด ควรทำงานที่สำคัญๆ คือ ช่วงเวลา 10.00-11.00 น. ของแต่ละวันเป็นเวลาที่เราควรใช้ในการทำงานชิ้นสำคัญๆ เนื่องจากช่วงเวลานี้ สมองสามารถทำงานได้ดีเยี่ยม
7.ช่วงเวลาที่สมองสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพต่ำที่สุด คือ ช่วงเวลา 14.00-15.00 น. เราควรหลีกเลี่ยงในการทำงานชิ้นสำคัญๆ ในช่วงเวลานี้ควรทำงานในชิ้นที่ไม่ค่อยสำคัญ
ฉะนั้น หากเราได้รู้ว่าเวลาใดเป็นช่วงเวลาที่เราควรทำงานใด เราก็สามารถวางแผนบริหารเวลาของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางแผนเป็นสิ่งที่สำคัญในการบริหารเวลา ท่านอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ท่านประธานาธิบดีลินคอลน์ได้กล่าวไว้ว่า “ หากข้าพเจ้ามีเวลา 10 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ข้าพเจ้าจะใช้เวลา 7 ชั่วโมงในการลับคมขวาน ” เช่นกัน มีงานวิจัยชิ้นสำคัญเคยกล่าวไว้ว่า หากเราใช้เวลาวางแผนเพียง 8-15 นาทีต่อวัน จะทำให้เราประหยัดเวลาในการทำงานถึงวันละ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
สำหรับเรื่องของการบริหารเวลา การวางแผนเวลา หรือ การอบรมเพื่อพัฒนาตนเอง ในหลักสูตรต่างๆ งานวิจัยยังกล่าวอีกว่า หากท่านต้องการเปลี่ยนนิสัยใหม่ ท่านควรทำพฤติกรรมใหม่ซ้ำๆ ทุกๆวัน ติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน แล้ววันที่ 22 ท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลง กล่าวคือท่านจะได้นิสัยใหม่ ท่านจะได้พฤติกรรมใหม่ แต่ขอย้ำนะครับ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกัน ทุกๆวันอย่างน้อย 21 วัน แต่คนโดยส่วนใหญ่มักจะไม่เปลี่ยนแปลงนิสัย เนื่องจากเดี๋ยวทำ เดี๋ยวหยุด นึกจะทำก็ทำ นึกจะไม่ทำก็ไม่ทำ กล่าวคือความไม่มีวินัยในตนเองนั้นเอง
...
  
อนาคตที่รออยู่ข้างหน้ากับองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค
อนาคตที่รออยู่ข้างหน้ากับองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
เนื่องจากวันที่ 20 ตุลาคม 2554 กระผมได้มีโอกาสเข้าร่วมเวทีสภาผู้บริโภค “ อนาคตที่รออยู่ข้างหน้ากับองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ” ณ โรงแรมพะเยาเกทเวย์ จังหวัดพะเยา จัดโดย...กลุ่มงานภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม , มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา, สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพะเยา,ศูนย์ให้บริการและสนับสนุนนิสิตพิการ,มหาวิทยาลัยพะเยา,สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.),สำนักงานยุติธรรมจังหวัด,สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพะเยา,บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ,สำนักงานสภาทนายความจังหวัดพะเยา,เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดพะเยา และสนับสนุนโดย....กลุ่มงานภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ภายใต้...กสทช.,แผนงานคุ้มครองผู้บริโภค(คคส.),สำนักงานสำนักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.),มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ภายในเวที มีการแสดงละครสะท้อนปัญหาผู้บริโภค จาก..ชุมชนคุ้มครองผู้บริโภคโรงเรียนพะเยาพิทยาคม พิธีเปิดโดย รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา มีการชมวีดีทัศน์เรื่อง “ เสียงและมุมมองเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดพะเยากับพรบ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค” และมีช่วงเสวนา “ ประชาชนจะได้อะไรจาก พรบ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครอง”
