หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
คุณประโยชน์ของการอ่าน คือ หน้าต่างแห่งโลกกว้าง
คุณประโยชน์ของการอ่าน คือ หน้าต่างแห่งโลกกว้าง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อวันที่ 27 กรกฏาคม 2555 กระผมได้มีโอกาสไปบรรยายให้ความรู้กับ เจ้าหน้าที่ พนักงาน ผู้บริหารของ องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ดอกคำใต้และ บุคลากรของ มหาวิทยาลัยพะเยาบางส่วน ในหัวข้อ “ คุณประโยชน์ของการอ่าน คือ หน้าต่างแห่งโลกกว้าง” จัด ณ ห้องประชุมใหญ่ ของ องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ดอกคำใต้ ในโอกาสนี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ กระผมจึงได้เขียนบทความฉบับนี้เพื่อเผยแพร่
เมื่อพูดถึงเรื่องการอ่านของสังคมไทย สังคมไทยมีนิสัยรักการอ่านโดยเฉลี่ยต่อคนน้อยมาก จากสถิติการอ่านหนังสือของคนไทยในปี 2554 ( อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2555 ) ประเทศเวียดนาม ประชาชนอ่านหนังสือเฉลี่ย 60 เล่ม ต่อปี , ประเทศสิงคโปร์ ประชาชนอ่านหนังสือเฉลี่ย 40-60 เล่มต่อปี และประเทศไทยของเรา ประชาชนอ่านหนังสือเพียง 2-5 เล่มต่อปีเท่านั้น
จากสถิติข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า คนไทยอ่านหนังสือน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เพราะธรรมชาติของคนไทยมีนิสัยที่ชอบพูด ชอบฟัง มากกว่า ชอบอ่าน ชอบเขียน อีกทั้งในสังคมโลกยุคปัจจุบันมีสื่อที่ทันสมัยอีกมากมาย จึงทำให้การอ่านของคนไทยยิ่งน้อยลง เช่น มี VCD DVD อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ได้เขียนในหนังสือของท่านว่า สังคมโลกแบ่งออกเป็น 5 ยุค ซึ่งประกอบไปด้วย ยุคที่ 1 ยุคของสังคมเกษตร คนที่มีที่ดินมากจึงถือว่าเป็นคนที่มั่งคั่งในยุคสังคมในสมัยนั้น ยุคที่ 2 ยุคสังคมอุตสาหกรรมเป็นยุคของการผลิต ใครผลิตได้มาก ใครตั้งโรงงาน ใครมีทุนมากถือว่าเป็นคนที่มั่งคั่ง ยุคที่ 3 เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร เป็นยุคของคนที่มีข้อมูลมากมักได้เปรียบคนมีข้อมูลน้อย ยุคที่ 4 เป็นยุคของความรู้ เป็นยุคที่ใครสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ได้คนนั้นได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ และยุคที่ 5 เป็นยุคของสังคมแห่งปัญญา กล่าวคือ ใครสามารถเอาความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาจะได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ
ดังนั้น การอ่านจึงมีความสำคัญอย่างมากในสังคมโลกยุคปัจจุบันและยุคอนาคต แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สังคมไทยและคนไทยยังให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยมาก
สำหรับคุณประโยชน์ของการอ่านนั้น มีมากมาย เช่น
1.การอ่านทำให้เกิดความคิด คนที่อ่านหนังสือมากมักจะเป็นนักคิด อีกทั้งการอ่านยังทำให้เราสามารถคิดใคร่ครวญมากกว่าการฟัง เพราะการฟังเราไม่สามารถหยุดฟังคนพูดได้ เราต้องฟังจนจบ แต่การอ่านหนังสือ เมื่อเราอ่านแล้วเกิดคำถาม หรือข้อสงสัย เราสามารถหยุดอ่านบรรทัดนั้นได้แล้ว คิดต่อว่าสิ่งที่เราอ่านนั้นใช่หรือไม่ใช่ เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ตามที่ผู้เขียนได้เขียนไว้
2.การอ่านช่วยในการสร้างสมาธิได้ดี คนที่อ่านหนังสือมักเป็นคนที่มีสมาธิ การอ่านจึงเป็นวิธีในการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง เป็นการฝึกสมาธิที่ได้ทั้งองค์ความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสารในเวลาเดียวกัน
3.การอ่านช่วยในการพัฒนาตนเอง คนที่อ่านหนังสือมากมักเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ ชอบที่จะพัฒนาตนเอง การอ่านจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาตนเองเพื่อให้เกิดทักษะต่างๆอย่างมากมาย
4.การอ่านช่วยให้เกิดการเพลิดเพลิน บางคนเมื่อทำงานเหนื่อย เกิดความเบื่อหน่ายในการทำงาน การอ่านหนังสือ ตลก หนังสือบันเทิง หนังสือนิยาย จะช่วยให้เกิดการเพลินเพลินได้อีกวิธีหนึ่ง
5.การอ่านช่วยในการสร้างแรงบันดาลใจ คนที่ประสบความสำเร็จมักชอบอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือทำให้เขาเกิดความคิด เกิดแรงบันดาลใจ เกิดความมานะที่จะต่อสู้สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะ การอ่านหนังสือประเภท ชีวประวัติบุคคลสำคัญของโลก
เมื่อเราเห็นประโยชน์ของการอ่านหนังสือแล้ว แต่ถามว่าทำไมคนไทยจึงไม่ชอบอ่านหนังสือ อาจเป็นเพราะ หลายคนคิดเรื่องเกี่ยวกับหนังสือไม่ถูกต้อง เช่น เมื่ออ่านหนังสือมากๆ กลัวถูกคนล้อว่า เป็น “ หนอนหนังสือ” หรือ “ อ่านหนังสือแล้วเครียด” อีกทั้งบรรยากาศในการอ่านก็มีส่วนช่วยในการอ่านหนังสืออีกด้วย การปรับปรุงห้องสมุด จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเป็นเครื่องมือในการช่วยให้คนไทยเกิดนิสัยรักการอ่านเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นคุณประโยชน์ของการอ่าน จึงเป็นการเปิดหน้าต่างให้เราพบโลกที่กว้างขึ้น เราสามารถรู้วัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่ เรื่องราวของประเทศต่างๆ ของคนอีกซีกโลกหนึ่งก็ด้วยการอ่าน จงอ่านหนังสือมากๆ แล้วชีวิตของท่านจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

...
  
