หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
โต้วาที ท้องไม่แท้ง แท้งไม่ฟ้อง (2)
8
...
  
"กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย" โดยโค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ part 2
8
...
  
การพัฒนาตนเอง
การฝึกฝนตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การฝึกฝนตนเองมีความสำคัญมากสำหรับบุคคลที่ต้องการเป็นนักบริหาร หรือ สำหรับบุคคลผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำงานและการดำเนินชีวิต ซึ่งหลักในการฝึกฝนตนเองที่ดี เราจะต้องมีการสำรวจตนเองหรือวิเคราะห์ตัวเองก่อนว่า เรามีข้อดีข้อเสียอะไร และสิ่งใดบ้างที่เราต้องมีการแก้ไข ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น หลักในการฝึกฝนตนเองมีหลายด้าน เช่น
การสร้างเป้าหมายในชีวิต , ความเป็นผู้ขยันขันแข็ง , ความเป็นผู้ที่เข้มแข็ง ,ความเชื่อมั่นในตนเอง ,ความเป็นผู้ตรงต่อเวลา , ความมีสุขภาพดี ฯลฯ
- การสร้างเป้าหมายในชีวิต มีความสำคัญ สำหรับบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ
ซึ่งบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จจะต้องรู้จักตนเองก่อนว่า ตนต้องการสิ่งใด รักสิ่งใดมากที่สุด อยากที่จะเป็นอะไร อยากที่ต้องการประกอบอาชีพอะไร แล้วจึงเลือกทำสิ่งนั้น การสร้างเป้าหมายในชีวิต ไม่ควรทำแบบเพ้อฝัน การสร้างเป้าหมายในชีวิตที่ดี นักจิตวิทยาได้สอนไว้ว่า ให้เขียนเป้าหมายในชีวิตหรือหารูปภาพในสิ่งที่เราต้องการ อยากได้ อยากเป็น มาติดไว้เพื่อเตือนใจตัวเอง ก็จะทำให้เราไม่ลืมเป้าหมายนั้น อีกทั้งไม่ทำให้เราเดินทางออกนอกเส้นทางของเป้าหมายที่เราวางไว้ การจินตนาการถึงเป้าหมายที่ตัวเองต้องการก็มีความสำคัญ การจินตนาการจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น เราควรจะแบ่งเวลาในทุกๆวัน โดยจินตนาการถึงเป้าหมายบ่อยๆ
- ความเป็นผู้ขยันขันแข็ง ความขยันขันแข็งเป็นลักษณะที่ตรงกันข้ามกับความเกียจคร้าน
พวกเราคงเคยได้ยินนิทานเรื่อง เต่ากับกระต่าย ซึ่งมีการวิ่งแข่งกัน ผลปรากฏว่า เต่าเป็นผู้ชนะถึงแม้เต่าจะวิ่งช้ากว่ากระต่าย คนที่มีความขยันขันแข็ง ควรมีลักษณะเหมือนกับเต่า กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีความสม่ำเสมอ ไม่ละความพยายาม ไม่เป็นคนใจร้อน ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคต่างๆ มีอิทธิบาท 4 คือ มีฉันทะ การรักในสิ่งที่ตนเองทำ มีวิริยะ มีความพยายามพากเพียรในสิ่งที่ตนเองต้องการ มีจิตตะ มีการเอาใจใส่ต่องาน และมีวิมังสา มีการแก้ไข ไตร่ตรองในงานที่ทำ
- ความเป็นผู้ที่เข้มแข็ง หนังสือเรื่อง “ มหาบุรุษ ” ของพลตรี หลวงวิจิตวาทการได้เขียนไว้ว่าคน
ที่มีความเข้มแข็งมีลักษณะดังนี้ ไม่เป็นคนที่บ่นหรือร้องทุกข์ ไม่บอกความลับของตนเองหรือไม่ต้องการทราบความลับของผู้ใด ไม่ต้องการรู้ว่า ผู้อื่นจะคิดอย่างไรกับเรา เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สามารถนำสิ่งต่างๆที่ร้ายมาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ และมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา
- ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นเรื่องของความคิด นักจิตวิทยาหลายท่านให้คำแนะนำไว้ว่าให้คิดใน
แง่ดี เช่น ฉันทำได้ ฉันแข็งแรง ฉันเข้มแข็ง ฉันสุดยอด ฉันเป็นคนมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฯลฯ ความคิดจะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง แต่ถ้าหากว่าเราคิดลบ ความคิดนั้นจะทำลายความเชื่อมั่นในตนเองได้ เช่นกัน เช่น คิดว่า ฉันทำไม่ได้ ฉันล้มเหลว เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก ฯลฯ ฉะนั้น หากต้องการเป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง เราจึงต้องมีการพัฒนาความคิดก่อนเป็นลำดับแรก ด้วยการเปลี่ยนเอาความคิดที่ทำลายความเชื่อมั่นออกไปแล้วใส่ความคิดในแง่ดีเข้าไปแทน
- ความเป็นผู้ตรงต่อเวลา คนไทยเรามักมีปัญหาในเรื่องการต่อตรงเวลา เช่น การนัดหมาย การ
เข้าที่ทำงานสาย การส่งของให้แก่ลูกค้าไม่ตรงต่อเวลา ซึ่งแตกต่างกับประเทศแถวยุโรปหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศเหล่านั้น ประชาชนของเขามักมีนิสัยเป็นคนตรงต่อเวลา การสร้างนิสัยให้เป็นคนตรงต่อเวลา จึงต้องควรปลูกฝังตั้งแต่เด็ก และควรมีเครื่องมือช่วย (Diary ,ตารางการทำงาน ,แผนงานประจำปี เดือน วัน ,บันทึกช่วยจำ) คนที่มีนิสัยตรงต่อเวลา มักเป็นที่ชื่นชอบและชื่นชมของคนหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ร่วมงาน หัวหน้างาน ผู้ที่มาติดต่อ ลูกค้า
- ความมีสุขภาพดี คนที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต มักเป็นคนที่มีสุขภาพดี จะมีประโยชน์อันใด หาก
ว่าเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ร่ำรวย มีอำนาจ แต่สุขภาพเราแย่ ป่วยเป็นโรค ไม่สามารถเดินได้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เรามักเห็นภาพลักษณ์ของผู้นำประเทศที่มีความกระตือรือร้น มีสุขภาพร่างกายที่ดี เราแทบจะไม่เห็นผู้นำประเทศคนใดที่ป่วยหนักแล้วเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งการจะทำให้สุขภาพดีนั้น เราควรปฏิบัติตนให้เหมาะสม เช่น การกินอาหารให้เพียงพอ มีประโยชน์ การออกกำลังกายที่เหมาะสม การพักผ่อนอย่างพอเพียงต่อร่างกาย
หลักในการฝึกฝนตนเองในข้อความข้างต้นมีความสำคัญ บุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จจึงต้องมีการพัฒนาตนเอง เรียนรู้ เพิ่มเติม จากหนังสือ จากแหล่งข้อมูลต่างๆ อีกทั้งจะต้องมีการฝึกปฏิบัติ และมีการตรวจสอบ ควบคุมกันอย่างจริงจัง คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักโทษสิ่งต่างๆ รอบตัว แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักเริ่มต้นที่การพัฒนาตนเองก่อน จึงทำให้เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
...
  