อีกทั้งยังมีการแบ่งกลุ่มย่อยตามห้อง โดยมีหัวข้อต่างๆ เช่น ด้านการบริการสาธารณะ(รถโดยสารสาธารณะ),ด้านบริการสุขภาพ(หลักประกันสุขภาพ),ด้านสินค้าและบริการทั่วไป(แร่ใยหิน),ด้านสื่อสารและโทรคมนาคมและด้านอาหาร ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ช่วงสุดท้ายของงานมีการนำเสนอและหาทางออกแต่ละประเด็น
จากการเข้าร่วมเวทีดังกล่าว ทำให้กระผมได้ทราบข้อมูลและความเคลื่อนไหวของ พรบ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ขณะนี้ยังอยู่ในส่วนของนิติบัญญัติหรือรัฐสภาในการพิจารณา ตามข่าว “ 30 ก.ย.2554 นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 54 ที่ผ่านมานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือถึงประธานรัฐสภา แจ้งผลการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และได้ลงมติให้ร้องขอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติรวมทั้งสิ้น ๒๕ ฉบับ โดยในจำนวนนั้นมี ร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ......... และกฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อหมื่นรายชื่อรวมอยู่ด้วย 9 ฉบับ”
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่จังหวัดพะเยา เนื่องจากผู้บริโภคขาดความรู้ ความเข้าใจ ขาดข้อมูลและถูกผู้ประกอบการเอาเปรียบโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ทางด้านโทรคมนาคม เช่น เรื่องของค่าบริการโทรศัพท์มือถือ , ข้อความรบกวนใจ , บริการเสริมไม่ได้สมัคร , บริการเสริมเพลงรอสาย ฯลฯ
สำหรับในประเด็นรถโดยสารสาธารณะ ผู้บริโภคควรมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ จับตา ร้องเรียนต่อหน่วยงานที่ดูแลในงานคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อช่วยกันไม่ให้ผู้ประกอบการเอาเปรียบ เช่น ช่วยกันจับตาในเรื่องของคนขับรถโดยสาร หากขับด้วยความประมาท ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ กินเหล้า สูบบุหรี่ ในขณะขับรถโดยสาร โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสาร , สภาพรถโดยสารบางคันมีสภาพเก่า ยางโล้น ชำรุดทรุดโทรม , พนักงานบริการ บริการด้วยคำพูดไม่สุภาพ ไร้หัวใจในงานบริการ เราสามารถร่วมแจ้งหรือให้ข้อมูลไปที่ หน่วยพิทักษ์ รถโดยสารปลอดภัย โทรศัพท์ 02-2483737 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า รถโดยสารประจำทางบางคัน เก่ามากๆ ซึ่งไม่น่าจะผ่านการตรวจสอบ แต่ก็ยังสามารถใช้เป็นรถโดยสารสาธารณะได้ สำหรับการประกันชีวิตหรือระบบการประกันภัย เมื่อผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการโดยสารรถโดยสารสาธารณะ เงินค่าชดเชย บางรายได้รับค่าชดเชยน้อยมาก อีกทั้งยังต้องมีการฟ้องร้องเป็นคดีความถึงจะได้รับค่าชดเชย
แร่ใยหิน ภัยใกล้ตัวอีกตัวหนึ่ง ที่ควรต้องระวัง แร่ใยหินทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายทำให้เป็นโรคต่างๆ เช่น โรคปอดอักเสบจากแอสเบสตอส , โรคเยื่อหุ้มปอดหนาตัว,โรคมะเร็งปอด และ โรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดหรือเมโสธีลิโอมา กลุ่มที่เสี่ยงมากที่สุดเป็นกลุ่มที่ทำงานในโรงงานที่ใช้แร่ใยหิน ในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ใช้แรงงานในการทำงานก่อสร้าง ทำลายรื้ออาคารต่างๆ ที่มีโอกาสสูดฝุ่นละอองของแร่ใยหิน