ธรรมชาติของงานบริการ
ธรรมชาติของงานบริการ
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
โลกแห่งการแข่งขันในยุคปัจจุบันทำให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัวอย่างสูงในการแข่งขัน ธุรกิจอุตสหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตก็มักจะเปลี่ยนมาทำอุตสหกรรมที่เกี่ยวกับการบริการ เช่นบริษัท IBM สมัยอดีตมีการผลิตคอมพิวเตอร์ แต่ปัจจุบันก็ได้หันมาทำหรือผลิตโปรแกรมต่างๆขายแทน , บริษัท GE เมื่อก่อนอยู่ในอุตสหกรรมการผลิต แต่ปัจจุบันได้หันมาทำอุตสหกรรมการบริหารทางด้านการเงิน
เราจะเห็นได้ว่า ในยุคปัจจุบันการจ้างงานในอุตสหกรรมการบริการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่แรงงานในอุตสหกรรมทางการผลิตลดลงไปเรื่อยๆ อีกทั้งอุตสหกรรมการบริการ เวลาทำงานมักจะเหนื่อยน้อยกว่า ได้เงินมากกว่า ตัวอย่างเช่น หากว่าเราไปทำงานในโรงงานอุตสหกรรมในการผลิตสินค้าต่างๆ เราจะต้องทำงานหนักกว่า เหนื่อยกว่า ได้ค่าแรงน้อยกว่า การที่เราทำงานทางด้านอุตสหกรรมการบริการ ไม่ว่าจะเป็นอุตสหกรรมการบริการทางด้านการเงิน พนักงานธนาคาร พนักงานขายประกันชีวิต อุตสหกรรมการบริการทางด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม พนักงานนำเที่ยว พนักงานต้อนรับ ฯลฯ
แต่คนที่ทำงานทางด้านการบริการในประเทศไทย บางครั้งก็ต้องทำใจ เพราะสังคมไทย หากใครทำงานด้านบริการ หากทำดีก็มักจะเสมอตัว แต่ถ้าพลาด มักจะโดนต่อว่า ตำหนิ ดุด่า บ่น ทำให้เสียชื่อ ร้องเรียน ถูกเหยียบ ฯลฯ และหากพูดตามความจริงแล้ว อาชีพบริการมักฝืนธรรมชาติของคนเรา เพราะคนเรามักชอบให้คนอื่นเอาใจใส่ ชอบให้คนมาดูแลตนเอง มากกว่าที่จะดูแลผู้อื่น
สำหรับลูกค้านั้น มีความหลากหลาย ทั้งมากเรื่องมากราว มีทั้งมีอารมณ์ต่างๆมากมาย เวลาที่ใช้บริการ มีทั้งดี มีทั้งร้าย แต่สำหรับตัวของผู้ให้บริการเองแล้ว ต้องยอมรับและทำตามหน้าที่ ว่าลูกค้าคือผู้ที่มีพระคุณต่อเรา บางแห่งถึงกับให้คำจำกัดความว่า “ ลูกค้าคือพระเจ้า” ด้วยซ้ำไป ซึ่งจะแตกต่างกับอุตสหกรรมทางด้านการผลิต ที่คนทำงานจะตั้งหน้าตั้งตา ทำงานผลิตสินค้า
กระบวนการบริการโดยมากมักจะมีข้อขัดแย้งอยู่เป็นธรรมดา เช่น ลูกค้ารายใหญ่บางคนต้องการความรวดเร็ว มีความจำเป็นบางประการซึ่งต้องการความรีบด่วน เราก็ต้องแก้ไขปัญหาหรือทำระบบขึ้นมาใช้ เพราะถ้าใช้ระบบคิว เกิดถ้าลัดคิว และลูกค้ารายอื่นรู้ ก็จะเกิดขัดแย้ง จึงต้องหาระบบมารองรับ ปัญหาต่างๆเหล่านี้
การใช้คำพูดของพนักงานบริการหรือคนทำงานด้านบริการก็มีความสำคัญมากครับ คำพูดบางคำ พูดไม่เหมือนกัน มีความหมายเหมือนกัน แต่ทำให้ความรู้สึกของลูกค้าแตกต่างกัน เช่น หัวล้าน ความรู้สึกของลูกค้าอาจจะไม่ดี แต่ถ้าบอกว่า ลูกค้าเป็นคน โหมงเฮงดี , หน้าผากกว้างดูมีบารมี ลูกค้าอาจจะชอบใจมากกว่า , คำว่า “พูดมาก” ก็น่าจะใช้คำพูดว่า “พูดเก่ง , รู้จักพูด” แทน , คำว่า “หน้าด้าน” ก็น่าจะใช้คำว่า “กล้าแสดงออก” , คำว่า “ขี้เหนียว” ก็น่าจะใช้คำว่า “ ประหยัด” แทน ฯลฯ
ดังนั้น เราจะเห็นว่า คำพูดบางคำ เมื่อพูดออกไป อาจจะเป็นหอกหรือเข็มทิ่มแทงใจของลูกค้า แต่ถ้า
เรามีการขัดเกลาคำพูดเสียใหม่ มีการระวังในการใช้คำพูด ลูกค้าก็จะเกิดความประทับใจในตัวเราหรือผู้ให้บริการมากขึ้น ทั้งนี้ รวมไปทั้งการใช้น้ำเสียงในขณะพูดด้วย เพราะ ถ้อยคำ สื่อความหมาย แต่ น้ำเสียงทำให้เกิดความหวั่นไหวขึ้นภายในหัวใจ

...
  