คุณลักษณะผู้นำ
คุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่เป็นผู้นำมักมีลักษณะบางอย่างที่เด่นกว่าผู้ตาม คนที่เป็นผู้นำมักเป็นคนที่มีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ผู้อื่นยอมทำตาม อีกทั้งผู้ตามยอมได้นำเอาความประพฤติ ได้นำเอาแบบอย่างในการทำงาน ผู้ตามบางคนถึงกับยอมถอดแบบผู้นำ บางคนลอกเลียนแบบอย่างของผู้นำ ในบทความฉบับนี้ เราจะมาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนกันในเรื่อง คุณลักษณะของผู้นำที่ดีมีอะไรบ้าง คุณลักษณะของผู้นำในทัศนะของกระผมมีดังนี้ครับ
1.มีเป้าหมาย ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ ควรมีเป้าหมายเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายชีวิต เป้าหมายในการทำงาน เป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงองค์กร เป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ การมีเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้นำมีทิศทางในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย ตรงกันข้าม หากผู้นำไม่มีเป้าหมาย ผู้นำก็จะรู้สึกสับสน เปรียบดังเรือที่ไร้หางเสือ อีกทั้งไม่รู้จะไปในทิศทางไหนเหมือนอยู่กลางมหาสมุทร
2.ความรอบรู้ ยุคปัจจุบัน เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร เป็นยุคที่จะต้องใช้ ความคิด ความรู้ มาแข่งขันกัน ไม่เหมือนยุคในสมัยอดีตมักจะใช้กำลังในการต่อสู้หรือการทำสงคราม ผู้นำที่มีข้อมูลมากกว่า ผู้นำที่มีความรอบรู้กว่า ผู้นำที่มีการใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ดีกว่า มักเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเป็นที่เคารพเชื่อถือแก่ผู้ตาม
3.กล้าเปลี่ยนแปลงหรือริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ยุคสมัยปัจจุบันและยุคของโลกในอนาคต ผู้นำมักเป็นผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลง ผู้นำมักกล้าทดลอง ค้นคว้า สิ่งใหม่ๆ โลกยุคใหม่จึงเป็นยุคสมัยของ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง
4.กระตือรือร้น ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ มักเป็นผู้นำที่มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง เดินไวกว่าคนปกติ ตามจิตวิทยา หากผู้นำมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ผู้ตามมักจะมีความกระตือรือร้นด้วย ในทางกลับกัน หากว่าผู้นำมีความเฉยชา ผู้ตามก็มักจะทำงานด้วยความเฉยชา เช่นกัน
5.มีความอดทน งานของผู้นำมักเป็นงานที่หนักกว่าผู้ตาม เนื่องจากต้องมีความรับผิดชอบต่องาน ต่อคนที่ทำงาน และต่อองค์กร ยิ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัท(มหาชน) , กระทรวง , หรือประเทศชาติ ก็ต้องรับภาระที่หนักหนาขึ้น หากว่าเราสังเกต ผู้นำระดับประเทศบางคนตอนขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี มีใบหน้าที่หล่อ ดูดี มีสง่า แต่เมื่อดำรงตำแหน่งไปได้ไม่นาน หน้าตาที่เคยสง่า ดูดี กลับการเป็นใบหน้าที่ดู เคร่งเครียด จริงจัง ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้นำระดับประเทศผู้นั้น ต้องแบกรับปัญหาต่างๆ มากมายและใช้ความคิดในการแก้ปัญหานั้นเอง
6.การบังคับตนเองหรือการควบคุมตนเอง คนที่ต้องการเป็นผู้นำต้องมีสติในการควบคุมตนเอง ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย เช่น บังคับตนเองไม่ให้แสดงออกต่อหน้าสาธารณะในการแสดงกิริยาอาการที่ไม่ดี โดยเฉพาะต่อหน้าสื่อมวลชน เนื่องจากผู้นำต้องเป็นเป้าสายตาต่อลูกน้องและคนทั่วไป
7. การใช้ดุลพินิจและกล้าตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องรู้จักใช้ดุลพินิจ อีกทั้งเมื่อมีปัญหาก็ต้องกล้าตัดสินใจ ถึงแม้จะตัดสินใจผิดพลาดไปบ้างก็ตาม แต่หากไม่กล้าตัดสินใจ ก็จะทำให้สถานการณ์นั้นๆ แย่ลงได้ ผู้นำจึงต้องเป็นนักวิเคราะห์ นักคิดที่ดีในการรู้จักมองปัญหาต่างๆ อีกทั้งต้องมีความเด็ดขาดเมื่อต้องตัดสินใจ เพื่อที่จะนำพาองค์กร ประเทศชาติ เดินหน้าต่อไป
8.มีมนุษย์สัมพันธ์ ผู้นำที่ดีต้องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากผู้นำต้องทำงานกับคน หากผู้นำสามารถครองใจคนทำงานได้ ลูกน้องก็มักจะทำงานเต็มที่ การมีมนุษย์สัมพันธ์จะทำให้ผู้นำเป็นที่ เคารพรัก ศรัทธา เชื่อถือ ของผู้คน ทำให้มีคนอยากช่วยเหลือ มากกว่าผู้นำที่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน
ผู้นำที่ดีมักคิดยากๆ แล้วปฏิบัติง่ายๆ แต่ผู้นำที่ไม่ดีมักคิดง่ายๆ แล้วปฏิบัติยากๆ











...
  