พฤติกรรมการทานยาหรืออาหารเสริม ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ถูกผลประกอบการเอาเปรียบ ไม่ว่าการมีการโฆษณาทางวิทยุชุมชน โทรทัศน์ดาวเทียม สื่อต่างๆ ที่มีการโฆษณาเกินจริง อาหารเสริมบางตัวมีการโฆษณาถึงการรักษาโรคต่างๆ แบบครอบจักรวาล เช่น การรักษาโรคมะเร็ง , การรักษาโรคเอดส์ , การรักษาโรคติดต่อต่าง ฯลฯ อีกทั้งยังมีรถขายยาเร่ในชุมชนต่างๆ ที่นำยาที่หมดอายุ ยาที่ด้อยคุณภาพ มาขายอีกด้วย
ดังนั้น ในความคิดเห็นของกระผม พรบ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จึงมีส่วนสำคัญในการทำให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบน้อยลง อีกทั้งพวกเราทุกคนที่เป็นผู้บริโภคควรช่วยกันสนับสนุน แต่ที่ผ่านมาพวกเราที่อยู่ในฐานะผู้บริโภคมักยินยอม และไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้ หรือเรียกร้อง ดังเช่น การยินยอมซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่เขียนว่าคู่ละราคาละ 80 บาท แต่ในความเป็นจริงผู้ขาย ขายในราคาเกินความเป็นจริง เป็นต้น
แต่สิ่งที่กระผมให้ความห่วงใย หากมี พรบ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เกิดขึ้นจริงๆ อาจจะต้องแก้ปัญหาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายในสังคมไทยตามมา เนื่องจากผู้ที่บังคับใช้กฎหมาย ยังไม่มีการบังคับใช้กฏหมายกันอย่างจริงจัง ประเทศไทยเรามีการออกกฎหมายมามากมาย แต่มักมีปัญหาเรื่องการบังคับใช้ นี่คืออีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

...
  
นักการตลาดมืออาชีพ
นักการตลาดมืออาชีพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ยุคปัจจุบัน ธุรกิจทุกประเภท สินค้าทุกตัว มีการแข่งขันอย่างรุนแรง เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม เราจะเห็นได้ว่า เครื่องดื่มมีหลากหลายยี่ห้อ เครื่องดื่มมีหลากหลายประเภท เครื่องดื่มมีหลากหลายรสชาติ เครื่องดื่มมีหลากหลายสี เครื่องดื่มมีหลากหลายขนาด เครื่องดื่มมีหลากหลายรูปแบบ ฯลฯ
ทั้งนี้ ธุรกิจทุกประเภท สินค้าทุกประเภท ยังคงต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน คู่แข่งรายเก่า คู่แข่งรายใหม่ คู่แข่งจากต่างประเทศ จึงทำให้นักการตลาดที่ทำงานด้านการตลาดให้กับธุรกิจประเภทต่างๆ สินค้าประเภทต่างๆ จำเป็นจะต้องมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ผมขอยกตัวอย่างแค่ธุรกิจน้ำดื่มในประเทศไทยของเรา สำหรับการตลาดในธุรกิจน้ำดื่มในยุคปัจจุบัน ภาพรวมตลาดรวมเครื่องดื่มกว่า 130,000-140,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดน้ำอัดลม 44,000-45,000 ล้านบาท น้ำดื่ม 23,000ล้านบาท เครื่องดื่มชูกำลัง 20,000ล้านบาท ชาพร้อมดื่ม 13,000 ล้านบาท น้ำผลไม้ 12,000 ล้านบาท กาแฟพร้อมดื่มประมาณ 10,000ล้านบาท ฟังก์ชันนอลดริงค์และเครื่องดื่มผสมวิตามิน 5,000ล้านบาท และเครื่องดื่มเกลือแร่ 4,200 ล้านบาท
เราจะเห็นว่า แค่เครื่องดื่มประเภทชาพร้อมดื่ม บริษัทใหญ่ๆ หรือยี่ห้อที่มีส่วนแบ่ง
การตลาดอันดับต้นๆ มักจะใช้กลยุทธ์ ลด แลก แจก แถม จนทำให้คู่แข่งบางราย ที่มีทุนไม่มาก ถึงขนาดออกจากตลาดไปเลยก็มี เช่น
1.อิชิตัน รหัสรวยเปรี้ยง ตอน ทอง หมื่น แสน ล้าน แจกหนัก 1,110 รางวัล มูลค่า 30 ล้านบาท วิธีการส่ง SMS : พิมพ์ *711* ตามด้วยหมายเลข 10 หลัก ใต้ฝาขวด รหัส อิชิตัน แจกทุกวันจันทร์ วันที่ 10 กันยายน - 12 ตุลาคม 2558
2.โออิชิ รหัสโออิชิ แจกเยอะ จัดหนัก กองทัพรถ 600 คัน และลุ้นเป็นเจ้าของรถยนต์ โตโยต้า ยาริส ระบบเกียร์อัตโนมัติ กติกา ส่งรหัสใต้ฝา ทางมือถือ กด *494*รหัส# ระยะเวลาโปรโมชั่น ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2558