การพูดกับการเป็นผู้นำ
ผู้นำกับการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน (เป็นคำพูดของอดีตประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ของสหรัฐอเมริกา)
โปรดอย่าถามว่าประเทศชาติของท่านจะทำอะไรให้แก่ท่านได้บ้าง แต่ขอให้ถามว่าเราจะทำอะไรบ้างสำหรับประเทศชาติของท่าน(เป็นคำพูดของอดีตประธานาธิบดี จอห์น ฟิตซ์เจอราล เคนเนดี้)
ถ้าคุณมีเงินหนึ่งรูปปี และฉันมีเงินหนึ่งรูปี แล้วนำเงินนั้นมาแลกกัน ก็จะไม่มีความหมายอะไร เพราะเราก็จะมีเงินแค่หนึ่งรูปีเท่าเดิม แต่ถ้าคุณมีหนึ่งความเห็น และฉันมีหนึ่งความเห็น แล้วเรานำความเห็นนั้นมาแลกกัน เราทั้งคู่ก็จะได้กำไร เพราะเราต่างก็มีความเห็นเพิ่มขึ้นเป็นสองความเห็น (เป็นคำพูดของ นางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดีย)
จากข้อความในประโยคข้างต้น ทำให้เราทราบว่าคำพูดแค่ประโยคเดียว สามารถเป็นที่จดจำของคนทั้งโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่เป็นผู้นำคำพูดของบุคคลนั้น มักเป็นที่สนใจของสาธารณะ ผู้ที่เป็นผู้นำจึงต้องเป็นผู้ที่ต้องระมัดระวังคำพูด คำพูดแค่ประโยคเดียวสามารถเป็นที่จดจำของบุคคลต่างๆ ได้ทั้งในแง่ดีและในแง่ไม่ดี ดังคำพูดของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยของเราที่กล่าวไว้ว่า “ ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด หลังพูดคำพูดเป็นนายเรา”
การเป็นผู้นำที่ดีมักมีคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น ความรอบรู้ , ความอดทน ,เป็นคนดี มีศีลธรรม , มีไหวพริบ ฯลฯ แต่คุณสมบัติหนึ่งที่ผู้นำพึงมีก็คือ การพูดนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการพูดในชีวิตประจำวันและที่สำคัญการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำจึงต้องเป็นผู้ที่ต้องมีการพัฒนาและฝึกฝนการพูดอยู่เสมอ
การพูดของผู้นำที่ดี ผู้นำควรพูดให้มีความหลากหลาย เช่น มีคำคมในการพูด , คำพูดนั้นมีความชัดเจน , มีจิตวิทยาทางการพูด , รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ในการพูด , รู้จักใช้ศาสตร์และศิลปะในการพูดฯลฯ
มีคำคมในการพูด ผู้นำที่ดีมักจะต้องเป็นผู้ที่สะสมคำคมของบุคคลสำคัญๆ มักเป็นผู้รวบรวมคำคมต่างๆ เพื่อที่จะนำไปใช้ในอนาคต เนื่องจากคำคมเป็นคำสั้นๆ แต่สื่อความหมายได้ลึกซึ้ง ผู้นำที่พูดคำคมได้ดีมักเป็นผู้ที่ใช้ภาษาได้ดี รู้จักใช้คำต่างๆ ดั้งนั้น หากผู้นำต้องการฝึกฝนใช้คำคมต่างๆ ผู้นำควรจดจำ บันทึก คำคมของบุคคลต่างๆ ที่ตนชื่นชอบ แล้วว่างๆ ผู้นำควรหัดคิดคำคมหรือปรับเปลี่ยนคำคมของผู้อื่นมาเป็นของตนเพื่อนำไปใช้ในอนาคตในการพูด
คำพูดนั้นมีความชัดเจน ผู้นำควรฝึกพูดให้มีความชัดเจนหรือหัดสื่อความหมายจากความคิดของตนเองให้ผู้ฟังมีความเข้าใจที่ตรงกัน อีกทั้งเวลาพูดก็ต้องพูดให้มีความชัดเจน หนักแน่น ไม่ใช่พูดด้วยความไม่มั่นใจ
มีจิตวิทยาทางการพูด ผู้นำควรเรียนรู้ ศึกษา เรื่องของจิตวิทยาทางการพูด ว่าเวลาพูดกับผู้ฟังในวัย อายุ เพศ อาชีพ จำนวนคนฟังมากน้อย ควรมีการพูดที่แตกต่างกันไป เพื่อจะทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจในการพูดของผู้นำ
รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ในการพูด ผู้นำควรรู้จักพูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะการพูดเรื่องเดียวกัน แต่ต่างสถานที่ ต่างเวลา ต่างเหตุการณ์ ก็ควรใช้คำพูดที่มีความแตกต่างกัน
รู้จักใช้ศาสตร์และศิลปะในการพูด ผู้นำควรอ่านหรือฟัง เทคนิคต่างๆ ในการพูดให้มากๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้
อีกทั้งการนำไปใช้หรือเรียกว่า ศิลปะในการพูด ควรมีการพัฒนาตนเอง ทั้งมีการปรับปรุงน้ำเสียง ท่าทาง บุคลิกภาพ การใช้ถ้อยคำภาษา การแสดงออกทางใบหน้า การเดิน การใช้ไมโครโฟน ฯลฯ จะต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือให้เหมาะกับตนเอง
ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำจึงต้องหัดฝึกฝนการพูด อีกทั้งต้องหมั่นศึกษา เรียนรู้ เทคนิคใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ผู้นำควรมีการพัฒนาตนเอง ปรับปรุง แก้ไข ตนเอง เพื่อให้การพูดนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
คำพูด เป็นทั้งของขวัญที่ล้ำค่า และ คำพูด เป็นทั้งหอกดาบที่ทิ่มแทง











...
  
7 C เพื่อการสื่อสารที่ดี
7 C เพื่อการสื่อสารที่ดี
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การสื่อสารของมนุษย์มีความสำคัญและมีความจำเป็นมากในการอยู่ร่วมกัน เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม กล่าวคือ มีการอยู่ร่วมกัน มีการช่วยเหลือกัน มีการแบ่งงานกันทำ ดังนั้น การสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน การใช้ท่าทาง จำเป็นจะต้องมีการพัฒนา ในบทความนี้ขอนำเสนอเรื่อง “7 C เพื่อการสื่อสารที่ดี”
C ที่ 1 Clear ชัดเจน การสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูด การเขียน จะต้องเป็นการสื่อสารที่มีความชัดเจน เรียบง่าย เมื่อสื่อสารออกไปแล้ว ผู้รับสารต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเช่นเดียวกับผู้ส่งสาร
C ที่ 2 Concise มีความกระชับ การสื่อสารที่ดีไม่จำเป็นจะต้อง เขียนหรือพูด ยาวๆหรือต้องปริมาณมากๆ แต่การสื่อสารที่ดี ไม่ว่าการพูดหรือการเขียน ควรพูดหรือเขียนให้มีความสั้นกระชับ
C ที่ 3 Correct มีความถูกต้อง เป็นสิ่งที่ผู้ส่งสารควรพิจารณา และตรวจสอบก่อนที่จะส่งสารออกไป ว่าสารที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อสารออกไป เป็นข้อมูลข่าวสารที่มีความถูกต้องชัดเจนหรือไม่ หากไม่ถูกต้องควรแก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่จะส่งสารออกไป
C ที่ 4 Courteous มีความสุภาพ พอเหมาะ พอสมควร สารที่ส่งออกไปควรเป็นไปด้วยความสุภาพ พอเหมาะ พอสมควร ไม่มากไปหรือน้อยเกินไป ทั้งนี้การสื่อสารเป็นทั้ง ศาสตร์คือเรียนรู้ได้ และเป็นทั้งศิลป์ กล่าวคือ ประยุกต์ใช้ได้ ผู้ส่งจึงต้องรู้จักการวิเคราะห์สถานการณ์และต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้รับสาร
C ที่ 5 Concrete สื่อให้มีความสร้างสรรค์ การสื่อสารที่ดีควรสื่อไปในลักษณะการสร้างสรรค์มากกว่าการทำลายกัน เพราะการสื่อสารในด้านบวกมักจะทำให้ผู้รับสารชื่นชอบมากกว่า การส่งข่าวสารออกไปในด้านลบ
C ที่ 6 Consider พิจารณาว่าการสื่อสารนั้นสามารถเป็นที่เชื่อถือสำหรับผู้รับสารหรือทำให้ผู้รับสารคล้ายตามด้วยหรือไม่ เพราะการสื่อสารหากต้องการได้รับความร่วมมือจากผู้รับสาร สารที่ส่งออกไปและผู้ส่งจะต้องทำให้ผู้รับสารเชื่อถือ ยอมรับเสียก่อน
C ที่ 7 Complete มีความสมบูรณ์ครบถ้วน การสื่อสารที่ดี สารที่ส่งควรมีความครบถ้วนสมบูรณ์เสียก่อน ที่จะส่งออกไปยังผู้รับสาร ดังนั้น ผู้ส่งควรต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุด
สำหรับการนำเสนอ ผู้ส่งสารควรนำเสนอด้วยบุคลิกภาพดังนี้
1. ใช้ท่าทางประกอบการพูดอย่างเป็นธรรมชาติ
2. มีการยืนและนั่ง อย่างสง่า อย่างเชื่อมั่นในตนเอง
3. น้ำเสียงมีความชัดเจน แจ่มใส
4. สีหน้า ใบหน้า ต้องแสดงให้มีความเหมาะสมกับเรื่องที่พูด
5. การแสดงบุคลิกควรแสดงให้มีความกระตือรือร้น
ทั้งนี้ การสื่อสารที่ดี เป็นทั้ง ศาสตร์และศิลปะ กล่าวคือ เป็นศาสตร์ ท่านสามารถเรียนรู้ เข้ารับการอบรมได้
อ่านหนังสือได้ และเป็นทั้ง ศิลปะ กล่าวคือ ท่านสามารถประยุกต์หรือนำไปใช้ได้ ซึ่งแต่ละคนอาจมีความสามารถในการนำไปประยุกต์ใช้ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้แล้วแต่ สถานการณ์ การรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง เงื่อนเวลา สถานที่ ความต้องการของผู้รับสาร เป็นต้น