ทำไมถึงต้องอ่านหนังสือ
ทำไมถึงต้องอ่านหนังสือ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนส่วนใหญ่ต้องการประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่ต้องการความร่ำรวย คนส่วนใหญ่ต้องการชีวิตที่ดีขึ้น คนส่วนใหญ่ต้องการสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และคนส่วนใหญ่ต้องการความสุข
ถามว่าทั้งหมดนี้ ถ้าเราต้องการมันจริงๆ เราสามารถหาได้จากที่ใด คำตอบก็คือ เราสามารถหาได้จากการอ่านหนังสือครับ
ถ้าเราอยากเริ่มต้นทำธุรกิจแบบ บิล เกตส์ ในการทำบริษัทไมโครซอฟท์ เราสามารถทราบประสบการณ์ต่างๆที่เขา ทำผิดพลาดและสิ่งที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จได้จากหนังสือที่เขาเขียน
ถ้าเราอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ อย่าง วอเรน บัฟเฟต นักลงทุนหุ้นระดับโลก เราสามารถเล่นหุ้นโดยการเลียนแบบได้จากการอ่านหนังสือที่เขาเขียน และเราสามารถรู้เทคนิคต่างๆที่เขาใช้ในการทำกำไรจากตลาดหลักทรัพย์
ถ้าเราอยากเป็นนักการเมืองและนักต่อสู้ทางการเมือง แบบ มหาตมา คานธี ที่ต่อสู้แบบอหิงสา จนประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะจนประเทศอินเดียได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ เราสามารถอ่านหนังสือของเขาหรือหนังสือที่มีคนเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวการต่อสู้ของเขาได้
ถ้าเราอยากมีความสุข ท่านไดลามะ(เป็นตำแหน่งประมุขหัวหน้าคณะสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตเกลุก เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดของชาวทิเบต) สามารถสอนท่านได้โดยผ่านตัวหนังสือต่างๆที่เขาเขียน
ถ้าเราอยากเป็นดารา นักแสดง นักร้อง อย่างฮอลลีวูด เราสามารถอ่านหนังสือของ ดารา นักแสดง นักร้อง ที่เขาเขียนถึงชีวประวัติของเขาได้ ซึ่งจะทำให้เราเกิดพลัง ในการต่อสู้และเกิดความฝัน ความทะเยอทะยานในการพัฒนาตนเอง
ถ้าเราอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ เราสามารถหาอ่านจากหนังสือต่างๆที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพได้ หรือถ้าเราเป็นโรคใดโรคหนึ่ง เราก็สามารถอ่านหนังสือเกี่ยวกับโรคที่เราเป็นได้เพื่อที่จะได้ป้องกันและดูแลสุขภาพของเราให้ดีขึ้น
ดังนั้น เราจะเห็นว่า หนังสือมีความสำคัญมากต่อบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ เมื่อเราต้องการร่ำรวย จงอ่านหนังสือของนักเขียนที่เขาร่ำรวยมาจากการต่อสู้และการทำงาน แน่นอนครับ นักเขียนเหล่านี้ ไม่สามารถมาสอนท่านได้ด้วยตนเอง หรือ ท่านไม่มีปัญหาจ้างเขามาสอนท่านให้รู้เทคนิคต่างๆ หรือไอเดียต่างๆได้ แต่ ทุกอย่างที่ท่านอยากรู้อยู่ในหนังสือครับ เพียงแต่ท่านลงทุนซื้อหนังสือหรือยืมหนังสือที่ห้องสมุด แล้วก็เริ่มต้นอ่านมัน อ่านมัน อ่านมัน อ่านให้มากๆ
สรุป ถ้าท่านต้องการความร่ำรวย จงอ่านหนังสือ ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต จงอ่านหนังสือ ถ้าท่านต้องการมีความสุข จงอ่านหนังสือ ถ้าท่านต้องการมีเป้าหมายมีความฝันและต้องการรู้จักตนเองมากขึ้น จงอ่านหนังสือ จงอ่านหนังสือให้มากๆ แล้วท่านจะได้สิ่งที่ท่านต้องการ

...
  
ดูหมิ่น
ดูหมิ่น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ตามประมวลกฏหมายอาญาบัญญัติไว้ใน มาตรา 393 “ ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ซึ่งองค์ประกอบความผิดของมาตรา 393 มีดังนี้
1.ดูหมิ่น
2.ผู้อื่น
3.ซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา
4.โดยเจตนา
จากองค์ประกอบข้างต้นกระผมขออธิบายเพิ่มเติม
1.ดูหมิ่น จากพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน โดย นายมานิต มานิตเจริญ ได้ให้ความหมายของคำว่า “ ดูหมิ่น” คือ เหยียดหยาม , ดูถูก,เหยียบย่ำ,ดูหมิ่นดูแคลน,ดูหมิ่นถิ่นแคลน
เช่นฏีกาที่ 1623/2551 คำว่า ทนายเฮงซวย ตามพจนานุกรม คำว่า “ เฮงซวย” หมายถึง เอาแน่นอนไม่ได้ , เลว , ไม่ดี ฉะนั้น คำว่า “ทนายเฮงซวย” จึงเป็นถ้อยคำคำด่าที่ทำให้โจกท์เกิดความเสียหาย เป็นการทำให้ถูกเหยียดหยาม จึงมีความผิดตาม ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 393
2.ผู้อื่น คือ ผู้เสียหายหรือบุคคลซึ่งถูกดูหมิ่น โดยมากมักจะเป็นบุคคลธรรมดา
3.ซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา
ซึ่งหน้า หมายถึง ทำต่อหน้า ไม่ทำลับหลัง กับผู้ที่ถูกดูหมิ่น
ด้วยการโฆษณา หมายถึง กระทำอย่างเผยแพร่เพื่อให้คนอื่นรู้ เช่น ลงสื่อต่างๆ (หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต)
4.โดยเจตนา คือ ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนา ต้องตั้งใจ จงใจ ที่ดูหมิ่น
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการตีความที่มากขึ้น ขอให้ท่านลองเข้าไปดู ฏีกาต่างๆ ซึ่งจะทำให้รู้ว่าการตีความจะเข้าความผิดฐานดูหมิ่นหรือไม่ เช่น ฏีกาที่ 5772/2542 , ฏีกาที่ 3800/2527 , ฏีกาที่ 2220/2518,ฏีกาที่ 2089/2511 , ฏีกาที่ 3176/2516 , ฏีกาที่ 259/2514 เป็นต้น)
...
  