ในสมรภูมิเครื่องดื่มประเภทชาเขียว มีการแจกยังไม่พอ ยังมีการแข่งขันลดราคากันอย่างรุนแรงดังที่เราได้เห็นกันมา เช่น
- มิเรอิ ลดราคาทันทีขนาด 500 มล.ราคา 20 บาท เหลือ 16 บาท จึงส่งผลกระทบอิชิตันที่เพิ่งหมด
โปรโมชั่นลดราคาจาก 16 บาท เหลือ 14 บาท ในช่วงเดือน กรกฏาคม – สิงหาคม 2554
- คิริน ขายในเซเว่น อีเลฟเว่น ขนาด 350 มล. ขวดละ 15 บาท ขายคู่ 2 ขวด 22 บาท ช่วง
สิงหาคม – กันยายน 2554
- โออิชิ ซื้อสินค้าที่เซเว่น อีเลฟเว่น ครบ 40 บาท แลกซื้อโออิชิ 2 ขวด 25 บาท จากปกติขวดละ
20 บาท เหลือเพียงขวดละ 12.50 บาท ช่วงเดือน สิงหาคม – กันยายน 2554
- ทีเบรก ขาย 2 ขวดคู่จากราคา 30 บาท เหลือ 22 บาท เฉพาะในเซเว่นอีเลฟเว่น สิงหาคม –
กันยายน 2554
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า ตลาดชาเขียว ในยุคปัจจุบัน จึงปิดตายสำหรับคู่แข่งรายเล็กๆ หรือ คู่แข่ง
ที่ไม่มีทุนหรือสายป่านยาวพอ อีกทั้งการแข่งขันกันในสงครามของราคา จะทำให้ยี่ห้อบางยี่ห้อต้องถูกออกจากการแข่งขันในที่สุด ซึ่งเหตุผลหลักๆก็คือ ต้นทุนสูงขึ้น ราคาถูกลง จึงทำให้กำไรน้อยลง และถ้าขายไม่ออกก็จะประสบกับภาวการณ์ขาดทุนในที่สุด
ฉะนั้น นักการตลาดมืออาชีพ จึงต้องหาทางออกให้กับสินค้าของตนเอง ก่อนที่จะประสบกับภาวะการขาดทุนหรือการออกนอกตลาด เช่น อาจจะต้องมีการขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศ เหมือนเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดงที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม , การขยายธุรกิจออกไปทำธุรกิจเครื่องดื่มประเภทอื่น โดยการสร้างแบรนด์ใหม่ๆหรือแบรนด์เดิม (กาแฟ , เครื่องดื่มชูกำลัง , น้ำผลไม้) , การสร้างนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆออกมาเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายที่มีความแตกต่างกัน(เอาชาเขียวมาผสมกับเครื่องดื่มต่างๆ เช่น ชาเขียวผสมโซดา , ชาเขียวผสมน้ำผลไม้,ชาเขียวผสมเครื่องดื่มชูกำลัง) , การสร้างความหลากหลายในตัวของสินค้า(รสชาติ บรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย ขนาด รูปขวด ราคา) , การสร้างผลิตภัณฑ์ดื่มเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง , การสื่อสารเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อถือ เกิดการศรัธทา เกิดการบอกต่อ ฯลฯ
สิ่งที่กล่าวมานี้ จึงเป็นเรื่องที่นักการตลาดมืออาชีพ จะมองข้ามไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นนักการตลาดในธุรกิจประเภทใด สิ่งที่ท่านจะต้องเจอก็คือ คู่แข่งขัน และถ้าเป็นการแข่งขันอย่างรุนแรง ท่านซึ่งเป็นนักการตลาด ท่านจะทำอย่างไรเพื่อเอาตัวรอดหรือให้ชนะคู่แข่งขัน
สุดท้ายนี้ จึง ฝากนักการตลาดไว่ว่า “ ความคิดมีความสำคัญมาก ท่านจงคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสินค้า เปลี่ยนแปลงบริษัทอย่างไรให้เจริญขึ้น จงสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้น อย่ารอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนแล้วจึงหาทางแก้ไข เพราะถ้าท่านรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนแล้วจึงลงไปแก้ไข ถึงตอนนั้นท่านอาจจะแก้ไขไม่ทันการณ์”
ถามว่า ทำไม บริษัท แอปเปิ้ล ของสตีฟ จอบส์ จึงประสบความสำเร็จ คำตอบก็เพราะว่า บริษัทแอปเปิ้ล ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดเวลา เขาจะไม่รอขายของเก่าหรือรอให้คู่แข่งตามทัน แต่คู่แข่งต่างหากที่ต้องตามเขา


...
  