...
  
เขียนสู่อิสระภาพ
เขียนสู่อิสระภาพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
งานเขียนเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่เราสามารถ ถ่ายทอดประสบการณ์ ถ่ายทอดความคิด ถ่ายทอดความรู้สึก ถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ตลอดจนถ่ายทอดจินตนาการ ของเราไปสู่ผู้อ่านได้
งานเขียนจึงเป็นงานที่เราสามารถใช้ความคิดอย่างเป็นอิสระและสามารถปลดปล่อย สิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมาในข้างต้น
การเขียนมีประโยชน์มากกว่าที่คิด
1.เป็นการฝึกสมาธิ หลายคนชอบนั่งสมาธิ แต่ถ้าหากใครที่ไม่ชอบนั่งสมาธิ กระผมขอแนะนำให้เขียนหนังสือครับ เพราะงานเขียนทำให้เรามีสมาธิ หลายครั้งที่เราต้องพบกับความวุ่นวาย สับสน หากเราได้ใช้เวลาดังกล่าว ในการลงมือเขียนอะไรบางอย่าง ก็จะทำให้จิตใจของเราสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว
2.เป็นการเผยแพร่ความรู้ ให้กำลังใจผู้อื่น นักเขียนมักมีความสุขและมีความสนุก เมื่อได้ลงมือเขียนเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษรเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้และได้รับกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต บทความ เรื่องราวจากผู้เขียน ทำให้ผู้อ่านได้อ่านแล้วมีความรู้สึกมีกำลังใจและได้รับความรู้แง่มุมใหม่ๆเพิ่มขึ้น
3.เป็นการฝึกระบบความคิดอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างเป็นระบบช่วยให้เราประสบความสำเร็จเร็วขึ้นและหลายอาชีพจะต้องใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหา เช่น ผู้บริหารมักจะต้องตัดสินใจ หากใครมีระบบคิดที่ดีกว่าก็ย่อมตัดสินใจได้ถูกต้องและรวดเร็วกว่า
4.เป็นการสร้างผลงานฝากไว้ให้แก่โลก นักเขียนเป็นจำนวนมาก แม้ตัวเองตายไปหลายร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดัง คนจดจำได้ ก็เนื่องจากเขามีผลงานผ่านหนังสือต่างๆมากมายนั้นเอง
5.เป็นการสร้างรายได้ งานเขียนทำให้เราได้รับรายได้ หลายคนร่ำรวยจากการเขียนหนังสือขายนักเขียนบางคนร่ำรวยจนการเป็นมหาเศรษฐีเลยก็มี เช่น เจ.เค.โรว์ลิ่ง นักเขียนชาวอังกฤษ เขียนเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ ขายลิขสิทธิ์จนร่ำรวยมหาศาล
6.เป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเองและวงค์ตระกูล หลายคนคงได้อ่านผลงานหนังสือต่างๆของ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ท่านเขียนหนังสือเกือบ 200 เล่ม หลายเล่มทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดัง
7.เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้รับตำแหน่งวิชาการ ครู ตามโรงเรียน อาจารย์ ในมหาวิทยาลัย ในการขอตำแหน่งทางวิชาการ ทางราชการมักจะกำหนดให้มีผลงานโดยผ่านข้อเขียน เช่น งานวิจัย , เอกสารประกอบการสอน , ตำรา , บทความทางวิชาการ , หนังสือ เป็นต้น
8.เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทำให้ เป็นคนพูดเก่ง บางคนเป็นพูดเก่งแต่เขียนไม่เก่ง บางคนเขียนเก่งแต่พูดไม่เก่ง แต่คนที่เป็นนักพูดหรือนักเขียนที่เก่งๆ มักจะทำทั้งสองอย่างได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งสองอย่างเป็นเรื่องของการสื่อสาร การใช้ภาษา การใช้ถ้อยคำ หากว่าใครเขียนเก่ง ก็มักมีโอกาสเลือกใช้ภาษาในการพูดได้มากกว่าคนที่เขียนไม่เก่ง
นี่คือประโยชน์ของงานเขียน สำหรับงานเขียนจะทำให้เราพบอิสรภาพอย่างไร หากว่าท่านอยากรู้ ท่านคงต้องลองทดลองดู โดยวิธีการ เขียน เขียนและเขียน เขียนให้บ่อยขึ้น เขียนให้สม่ำเสมอขึ้น เขียนอย่างต่อเนื่อง แล้วท่านจะเป็นคนที่หนึ่งที่ได้พบกับความคิดและความรู้สึกที่เป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง
...
  