วิทยากรกระบวนการ
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เป็นวิทยากรเชิงกระบวนการ
ให้แก่ อาสาสมัครคุ้ครองผู้บริโภค ในหัวข้อ " สิทธิผู้บริโภค" ณ โรงพยาบาล ...
  
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรคนสุดท้องของนายสำเนาและนางปรียา ใสยเกื้อ[1] มีพี่ชาย 1 คนคือ นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ (ชื่อเล่น: ต้น) มีตาคือ นายชอบ นาคแก้ว อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 8 ตำบลสิชล อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช และมีปู่คือ นายเปี่ยม ใสยเกื้อ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ตำบลป่าระกำ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบการศึกษาระดับประถม ที่โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2530 ระดับมัธยม ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ. 2536 สร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นนักโต้วาทีของโรงเรียน จนได้เป็นแชมป์ รายการโต้คารมมัธยมศึกษา ทางช่อง 3 โดยในรอบรองชนะเลิศพบกับคู่แข่งคือโรงเรียนเทพศิรินทร์ที่มีสุพจน์ พงษ์พรรณเจริญ (ชื่อเล่น: ทุเรียน) และสมเกียรติ จันทร์พราหมณ์ (ชื่อเล่น: เสนาลิง) ร่วมแข่งขันด้วย

จากนั้นสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เมื่อปี พ.ศ. 2541 ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต การจัดการภาครัฐและเอกชน สำหรับผู้บริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อปี พ.ศ. 2548

ด้านชีวิตครอบครัว นายณัฐวุฒิ สมรสกับ นางสิริสกุล ใสยเกื้อ (ชื่อเล่น: แก้ม) มีบุตรชายหนึ่งคนคือ ด.ช.นปก ใสยเกื้อ (นะ-ปก) ซึ่งนายณัฐวุฒิตั้งตามอักษรย่อ นปก.[2] ซึ่งแปลว่า ฟ้าคุ้มครอง และบุตรสาวอีกหนึ่งคนคือ ด.ญ.ชาดอาภรณ์ ใสยเกื้อ ซึ่งแปลว่า เสื้อแดง

[แก้] นักพูดและรายการสภาโจ๊ก
เริ่มต้นอาชีพนักพูดโดยเป็นนักอบรมการพูดกับบริษัทอดัมกรุ๊ปของ อ.อภิชาติ ดำดี สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักทางโทรทัศน์ จากการเป็นดาราของรายการสภาโจ๊กทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี โดยเป็นเงาเสียงของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

[แก้] การเมือง
[แก้] เริ่มสังกัดพรรคชาติพัฒนา
นายณัฐวุฒิเริ่มเล่นการเมืองด้วยการเข้าสังกัดพรรคชาติพัฒนาและลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 จากการชักชวนของ นายดำ ธีรศักดิ์นาคแก้ว น้าชาย แต่ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 โดยพ่ายแพ้คู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์เพียง 4,000 เสียง

[แก้] ร่วมกับพรรคไทยรักไทย
ต่อมาได้เข้าร่วมงานกับพรรคไทยรักไทยในทีมปราศรัยล่วงหน้าของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในนามพรรคไทยรักไทย เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 และได้รับเลือกเป็น ส.ส. [ต้องการอ้างอิง] แต่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นก่อน ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นทีมโฆษกพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ เป็นแกนนำผู้ก่อตั้งบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ที่ดำเนินการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์พีทีวี โดยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถานี และเมื่อมีการก่อตั้ง แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ก็ได้รับตำแหน่งแกนนำ และขึ้นปราศรัยต่อต้านรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

[แก้] โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสังกัดพรรคพลังประชาชน
ต่อมาสังกัดพรรคพลังประชาชน พร้อมลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่มที่ 8 พื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และหลังจากที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

[แก้] ผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้

นายณัฐวุฒิบนเวทีปราศรัย นปช.บริเวณแยกราชประสงค์ในปี พ.ศ. 2551 นายณัฐวุฒิได้เป็นหนึ่งในพิธีกรรายการความจริงวันนี้ ทาง NBT โดยร่วมกับนายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แต่เมื่อรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้มอบหมายให้นายณัฐวุฒิ เข้าดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายก่อแก้ว พิกุลทอง จึงได้เป็นพิธีกรแทนนายณัฐวุฒิ

แต่เมื่อพ้นจากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วนายณัฐวุฒิก็กลับมาดำเนินรายการอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 จนกระทั่งยุติการดำเนินรายการในวันที่ 10 ธันวาคม ปีเดียวกัน

[แก้] แกนนำคนเสื้อแดง
หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หลังเหตุการณ์สงกรานต์เลือด นายณัฐวุฒิถูกควบคุมตัวในข้อหาก่อการร้ายพร้อมกับนายวีระ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ และแกนนำคนอื่นๆ และได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมา




...
  
แนวทางตัวอย่างการพูดในโอกาสต่างๆ
รวบรวมโดย สุเมธ แสงนิ่มนวลและไอศูรย์ ดีรัตน์
ราคา 100 บาท พิมพ์โดย สำนักพิมพ์บุ๊คแบงก์
เป็นหนังสือที่รวบรวม คำกล่าวในโอกาสต่างๆ เช่น คำกล่าวอวยพรงานมงคลสมรส , คำกล่าวอวยพรวันปีลใหม่ , คำกล่าวในพิธีอุปสมบท , คำกล่าวในงานเลี้ยงสังสรรค์ , งานขึ้นบ้านใหม่ , งานเปิดป้าย เปิดศูนย์ต่างๆ, คำกล่าวในพิธีฒาปนกิจศพ และมีคำกล่าวอีกหลายงาน
เมื่อท่านซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่านไปศึกษา ท่านสามารถนำคำกล่าวในโอกาสต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ได้
...
  