การค้ามนุษย์ภัยร้ายในสังคมไทย
การค้ามนุษย์ภัยร้ายในสังคมไทย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจาย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
สถานการณ์การค้ามนุษย์ของสังคมไทย ในภาวะปัจจุบันมีความรุนแรง มีมากขึ้น กว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการบังคับเด็กเพื่อบังคับใช้แรงงาน บังคับค้าประเวณี ขอทาน ไม่เว้นแม้กระทั่ง ผู้ใหญ่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
สำหรับชาวต่างชาติที่เป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าชาวต่างชาติที่มาจากประเทศ จีน พม่า ลาว เวียดนาม รัสเซีย ฟิจิและอุซเบกิสถาน ซึ่งชาวต่างชาติเหล่านี้เข้ามาในไทยด้วยความเต็มใจ ก็ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ความยากจน การต้องการเงินทอง โดยส่วนใหญ่ก็จะเข้ามาในรูป การขอทาน การถูกบังคับ ขู่เข็ญ ล่อลวงเพื่อบังคับใช้แรงงานและการขายตัวหรือค้าประเวณี
สำหรับ ความหมายของ การค้ามนุษย์ คือ การจัดหา การส่ง การทำให้เคลื่อนที่ของมนุษย์ โดยบุคคลด้วยวิธีการใช้กำลัง การข่มขู่ การบังคับ โดยการทำเพื่อการค้า การหารายได้ โดยมิชอบ หรือการรับผลประโยชน์ การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี การแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ การบังคับใช้แรงงาน การเอาคนมาใช้งานเยี่ยงทาส การนำคนมาขอทาน
ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์มีหลายฉบับมากมาย เช่น
1.ประมวลกฏหมายอาญา 2.พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
3.พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539
4.พ.ร.บ.ปราบปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ.2471
5.พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
6.พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 7.พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
8.พ.ร.บ.จัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 9.พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472
10.พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535
11.พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2552 12.พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ.2484
ซึ่งหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องและร่วมแก้ไขปัญหาได้แก่
ตำรวจหรือพนักงานฝ่ายปกครอง,พนักสอบสวน,โรงพยาบาล,นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์,พนักงานอัยการ,ทนายความ,องค์กรพัฒนาเอกชน,กระทรวงยุติธรรม,สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด,ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จังหวัด,บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัด ฯลฯ
สำหรับรูปแบบการค้ามนุษย์หรือรูปแบบการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ คือ
1.การค้าประเวณี 2.แสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น 3.การผลิตหรือเผยแพร่วัตถุหรือสื่อลามก (ข้อ 1-3 เน้นเรื่องทางเพศ) 4.การเอาคนลงเป็นทาส 5.การนำคนมาขอทาน 6.การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ 7.การบังคับตัดอวัยวะเพื่อการค้า
ฉะนั้น การค้ามนุษย์ กระบวนการค้ามนุษย์ จึงเป็นภัยร้ายของสังคมไทย ที่พวกเราต้องคอยช่วย สอดส่อง ดูแล เพราะถ้าปัญหา ที่เกิดจากการค้ามนุษย์มีมากขึ้น ก็จะกระทบและก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่นๆตามมา
...