ชนะใจลูกค้าด้วยการบริการ
ชนะใจลูกค้าด้วยการบริการ
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ถ้าพูดถึงเรื่องการบริการอย่างไรให้ประทับใจลูกค้า ผู้ให้บริการต้องสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบ บุคลิกภาพ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง “ บุคลิกภาพ” คือ 1.ไม่มีใครมีบุคลิกภาพที่เหมือนกันทุกประการ 2.เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงบุคคลอื่นให้เป็นดังใจเราต้องการได้ 3.คนในโลกนี้ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ 4.การพัฒนาบุคลิกภาพ ส่งผลโดยตรงต่อตนเองและต่อหน้าที่การงานที่เราทำ
ซึ่งบุคลิกภาพ เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ บุคลิกภาพภายนอกกับบุคลิกภาพภายใน
บุคลิกภาพภายนอก เช่น เรื่องของการไหว้ เรื่องของการแต่งกาย เรื่องของหน้าตา เรื่องของการพูดจา รวมไปถึงกิริยาท่าทาง
บุคลิกภาพภายใน เช่น ความเชื่อมั่นในตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ ความซื่อสัตย์สุจริต ความกระตือรือร้น ความรับผิดชอบ เป็นต้น
สำหรับหัวใจของการบริการ ตัวผู้ให้บริการต้อง คิดและนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้ให้ อีกทั้งต้องทำอย่างจริงใจ อย่างเต็มใจ สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องฝึกฝนให้เป็นความเคยชิน หรือจนเป็นนิสัย แล้วจะทำให้เรามีความสุขกับการทำงานทางด้านบริการ
การชนะใจลูกค้ามีอยู่หลายวิธี เช่น หากเป็นลูกค้าที่มีระดับหรือ VIP เราควรหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวของลูกค้า ว่าลูกค้าชอบอะไร ลูกค้าชอบเล่นกีฬาประเภทไหน ลูกค้าชอบสีอะไร และถ้าหากเป็นไปได้ เราควรมีการบันทึกสิ่งต่างๆที่ลูกค้าชอบ ไว้ในฐานข้อมูล เพราะหากว่าลูกค้ามาใช้บริการ ซ้ำ เราก็ไม่ต้องถามลูกค้าอีก
เมื่อรู้ถึงความต้องการของลูกค้าแล้ว สิ่งที่มีความสำคัญอีกประการก็คือ ผู้ให้บริการต้องไปทำการบ้านหรือเตรียมตัวก่อน โดยไปซื้อสิ่งที่ลูกค้าชอบทาน หรือลูกค้าต้องการ เช่น โรงแรมหลายแห่งมักจะเตรียมอาหารที่ลูกค้าชอบทาน อีกทั้งรู้เวลาตื่นนอนของลูกค้า รู้แม้กระทั่งกิจกรรมต่างๆที่ลูกค้าทำในโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นการว่ายน้ำ การออกกำลังกาย เวลาเข้าห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็น เวลาอาบน้ำ ฯลฯ
ชนะใจลูกค้าด้วยการรับโทรศัพท์ การรับโทรศัพท์ถือว่าเป็นด่านแรกก็ว่าได้ในการบริการลูกค้า เพราะลูกค้าหลายคนหรือเป็นจำนวนมาก มักจะโทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลก่อนที่จะเข้าไปหาที่สำนักงานหรือเข้าพักในโรงแรม ถ้าหากพนักงานรับโทรศัพท์ไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ ลูกค้าก็อาจเปลี่ยนใจที่จะใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากเรา
ชนะใจลูกค้าด้วยการทำงานเป็นทีม แน่นอนครับ องค์กร หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน โรงแรม โรงพยาบาล จะต้องมีคนทำงานในองค์กรเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น เมื่อลูกค้ามาติดต่อใช้บริการ ลูกค้าอาจจะต้องประสางานหรือพูดคุยกับ พนักงานหลายคน และ อาจจะติดต่อหลายแผนก ฉะนั้น การบริการจึงต้องมีการทำงานเป็นทีม จึงจะสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าได้ ไม่ใช่ พนักงานรับโทรศัพท์พูดจาดี ลูกค้าเกิดความประทับใจ แต่พอเข้ามาติดต่อเจอกับพนักงานแผนกต่างๆ บางคนกับพูดจาไม่ดี ลูกค้าก็อาจจะเปลี่ยนใจไปใช้บริการของคู่แข่งได้
สำหรับหน่วยงานราชการหลายแห่ง ซึ่งทำงานด้านบริการ อาจจะพบกับความเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากมีประชาชนมาใช้บริการจำนวนมาก แต่ค่าตอบแทนหรือรายได้ก็ไม่ได้มีเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เช่น บริษัทเอกชนหรือบริษัทมหาชน เราก็ควรมองไปที่คุณค่าของงาน ว่างานที่เราทำได้สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนหรือผู้คนเป็นจำนวนมาก เป็นการสร้างคุณค่าของจิตใจของตนเอง อีกทั้งได้บุญได้กุศล อีกด้วย
สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าและเป็นองค์ประกอบที่จะทำให้การทำงานด้านบริการได้ประสบความสำเร็จ
...
  