การพูดในที่ชุมชน
เรื่อง การพูดในที่ชุมชน
โดย อ.สุพรรษา โประธา
การพูดในที่ชุมชน

การพูดในที่ชุมชน คือ การพูดในที่สาธารณะ มีผู้ฟังเป็นจำนวนมาก ผู้พูดต้องสนใจปฏิกิริยาตอบสนองผู้ฟัง ทั้งที่เป็นวัจนภาษา
และอวัจนภาษาการพูดต่อหน้าประชุมชน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถเฉพาะตัวเพราะทุกคนที่ไม่เป็นใบ้
ย่อมพูดได้ แต่บางคนเท่านั้นที่พูดเป็น เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไป
แต่สามารถพูดได้ เพราะการศึกษา การฝึกฝน ฉะนั้นการฝึกพูดในที่ประชุมชน
ซึ่งเป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการปรับปรุงบุคลิกภาพทั้งภายในและภายนอก
เพื่อการเป็นนักพูดที่ดี !!!
วิธีการพูดในที่ประชุมชน

1. พูดแบบท่องจำ
เตรียมเรื่องพูดอย่างมีคุณค่า สาระถูกต้องเหมาะสม แล้วจำเรื่องพูดให้ได้ เวลาพูดให้เป็น
ธรรมชาติ มีลีลา จังหวะ ถ่ายทอดออกมาทุกตัวอักษร

2. พูดแบบมีต้นฉบับ
พูดไปอ่านไป จากต้นร่างที่เตรียมมาอย่างดีแล้ว แต่ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาอ่าน เพราะไม่ใช่
ผลดีสำหรับผู้พูด

3. พูดจากความเข้าใจ
เตรียมเรื่องพูดไว้ล่วงหน้า ถ่ายทอดสารจากความรู้ความเข้าใจของตนเอง มีต้นฉบับ
เฉพาะหัวข้อสำคัญเท่านั้น เช่น การพูด, สนทนา, อภิปราย, สัมภาษณ์

4. พูดแบบกะทันหัน
พูดโดยไม่มีโอกาสเตรียมตัวเลย ซึ่งผู้พูดต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหา
เฉพาะหน้า เมื่อทราบว่าตนเองต้องได้พูด ต้องเตรียมลำดับความคิด และนำเสนออย่างฉับพลัน
การพูดทั้ง 4 แบบนี้ เป็นวิธีการนำเสนอสารต่อผู้ฟัง ผู้พูดจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย
เพื่ออะไร เนื้อหาสาระ โอกาส และสถานการณ์


การพูดในที่ประชุมชนตามโอกาสต่าง ๆ
จำแนก เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. การพูดอย่างเป็นทางการ
เป็นการพูดในพิธีต่าง ๆ มีการวางแผนแนวปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน เช่น การปราศรัยของนายกรัฐมนตรี การให้โอวาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในวันปฐมนิเทศ การพูดสุนทรพจน์ของ
รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ การอภิปรายในรัฐสภา ฯลฯ

2. การพูดอย่างไม่เป็นทางการ
เป็นการพูดที่ให้บรรยากาศเป็นกันเอง เช่น พูดเพื่อนันทนาการในกิจกรรมต่าง ๆ การพูด
สังสรรค์งานชุมนุมศิษย์เก่า การพูดเรื่องตลกในที่ประชุม การกล่าวอวยพรตามโอกาสต่าง ๆ ในงาน
สังสรรค์

3. การพูดกึ่งทางการ
เป็นการพูดที่ลดความเป็นแบบแผนลง เช่น พูดอบรมนักเรียนในคาบจริยธรรม การกล่าว
ต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม การกล่าวขอบคุณผู้ช่วยเหลือกิจกรรม กล่าวบรรยายสรุปแก่ผู้เข้าชมตาม
สถานที่ต่าง ๆ
อนึ่ง การพูดในที่ประชุมแต่ละครั้งจะเป็นการพูดประเภทใด ผู้พูดต้องวิเคราะห์โอกาส
และสถานการณ์ แล้วเตรียมศิลปะการใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสนั้น เพื่อที่จะพูดได้
ถูกต้อง ไม่เก้อเขิน เข้ากับบรรยากาศได้ดี มีความประทับใจ


การเตรียมตัวพูดต่อที่ประชุมชน
การพูดในที่ประชุมชนเนื่องจากมีผู้ฟังเป็นจำนวนมาก ผู้ฟังตั้งความหวังจะได้รับความรู้และสาระประโยชน์จากการฟัง ผู้พูดจึงต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออกจะช่วยให้ผู้พูดประสบความสำเร็จได้ผู้พูดจะเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

จึงขอเสนอหลักกว้างดังนี้
1. กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าจะพูดอะไร เพื่ออะไร มีขอบข่ายกว้างขวางมากน้อย เพียงใด
2. วิเคราะห์ผู้ฟัง พิจารณาจำนวนผู้ฟัง เพศ วัย การศึกษา สถานภาพทางสังคม อาชีพ ความสนใจ ความมุ่งหวัง และทัศนคติ ที่กลุ่มผู้ฟังมีต่อเรื่องที่พูด และตัวผู้พูดเพื่อนำข้อมูลมาเตรียมพูด เตรียมวิธีการใช้ภาษาให้เหมาะกับผู้ฟัง
3. กำหนดขอบเขตของเรื่อง โดยคำนึงถึงเนื้อเรื่องและเวลาที่จะพูด กำหนดประเด็น สำคัญให้ชัดเจน
4. รวบรวมเนื้อหา ต้องจัดเนื้อหาที่ผู้ฟังได้รับประโยชน์มากที่สุด การรวบรวมเนื้อหาทำได้ หาได้จากการศึกษา ค้นคว้าจากการอ่าน
การสัมภาษณ์ ไต่ถามผู้รู้ ใช้ความรู้ความสามารถของตนเอง แล้วจดบันทึก
5. เรียบเรียงเนื้อเรื่อง ผู้พูดจัดทำเค้าโครงเรื่องให้ชัดเจนเป็นไปตามลำดับ จะกล่าวเปิดเรื่องอย่างไร เตรียมการใช้ภาษาให้เหมาะสม กะทัดรัด เข้าใจง่าย ตรงประเด็น พอเหมาะกับเวลา
6. การซ้อมพูด เพื่อให้แสดงความมั่นใจต้องซ้อมพูด ออกเสียงพูดอักขรวิธี มีลีลาจังหวะ ท่าทาง สีหน้า สายตา น้ำเสียง มีผู้ฟังช่วยติชมการพูด มีการบันทึกเสียงเป็นอุปกรณ์การฝึกซ้อม