  
อาจารย์พะเยาว์ พัฒนพงศ์
การศึกษา
ปริญญาโท ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต (Thai studies) มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต วิทยาลัยครูสวนสุนันทา กรมการฝึกหัดครู
วุฒิบัตร ศิลปะการพูดขั้นสูง สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
[แก้] เกียรติคุณ
นักพูดเข็มทองฝังเพชร ผู้มีสาระยอดเยี่ยม จากมติมหาชน
นักพูดดีเด่น ของอัครสังฆมณฑล กรุงเทพฯ
ผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีผลงานดีเด่นด้านการใช้ภาษาไทย กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
บุคคลผู้สนับสนุนการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมไทย คณะกรรมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ
สตรีผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมที่ควรยกย่อง โรงเรียนรับรางวัลพระราชทาน “โรงเรียนประสาทศิลป์”
ศิษย์เก่าดีเด่นสาขาอาชีพอิสระ นักพูด โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช
ผู้ปกครองดีเด่น โรงเรียนสตรีวิทยา 2
แม่ดีเด่น เนื่องในวันแม่แห่งชาติ 2542 โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
[แก้] ประสบการณ์
วิทยากรหลักสูตรนักบริการการแพทย์ และสาธารณสุขระดับสูง กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2529-2542
ผู้บรรยายวิชา การพูดในที่สาธารณะ สถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง
ผู้บรรยายในการสัมมนา “ประชาคมเมือง” กรุงเทพมหานคร
วิทยากรการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ศิลปะการพูดที่มีคุณภาพ กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ
[แก้] ผู้บรรยายพิเศษ
คณะมัณฑนศิลป มหาวิทยาลัยศิลปากร
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ฯลฯ
ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%8C_%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C".
หมวดหมู่: บทความเหมือนเรซูเม | พิธีกรไทย | นักพูด | บุคคลจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง | บุคคลจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา | บุคคลจากสมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
หมวดหมู่ที่ซ่อนอยู่: บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเครื่องมือส่วนตัว
คุณลักษณะใหม่ล็อกอิน / สร้างบัญชีผู้ใช้เนมสเปซ
บทความอภิปรายสิ่งที่แตกต่างดู
เนื้อหาแก้ไขประวัติการกระทำ
สืบค้น

ป้ายบอกทาง
หน้าหลักเหตุการณ์ปัจจุบันถามคำถามบทความคัดสรรบทความคุณภาพสุ่มบทความมีส่วนร่วม
ศาลาประชาคมปรับปรุงล่าสุดเรียนรู้การใช้งานติดต่อวิกิพีเดียบริจาคให้วิกิพีเดียวิธีใช้พิมพ์/ส่งออก
สร้างหนังสือดาวน์โหลดในชื่อ PDFหน้าสำหรับพิมพ์
เครื่องมือ
หน้าที่ลิงก์มาปรับปรุงที่เกี่ยวโยงอัปโหลดหน้าพิเศษลิงก์ถาวรอ้างอิงบทความนี้หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2553 เวลา 13:03 น.
อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน; เงื่อนไขอื่นอาจใช้ประกอบด้วย โปรดศึกษาเงื่อนไขการใช้งาน
...
  
พูดอย่างผู้นำ

พูดอย่างผู้นำ
แต่งโดย ดร.ดนัย ตุลาบดี แปลและเรียบเรียง ภายในเล่มมีคำพูดของนักพูดระดับโลก เช่น โรแนลด์ เรแกน
ลีกวนยู มาร์กาเรต แทตเชอร์ ลีไออาค็อกคา บิลล์ คลินตัน ฯลฯ
ราคาเล่มละ 105 บาท จัดจำหน่ายและจัดพิมพ์ โดย ดอกหญ้า
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.