ศิลปะการพูดในงานบริการ
ศิลปะการพูดในงานบริการ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในยุคปัจจุบันการบริการลูกค้ามีความสำคัญมาก หากลูกค้าประทับใจในการบริการ ลูกค้ามักจะซื้อสินค้าและบริการซ้ำ หรือ ลูกค้าบางรายอาจบอกเพื่อนฝูง คนสนิทให้มาซื้อสินค้าและบริการต่อ
การบริการลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญในยุคของการแข่งขันในปัจจุบัน ซึ่งเทคนิคในการบริการลูกค้ามีหลากหลาย แต่สิ่งที่บริษัท ห้างร้าน สามารถทำได้ง่าย อีกทั้งไม่จำเป็นต้องลงทุน หรือลงทุนน้อยที่สุด ก็คือ
การฝึก พนักงาน ลูกน้อง ให้รู้จักพูดในการต้อนรับ หรือ บริการ ลูกค้า เพื่อสร้างความประทับใจนั้นเอง
การพูดในงานบริการหรือการพูดในการทำงานขาย จึงต้องควรมีการอบรม ฝึกฝน และพัฒนา เพื่อให้พนักงานหรือลูกน้อง เกิดความมั่นใจในการพูด ในการสื่อสารกับลูกค้า เช่น การพูดเพื่อเพิ่มยอดขาย
ในระหว่างบริการลูกค้า “ คุณลูกค้าจะรับทานเครื่องดื่มเป็นน้ำส้มหรือน้ำอัดลม ดีค่ะ ” กล่าวคือ การพูดเพื่อให้ลูกค้าเลือกไม่ว่าจะเลือกอะไร เราก็สามารถเพิ่มยอดขายได้จากสิ่งที่ลูกค้าเลือกในสินค้านั้น
การพูดในงานบริการ หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าคนที่พูดเก่งมักจะใช้คำพูดในการทำงานบริการที่เก่งไปด้วย แต่ความจริงไม่ใช่ครับ การสื่อสารหรือการพูดในงานบริการ ผู้ให้บริการควรเป็นฝ่ายรับฟังให้มากกว่าพูด ฟังเพื่อหาความต้องการของลูกค้าที่แท้จริง และเมื่อลูกค้าต้องการแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ควร พูดด้วยเหตุผล อีกทั้งควรใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำ
การพูดในงานบริการที่ดี หลีกเลี่ยงการพูดจาไม่สุภาพ การพูดจาไม่สุภาพเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ารับไม่ได้ หากมีพนักงานพูดจาไม่สุภาพก็ไม่ควรให้ทำงานด้านฝ่ายต้อนรับหรือให้ทำงานในฝ่ายบริการลูกค้า
การพูดในงานบริการที่ดี ควรหลีกเลี่ยงคำพูดในเชิงกล่าวตำหนิลูกค้า ถึงแม้ลูกค้าจะเป็นฝ่ายผิดก็จริง พนักงานหรือคนที่ทำงานด้านบริการก็ไม่ควรพูดในเชิงกล่าวตำหนิ อีกทั้งควรระลึกเสมอว่า หากไม่มีลูกค้าก็ไม่มีเรา
การพูดในงานบริการที่ดี ควรพูดให้มี ปิยวาจา ซึ่งเป็นข้อหนึ่งในสี่ของสังคหวัตถุ 4 กล่าวคือ การพูดด้วยคำพูดที่อ่อนหวานไพเราะ จริงใจ ไม่พูดจาก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งควรพูดให้ถูกกาลเทศะ การพูดที่ดีจึงเป็นประตูด่านแรกของการสร้างมนุษย์สัมพันธ์และสำคัญต่อการทำงานด้านการบริการ
การพูดในงานบริการที่ควรพูดจนติดปาก คือ “ สวัสดี ” “ ขอบคุณครับ ” “ ขอโทษครับ” “ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” อีกทั้งควรจำชื่อลูกค้าให้ได้ด้วย การจำชื่อลูกค้าและเรียกชื่อลูกค้าได้อย่างถูกต้องจะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจได้เช่นกัน
ผู้ทำงานด้านบริการที่ดี ควรพูดอย่างมีสติ เนื่องจาก การทำงานด้านบริการอาจถูกคำพูดหรือถูกกระทำด้วยพฤติกรรมของลูกค้าในแบบต่างๆ ผู้ให้บริการจึงควรอดทน อีกทั้งต้องระวังคำพูด เพราะลูกค้าบางคนไม่พอใจสินค้า หรือลูกค้าบางรายต้องการใช้สินค้าด่วน แต่บริษัท ห้างร้าน เราส่งให้ไม่ได้ จึงทำให้ลูกค้าโกรธ พูดจาไม่ดี กล่าวว่าต่างๆ ดังนั้น พนักงานหรือผู้ให้บริการ ควรมีสติในการควบคุมอารมณ์ อีกทั้งไม่ควรใช้อารมณ์ตอบ จงระวังคำพูด
ผู้ทำงานด้านบริการที่ดี ควรพูดให้ตรงประเด็น ไม่พูดจาวกวนจนลูกค้าฟังไม่เข้าใจ จงพูดให้ลูกค้าเกิดความกระจ่างชัด อีกทั้งเมื่อลูกค้าสั่งสินค้า ควรพูดจาสรุปคำพูดของลูกค้าอีกครั้งเพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ และช่วยลดความผิดพลาดในการสั่งซื้อสินค้า บริการ อีกด้วย
ดังนั้น การพูดในการทำงานด้านบริการ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ปฏิบัติ ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ควรใส่ใจ เนื่องจาก การใช้คำพูด เป็นสิ่งที่ลงทุนด้วยเงินน้อยที่สุด แต่ในทางกลับกัน การใช้คำพูดในงานบริการ กลับทำให้บริษัทเกิดกำไร เกิดลูกค้าเพิ่ม ขึ้นอีกมากมาย
สินค้าดี ถ้าคนขายพูดไม่ดี ก็อาจเป็นสินค้าที่ไม่ดี
สินค้าไม่ดี ถ้าหากคนขายพูดจาดี สินค้านั้นก็อาจเป็นสินค้าที่ดีในสายตาของผู้บริโภคได้


...
  