ในกรณีเป็นการพูดแบบฉับพลัน ผู้พูดไม่รู้ตัวมาก่อน หรือรู้ล่วงหน้าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เช่น กล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส กล่าวแสดงความยินดี กล่าวแสดงความคิดเห็นในนาม ของแขกผู้มีเกียรติ ผู้พูดส่วนน้อยที่พูดได้อย่างไม่เคอะเขิน ผู้พูดที่มีประสบการณ์สามารถสร้าง บรรยากาศได้ดี แต่ผู้พูดเป็นจำนวนมากยังเคอะเขิน
จึงขอเสนอข้อแนะนำในการพูด ดังนี้
1. เมื่อได้รับเชิญให้พูด อย่าตกใจ จงภูมิใจที่ได้รับเกียรติ ลุกขึ้นเดินไปอย่างสง่าผ่าเผย กล่าวทักทายต่อที่ประชุมให้เหมาะสมกับที่ประชุม พร้อมกับสังเกตสถานการณ์
แวดล้อม เริ่มประโยคแรกเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟังให้มากที่สุด
2. พูดเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัวที่สุด ลำดับเรื่องที่จะพูดก่อนหลัง โดยเสนอแนวคิดอย่างกระชับที่สุด พูดไปอย่างต่อเนื่อง พูดบทสรุปในตอนจบอย่างประทับใจ พยายามรักษาเวลาที่กำหนดไว้
3. ในกรณีที่เป็นการตอบคำถาม กล่าวทักทายหรือทำขั้นตอนอย่างสั้นๆ แล้วทวนคำถามให้กระชับ จึงตอบโดยลำดับเรื่องให้ตรงประเด็น ขยายความให้ชัดเจน
4. ผู้พูดต้องมีปฏิภาณ (ความสามารถในการแสดงความคิดที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างฉับไว) เรียบเรียงเนื้อเรื่องพูดได้ทันที คิดได้เร็ว ฉะนั้น จึงฝึกหัดให้คิด เร็ว ๆ ไว้บ่อย ๆ จะได้ช่วยได้มาก

จะพูดอะไรบ้างในที่ประชุมชน
1. สุนทรพจน์
สุนทรพจน์ หมายถึง คำพูดที่ดีงาม ไพเราะจับใจ การพูดสุนทรพจน์มักมีในพิธีสำคัญ เช่น พิธีต้อนรับแขกเมืองคนสำคัญ พิธีได้รับตำแหน่งสำคัญ เช่น นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีหรือกล่าวในงานฉลองระลึกถึงบุคคลสำคัญ วันสำคัญ ระดับชาติ หรือเป็นการกล่าวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงใจ เป็นคำพูดที่แสดงความปรารถนาดีในทางการเมือง การกล่าวสุนทรพจน์เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง มักได้รับการยกย่องว่าเป็นการพูดชั้นยอด
ลักษณะสุนทรพจน์
1. ใช้ถ้อยคำไพเราะลึกซึ้งกินใจ จับใจ
2. โน้มน้าวให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม
3. กระตุ้นผู้ฟ้ง มีความมั่นใจ และยินดีร่วมมือ
4. สร้างบรรยากาศให้เกิดความหรรษา และให้ความสุขแก่ผู้ฟัง

โครงสร้างทั่วไปของสุนทรพจน์
1. ตอนเปิดเรื่อง กระตุ้นให้ผู้ฟังเห็นความสำคัญของเรื่องที่จะพูด
2. ดำเนินเรื่อง ประกอบด้วยเนื้อหาสาระลำดับความสำคัญอย่างชัดเจน
3. ตอนจบเรื่อง สรุปความทิ้งท้ายให้ผู้ฟังนำไปคิด หรือฝากไว้ในความทรงจำตลอดไป

ลักษณะสุนทรพจน์ทางการเมือง
1. การอภิปราย ให้รัฐสภาหรือชุมชนกล่าวถึงปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับส่วนได้ส่วนเสียของหมู่คณะ
2. การแถลงคารม เป็นการพูดจาในศาลระหว่างทนายโจทย์ ทนายจำเลย เพื่อชี้ประเด็นให้ผู้ฟัง ผู้พิพากษา เห็นข้างฝ่ายตน
3. การพูดประณาม เป็นการพูดยกย่องหรือตำหนิการกระทำของบุคคลสำคัญ ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เป็นการชมเชยสนับสนุนหรือแสดงความไม่เห็นด้วย
การพูดทางการเมืองจะประสบความสำเร็จ ต้องพูดให้ผู้ฟังสะดุดใจ ชวนฟัง ประกอบด้วยคารม โวหาร ภาพพจน์ ที่เตรียมไว้เป็นอย่างดี ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นต้องแทรกอารมณ์ขันช่วยผ่อนคลายความเครียด


2. โอวาท
โอวาท คือ คำแนะนำตักเตือน คำสอนที่ผู้ใหญ่ให้แก่ผู้น้อย โอวาทของเจ้านายเรียกพระโอวาท ของพระเจ้าแผ่นดิน เรียก พระบรมราโชวาท

ลักษณะของโอวาท
1. เนื้อหามีคติเตือนใจ มีเหตุผล ไม่ยืดยาว
2. เป็นการแสดงความปรารถนาดี บางครั้งอาจกล่าวตำหนิตรง ๆ บ้าง
3. อาจนำไปประพฤติปฏิบัติได้จริง ผู้ฟังต้องฟังด้วยความเคารพ และยินดีที่จะนำคำสอน คำชี้แนะไปปฏิบัติ

3. คำปราศรัย
คำปราศรัย มีลักษณะคล้ายการแสดงสุนทรพจน์ในด้านเนื้อหา ภาษา และทัศนคติของผู้กล่าว ซึ่งสามารนำไปปฏิบัติได้ คำปราศรัยเป็นการพูดที่เป็นพิธีการจึงต้องมีการตระเตรียมมาก่อนเป็นอย่างดี

ลักษณะของคำปราศรัย
1. พูดถึงความสำคัญของโอกาสนั้น
2. เน้นความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ
3. ชี้แจงความสำเร็จ หรือผลงานที่ผ่านมา
4. กล่าวถึงอดีต ปัจจุบัน และความหวังในอนาคต และอวยพรให้เกิดความหวังใหม่ ๆ

4. คำไว้อาลัย
คำกล่าวไว้อาลัย มี 2 ลักษณะ คือ ใช้สำหรับงานศพ คือ พูดถึงคุณความดีของผู้เสียชีวิต
ใช้สำหรับงานเลี้ยงส่ง ผู้ที่จากไปรับตำแหน่งใหม่ลาออก หรือเกษียณอายุ นิยมเรียกว่า อำลาอาลัย

ลักษณะทั่วไปของคำกล่าวไว้อาลัย
1. กล่าวถึงประวัติผู้ตายหรือผู้ที่จากไปอย่างสั้นๆ
2. กล่าวถึงผลงานของผู้นั้น (ข้อ 1)
3. สาเหตุของการเสียชีวิต หรือจากไป
4. กล่าวถึงความอาลัยของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
5. แสดงความว่าที่ผู้จากไป จะไปอยู่สถานที่ดีและมีความสุข