กฎแห่งความสำเร็จ
กฎแห่งความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มักจะต้องมีหลักการหรือมีกฎเกณฑ์ประจำตัวบางอย่าง ซึ่งหลักเกณฑ์หรือกฎเกณฑ์ ที่แต่ละคนยึดถือคงมีแตกต่างกันไป แต่ก็มีอยู่หลายๆ กฎที่บุคคลส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จยึดเหมือนกัน ก็มีอยู่หลายกฎเกณฑ์ เช่น
1.การวางเป้าหมาย หากว่าท่านผู้อ่านลองสังเกตบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่เขามักมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต หรือหากท่านผู้อ่านได้มีโอกาสไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาแห่งความสำเร็จ การวางเป้าหมายเป็นสิ่งหนึ่งที่หนังสือเหล่านั้นได้กล่าวถึง ไม่ว่าหนังสือของ นโปเลียน ฮิลล์ หนังสือของเดล คาร์เนกี้ หนังสือของ Anthony เป็นต้น
2.ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง บุคคลที่มีความสมบูรณ์ทางด้านร่างกายแต่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง สู้คนที่มีความบกพร่องพิการแต่มีความเชื่อมั่นในตนเองไม่ได้ ซึ่งความเชื่อมั่นท่านสามารถพิชิตได้ เคยมีนักปราชญ์กล่าวว่า วิธีการสร้างความเชื่อมั่นง่ายนิดเดียวคือ “ จงทำในสิ่งที่ท่านกลัว แล้วเมื่อนั้นความกลัวในสิ่งนั้นก็จะตายจากท่านไป” ดังนั้น เมื่อกลัวสิ่งไหนก็ขอให้เราเข้าหาสิ่งนั้น ท่านก็จะเกิดความเชื่อมั่นในตนเองขึ้นมา
3.นิสัยการทำงานเกินเงินเดือน คนที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมาก มักทำงานมากกว่าคนธรรมดาทั่วๆไป เพราะการทำงานมากกว่าคนอื่น บุคคลคนนั้นก็จะมีโอกาสเรียนรู้งานมากกว่าคนอื่น การทำงานมากกว่าเงินเดือน เป็น “ กฎแห่งการตอบแทนทวีคูณ” และเป็นนิสัยของบุคคลที่ประสบความสำเร็จฝึกปฏิบัติ
4.ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และการเป็นผู้นำ บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก มักเป็นคนที่มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีความกล้าในการเป็นผู้นำของตนเองและผู้อื่น บุคคลเหล่านี้มักเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงโลก หรือเป็นบุคคลที่สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับโลก ดังเช่น สตีฟ จอบส์ , บิล เกตส์ เป็นต้น
5.นิสัยประหยัดอดออม บุคคลที่ประสบความสำเร็จหรือบุคคลที่เป็นมหาเศรษฐี มักเป็นคนที่มีนิสัยประหยัดอดออม ซึ่งแตกต่างกับนิสัยสุรุ่ยสุร่าย ทำให้เกิดหนี้สิน ทำให้เกิดการสูญเปล่า การสร้างนิสัยประหยัดอดออม จะทำให้ท่านหนีพ้นจากชีวิตการทำงานหนัก และชีวิตการทำงานที่ไร้อิสรภาพ อันเนื่องจากท่านมีเงินสะสมในการดำเนินชีวิตในอนาคต อีกทั้งไม่มีหนี้สินให้เกิดการผ่อนชำระอีกด้วย
6.ความล้มเหลว ในที่นี้หมายถึง ความพ่ายแพ้ชั่วคราว บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่ล้มเหลวหรือพ่ายแพ้ชั่วคราว มาก่อน ฉะนั้นจงอย่ากลัวความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้ชั่วคราว หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ
7.บุคลิกภาพที่ดี บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักมีบุคลิกภาพที่ดี การมีบุคลิกภาพที่ดีไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้นจะต้องแต่งกายหรือมีเครื่องใช้ราคาแพง แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นที่ประทับใจของผู้คน ที่ได้พูดคุยหรือสัมผัสด้วย
8.ความมุ่งมั่นจดจ่อที่เป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่จดจ่อกับเป้าหมาย ทำอะไรทำจริง ไม่เป็นคนที่ทิ้งกลางคัน แต่เขาจะคิดถึง เป้าหมายทุกลมหายใจ
กฎแห่งความสำเร็จ ในโลกนี้อาจจะมีมากกว่านี้ แต่กฎข้างต้นนี้ เป็น กฎที่ บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ได้ใช้และปฏิบัติกัน และหากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ จงศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติ ท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จได้
...
  
สร้างจิตวิญญาณเพื่องานเขียน
สร้างจิตวิญญาณเพื่องานเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายคนอยากที่จะเป็นนักเขียน แต่ก็ไม่ยอมลงมือที่จะเขียน อีกทั้งยังมีข้ออ้างต่างๆนานา เช่น ไม่มีเวลา , ไม่มีอารมณ์ในการเขียน , เขียนไม่เก่ง , เขียนไม่ได้ เป็นต้น แต่แท้ที่จริงแล้ว คนที่จะเป็นนักเขียนมืออาชีพ หรืออยากจะยึดอาชีพนักเขียน มีความจำเป็นจะต้องสร้างจิตวิญญาณ
การสร้างจิตวิญญาณในการเขียนหนังสือมีความสำคัญมาก เพราะการสร้างจิตวิญญาณในการเขียนจะทำให้เราอยากที่จะเขียนหนังสือทุกๆวัน
เราจะสร้างจิตวิญญาณในการเขียนได้อย่างไร
-เริ่มต้นที่ความรักหนังสือ รักการอ่าน บ่มเพาะความรักหนังสือ จนชีวิตนี้ขาดหนังสือไม่ได้ หากว่าเรารักหนังสือ เรามักที่จะไปหาหนังสือเพื่อที่จะอ่าน ตามแหล่งต่างๆ หากไม่มีเงินก็ไปหาหนังสืออ่านตามมหาวิทยาลัย โรงเรียน ห้องสมุดประชาชน ฯลฯ แต่หากว่ามีเงินซื้อหนังสือ ก็สามารถไปซื้อหนังสืออ่านได้ที่ร้านขายหนังสือทุกแห่ง โดยเฉพาะงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ส่วนใหญ่จัดที่ศูนย์สิริกิต์ปีละ 1-2 ครั้ง ก็จะมีหนังสือลดราคาให้เราเลือกกันมากมาย
-เมื่อมีความรักแล้ว ที่นี่ก็พยายามเขียน พยายามหัดเขียนทุกๆวัน เขียนเป็นกิจวัตร เหมือนกับว่าเราทำกิจกรรมนั้นๆเป็นประจำ เช่น ทานข้าว,แปรงฟัน,อาบน้ำ ฯลฯ เขียนทุกวันจนกระทั่งติดเป็นนิสัยและเป็นธรรมชาติในที่สุด เพราะงานเขียนคือทักษะที่เราต้องสะสมและต้องฝึกฝนด้วยตนเอง อีกทั้งต้องใช้เวลาในการฝึก ไม่เหมือนกับการสะสมสิ่งของ หากว่าเรามีเงินเราก็สามารถหาซื้อสิ่งของมาสะสมได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่งานเขียนถึงแม้มีเงินมาก ก็ไม่สามารถซื้อได้ นอกจากต้องฝึกฝนด้วยตนเอง
-มีความฝัน หลายคนใช้ความฝันเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนให้ทำงานเขียนได้เพิ่มขึ้นและพัฒนาขึ้น เช่น ฝันอยากเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ, ฝันอยากร่ำรวยเงินทองจากการเขียนหนังสือขาย,ฝันว่าอยากเป็นที่รู้จักของผู้คนโดยผ่านงานเขียนฯลฯ จึงทำให้เขามีพลังที่จะเขียนหนังสือให้ได้มากขึ้น
-จงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตนเองและจงสร้างความกระหายอยากในการที่จะเขียนตลอดเวลา เราอาจหารูปนักเขียนที่เราชื่นชอบตัดเก็บไว้ดูหรือคำคมเตือนใจของบรรดานักเขียนโดยการจดไว้อ่านเตือนใจเรา เวลาที่เราท้อแท้จากงานเขียนของเรา และจงสร้างความกระหายความอยากที่จะเขียนหนังสือตลอดเวลา ฝันถึงมัน คิดถึงมัน แล้วลงมือเขียน เขียนดีบ้าง เขียนไม่ดีบ้างไม่เป็นไร แต่ขอให้เขียนทุกๆวัน งานเขียนของท่านก็จะพัฒนาขึ้นในที่สุด
ฉะนั้น การสร้างจิตวิญญาณเพื่องานเขียน มีความสำคัญมาก เพราะหลายคนไม่มีใจให้แก่งานเขียน เขาก็จะขาดการทุ่มเทเวลา ทุ่มเทจิตใจ ทุ่มเทพลัง ให้กับงานเขียน และหากว่าท่านเขียนจนมีผลงานออกมาเป็นเล่มขายในท้องตลาดแล้ว กระผมมีความเชื่อว่า จิตวิญญาณที่จะอยากเขียนของท่านก็จะเพิ่มมากขึ้น และผู้คนก็จะรู้จักท่านมากยิ่งขึ้น
...
  
ศิลปะการพูดแบบกะทันหัน
ศิลปะการพูดแบบกะทันหัน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดแบบฉับพลันหรือการพูดแบบกะทันหัน เป็นศิลปะการพูดอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผู้รักความก้าวหน้า ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ ผู้บริหาร ต้องควรฝึกฝนกัน เพราะการพูดแบบฉับพลันหรือการพูดกะทันหัน เป็นการพูดแบบไม่ได้มีการเตรียมตัวมาพูด แต่เป็นการพูดแบบไม่รู้ตัวมาก่อนว่าจะต้องพูดเรื่องอะไร หัวข้ออะไร หรือต้องพูดในสถานการณ์ใด
รูปแบบการพูดแบบฉับพลันหรือการพูดแบบกะทันหัน เช่น การพูดให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่างๆ ไม่ว่าทางโทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น นักการเมืองส่วนใหญ่มักถูกตั้งคำถามโดยผู้สื่อข่าว ก็ถือว่าเป็นการพูดแบบฉับพลันหรือการพูดแบบกะทันหัน อีกรูปแบบหนึ่ง หรือ การพูดในโอกาสต่างๆ ไม่ว่า พูดในงานแต่งงาน พูดในงานศพ พูดในงานเลี้ยงงานมงคลต่างๆ ฯลฯ ก็ถือว่าเป็นการพูดแบบฉับพลันหรือการพูดแบบกะทันหันเช่นกัน
เมื่อท่านต้องเป็นผู้นำ อีกทั้งต้องถูกเชิญให้มีการพูดแบบฉับพลันหรือพูดแบบกะทันหัน ขั้นแรกทั้งต้องทำใจให้สบาย ทำใจให้มีสติ แล้วลองปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ คือ
ประการแรก ให้ท่านคิดถึงประโยคแรกๆ ที่จะพูด ในระหว่างที่ท่านต้องเดินขึ้นมาพูดบนเวที เมื่อท่านพูดประโยคแรกๆ ได้ ประโยคต่อไปมันจะค่อยๆ คิดได้เอง
ประการที่สอง ให้ท่านพูดให้ตรงกับงานหรือสถานการณ์ที่จัดงาน เช่น พูดในงานมงคลสมรสก็ควรพูดถึงเจ้าภาพ คู่บ่าวสาว หรือ พูดในสถานการณ์งานศพก็ควรพูดถึงคุณงามความดีของผู้ล่วงลับ
ประการที่สาม สรุปจบหรือตอนจบ ท่านควรพูดให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ อาจฝากแง่คิด คำคม บทประพันธ์ต่างๆให้เหมาะสมกับงาน
สำหรับข้อควรระวัง เมื่อท่านถูกเชิญให้ขึ้นไปพูดหรือมีคนตั้งคำถามให้ท่าน เพื่อให้ท่านได้พูดแบบฉับพลัน ท่านไม่ควรไปต่อว่า ต่อขาน ผู้เชิญ เช่น ไปต่อว่าว่าทำไมไม่บอกก่อนจะได้ไม่มา หรือ ต่อว่าคนอื่นมาตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่เชิญ แต่ท่านควรกล่าวขอบคุณ เจ้าภาพหรือผู้เชิญ
ในการพูดแบบกะทันหันหรือการพูดแบบฉับพลัน ท่านควรพูดให้สั้นที่สุด กระฉับ เข้าใจง่าย ไม่ควรพูดแบบวกไปวนมา ไม่ควรกล่าวออกตัว
เมื่อท่านไปร่วมงานบางงาน หากท่านคิดว่าท่านอาจมีโอกาสจะถูกเชิญให้ขึ้นไปพูด ท่านควรเตรียมการพูดแบบฉับพลันหรือเตรียมการพูดแบบกะทันหัน ภายในใจ เช่น งานมงคลสมรส หากท่านนั่งร่วมงาน แล้วท่านมีโอกาสจะได้ขึ้นไปกล่าวในฐานะผู้ใหญ่ของเจ้าบ่าว ขอให้ท่านเตรียมการพูดภายในใจ และเมื่อท่านถูกเชิญพูด ท่านจะพูดด้วยความมั่นใจ แต่หากไม่มีใครเชิญท่าน ท่านก็นั่งทานอาหารด้วยความสบายใจได้
สำหรับแนวการฝึกพูดแบบฉับพลันหรือการพูดแบบกะทันหัน หากมีเวลา ท่านอาจหาหัวข้อต่างๆ เขียนไว้ในสมุด อาจเป็นคำถามต่างๆ หรือ อาจตั้งสถานการณ์สมมุติ แล้วท่านลองตอบโดยไม่ต้องมีการเตรียมการพูด การหาข้อมูล อาจจะต้องมีการใช้นาฬิกาจับเวลา เพื่อจับเวลาในการพูดแต่ละหัวข้อโดยให้เวลา 2 นาที ในการฝึกแต่ละครั้ง ท่านควรฝึกพูดโดยมีโครงสร้างในการพูด กล่าวคือ ต้องมีการขึ้นต้น เนื้อเรื่อง และสรุปจบ (คือ ต้นตื่นเต้น กลางกลมกลืน จบประทับใจ)
วัตถุประสงค์ของการฝึกพูดแบบฉับพลันหรือการพูดแบบกะทันหันนี้ ก็คือ เพื่อให้เราได้ฝึกการใช้ความคิด ให้เป็นระบบ ฝึกไหวพริบปฏิภาณ ฝึกสมาธิ หากมีคนอื่นๆ ช่วยตั้งคำถาม ก็จะช่วยฝึกในการเป็นผู้ฟังได้อีกทางหนึ่ง เพราะหากไม่ตั้งใจฟัง ท่านก็ไม่สามารถจับประเด็นในการตอบคำถามได้
สุดท้ายนี้อยากฝากแง่คิดเกี่ยวกับการพูด ของชมรมปาฐกถาและโต้วาที มหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่า “ ริจะเป็นนักพูด จงพูดเพื่อชีวิต ริจะเป็นนักคิด จงคิดเพื่อสังคม ”




...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.