5. กล่าวอวยพร
5.1 อวยพรขึ้นบ้านใหม่
1) กล่าวถึงความสำเร็จของครอบครัวในการสร้างหลักฐาน
2) ความซื่อสัตย์สุจริต และขยันหมั่นเพียรของเจ้าของบ้าน
3) อวยพรให้ประสบความสุข

5.2 อวยพรวันเกิด
1) ความสำคัญของวันนี้
2) คุณความดีของเจ้าภาพ
3) ความเจริญเติบโต ก้าวหน้า หรือเป็นที่พึ่งของบุตรหลาน อวยพรให้เป็นสุขอายุยืนยาว

5.3 อวยพรคู่สมรส
1) ความสัมพันธ์ของผู้กล่าวกับคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
2) ความดีที่ทั้งสองรักกัน แนะนำหลักการครองชีวิต อวยพรให้เป็นสุข

6. กล่าวสดุดี
6.1 กล่าวมอบวุฒิบัตร หรือประกาศนียบัตร
1) บอกความหมาย และความสำคัญของวุฒิบัตร
2) ความเหมาะสมของผู้ได้รับประกาศนียบัตร
3) มอบวุฒิบัตร และปรบมือให้เกียรติ

6.2 กล่าวสดุดีบุคคลสำคัญ
1) กล่าวนาม, กล่าวชีวประวัติ
2) ผลงาน งานที่เป็นมรดกตกทอด
3) ยืนยันสืบทอดคุณความดี แสดงคารวะและปฏิญาณร่วมตนร่วมกัน

7. กล่าวมอบรางวัล หรือตำแหน่ง

7.1 กล่าวมอบรางวัล หรือตำแหน่ง
1) ชมเชยความสามารถ และความดีเด่นของผู้ได้รับรางวัล หรือตำแหน่ง
2) ความหมายและเกียรตินิยมของรางวัลหรือตำแหน่ง
3) ฝากความหวังไว้กับผู้ที่จะรับรางวัล หรือดำรงตำแหน่ง
4) มอบรางวัล หรือของที่ระลึกปรบมือให้เกียรติสำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลกล่าวขอบคุณ กล่าวยืนยันที่จะรักษารางวัลเกียรติยศนี้

7.2 กล่าวรับมอบตำแหน่ง
1) ขอบคุณที่ได้รับความไว้วางใจ และให้เกียรติ
2) ชมเชยคณะกรรมการชุดเก่า (ในข้อดีจริงๆ )) ที่กำลังหมดวาระ
3) แถลงนโยบายโดยย่อ
4) ใช้คำสัญญาที่จะรักษาเกียรติ และทำหน้าที่ดีที่สุด พร้อมกับขอความร่วมมือจาก
คณะกรรมการและสมาชิกทุกคน

8. กล่าวต้อนรับ

8.1 ต้อนรับสมาชิกใหม่
1) ความสำคัญและความหมายของสถาบัน
2) หน้าที่และสิทธิ์ที่สมาชิกจะพึงได้รับ
3) กล่าวต้อนรับมอบของที่ระลึก (เข็มหรืออื่น ๆ) ถ้ามี

8.2 ต้อนรับผู้มาเยือน
1) เล่าความเป็นมาของสถาบันโดยย่อ
2) กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้ต้อนรับ
3) มอบของที่ระลึก แนะนำให้ที่ประชุมรู้จัก และเชิญกล่าวตอบ

9. ปาฐกถา

การแสดงปาฐกถา คือ การพูดถึงความรู้ ความคิด นโยบายแสดงเหตุผล และสิ่งที่น่าสนใจผู้ที่แสดงปาฐกถา ย่อมต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงในเรื่องนั้น ๆ การแสดงปาฐกถาไม่ใช่การสอนวิชาการ แต่มีข้อเสนอแนะ หรือข้อคิดเห็นสอดแทรก และไม่ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียด
มีหลักการแสดงปาฐกถาดังนี้
9.1 พูดตรงตามหัวข้อกำหนด
9.2 เนื้อหาสาระให้ความรู้ มีคำอธิบายตัวอย่างให้ฟังเข้าใจได้รวดเร็ว
9.3 สร้างทัศนคติที่ดีต่อเรื่องที่พูด

10. การพูดเป็นพิธีกร และโฆษก

พิธีกร หมายถึง ผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการในกิจการนั้น ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายพิธีกรจะเป็นผู้ทำให้รายการนั้นน่าสนใจมากน้อยเพียงใด ต้องทำหน้าที่ประสานประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้ฟัง และผู้ร่วมรายการ หรือ คือ ผู้ประสานความเข้าใจอันดีระหว่างผู้แสดงในรายการนั้นกับผู้ฟัง ผู้ชม
โฆษก (โคสก) หมายถึง ผู้ประกาศ, ผู้โฆษณา มีหน้าที่ติดต่อสื่อความหมายระหว่างผู้รับเชิญ กับผู้ชม หรือผู้ฟัง

ข้อแนะนำสำหรับผู้ทำหน้าที่พิธีกร และโฆษก
1. มีบุคลิกภาพดี
2. ขณะพูดหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีชีวิตชีวา ใจเย็น พูดจาไพเราะนิ่มนวล
3. มีปฏิภาณไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีความคล่องตัว สร้างบรรยากาศให้มีความเป็นกันเอง
4. พูดให้สั้น ได้เนื้อหาสาระ ใช้ถ้อยคำสละสลวย เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ กระตือรือร้นอยากฟัง
5. ศึกษาเรื่องราวที่จะต้องทำหน้าที่นำเสนอรายการเป็นอย่างดี จัดลำดับการเสนอสาระอย่างมีขอบเขต มีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ที่จะต้องทำ และมีความรับผิดชอบ


ความรู้เพิ่มเติมเรื่อง สุนทรพจน์

โครงสร้างสุนทรพจน์ ขั้นตอนของสุนทรพจน์
1. คำนำ หรือการเริ่มต้น (Introduction)
2. เนื้อเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่อง (Discussion)
3. สรุปจบ หรือการลงท้าย (Conclusion)
"ขึ้นต้นให้ตื่นเต้น ตอนกลางให้กลมกลืน และตอนจบให้จับใจ"
แบ่งโครงสร้างของสุนทรพจน์เป็นสัดส่วน ได้ดังนี้


คำนำ 5 - 10 %
เนื้อเรื่อง 80 - 90 %
สรุปจบ 5 - 10 %

คำนำหรือการเริ่มต้น
ข้อพึงหลีกเลี่ยงในการขึ้นต้น
1. อย่าออกตัว
2. อย่าขออภัย
3. อย่าถ่อมตน
4. อย่าอ้อมค้อม

หลักในการขึ้นต้นมีอยู่ว่า
1. ขึ้นต้นแบบพาดหัวข่าว (Headline)
2. ขึ้นต้นด้วยคำถาม (Asking Question)
3. ขึ้นต้นด้วยการทำให้ผู้ฟังสงสัย (Interest Arousing)
4. ขึ้นต้นด้วยการอ้างบทกวี หรือวาทะของผู้มีชื่อเสียง (Quousing)
5. ขึ้นต้นให้สนุกสนาน (Entertainment)


ข้อพึงหลีกเลี่ยงในการสรุปจบ
1. ขอจบ ขอยุติ
2. ไม่มากก็น้อย
3. ขออภัย ขอโทษ
4. ขอบคุณ
หลักในการสรุปจบมีอยู่ว่า มีความหมายชัดเจน ไม่เลื่อนลอยสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง และหัวข้อเรื่อง กระทัดรัดไม่เยิ่นเย้อ พุ่งขึ้นสู่จุดสุดยอดของสุนทรพจน์

วิธีสรุปจบที่ได้ผล
1. จบแบบสรุปความ
2. จบแบบฝากให้ไปคิด
3. จบแบบเปิดเผยตอนสำคัญ
4. จบแบบชักชวนและเรียกร้อง
5. จบด้วยคำคม คำพังเพย สุภาษิต

ความรู้เพิ่มเติมเรื่อง การเป็นพิธีกร

เทคนิคการเป็นพิธีการ
การเป็น "พิธีกร" นั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า "มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า" ใคร ๆ ก็เป็นได้ หากแต่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ ความเข้าใจ และปฏิภาณไหวพริบหลาย ๆ อย่างมาประกอบกันเพื่อทำให้งานดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางพิธีกร ไม่ใช่ผู้ประกาศ พิธีกรไม่ใช่ตัวตลก พิธีกรไม่ใช่ผู้โฆษณา พิธีกรไม่ใช่ผู้ทำหน้าที่
ประชาสัมพันธ์ และพิธีกรไม่ใช่ผู้พูดสลับฉากบนเวที แต่ พิธีกรเป็นที่รวมของบทบาทหน้าที่อย่างน้อย 4 ประการ คือ
1. เป็นเจ้าของเวที (Stage Owner)
2. เป็นผู้ดำเนินรายการ (Program Monitor)
3. เป็นผู้แก้สถานการณ์เฉพาะหน้า (Situation Controller)
4. เป็นผู้ประสานงานบันเทิงและสังคม (Social Linkage)

ดังนั้น พิธีกร จึงต้องมีความรู้พื้นฐาน 4 อย่าง คือ
1. รู้ลำดับรายการ
2. รู้รายละเอียดของแต่ละรายการ
3. รู้จักผู้เกี่ยวข้องในแต่ละรายการ (ใครจะมารับช่วงเวทีต่อไป)
4. รู้กาลเทศะ (ไม่เล่นหรือล้อเลียนจนเกินขอบเขต ต้องมีความพอดี)

โอกาสต่าง ๆ ในการเป็นพิธีกร ได้แก่
1. ผู้ดำเนินรายการบนเวทีในงานแสดงต่างๆ เช่น ดนตรี ละคร โชว์ ฯลฯ
2. เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย โต้วาที ยอวาที แซววาที
3. แนะนำองค์ปาฐก ผู้บรรยายรับเชิญ
4. จัดรายการทางวิทยุกระจายเสียง
5. จัดรายการทางโทรทัศน์
6. ดำเนินรายการในงานพระราชพิธี งานพิธี และงานมงคลต่างๆ
7. เป็นโฆษกของพรรคการเมืองในการปราศรัยหาเสียง หรือในงานต่างๆ ของพรรค


เทคนิค 7 ประการในการเป็นพิธีกร
1. ต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ (พักผ่อนเพียงพอ)
2. ต้องมาถึงบริเวณงานก่อนเวลา (อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง)
3. สำรวจความพร้อมของเวที แสง สี และเสียง (ทดสอบจนแน่ใจ)
4. เปิดรายการด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
5. ดึงดูดความสนใจมาสู่เวทีได้ตลอดเวลา (ทุกครั้งที่พูด หรือเสนอรายการ) อย่าทิ้งเวที
6. แก้ปัญหาหรือควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างดี
7. ดำเนินรายการจนจบ หรือบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

โอกาสใดควรดื่มถวายพระพร
หลายครั้งเจ้าภาพขอร้องให้มีการเชิญชวนดื่มถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งบางครั้งก็เหมาะสม บางครั้งก็ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ เกิดจากความไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควรเมื่อไม่นานมานี้ สำนักพระราชวังได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชน เป็นคำแนะนำของสำนักพระราชวัง บอกถึงวาระการดื่มถวายพระพร ว่ามีอยู่ 5 ลักษณะด้วยกัน คือ
1. งานที่จัดวันนั้นตรงกับวันสำคัญของราชสำนัก เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา
2. สถานที่จัดงานได้รับพระบรมราชานุญาต หรือพระบรมราชานุเคราะห์
3. คู่สมรส หรือเจ้าภาพฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้รับใช้พระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด
4. งานนั้นไม่เข้าหลักเกณฑ์ 3 ข้อแรก แต่มีประธานองคมนตรี หรือองคมนตรีไปร่วมงาน
5. แขกที่ไปร่วมงานนั้น เป็นผู้แทนต่างประเทศระดับเอกอัครราชทูต อุปทูต หรือการจัดงานวันชาติของสถานทูตต่างๆ โดยถือเป็นการอนุโลม
สำหรับคำกล่าวในการดื่มถวายพระพร ทางสำนักพระราชวังได้ชี้แนะว่าควรจะกล่าวดังนี้

"ในโอกาสอันเป็นศุภนิมิตมงคล กระผม (หรือดิฉัน) ขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติโปรดดื่มถวายพระพร"

เมื่อถึงตอนนี้ทุกคนก็ลุกขึ้นถือแก้วน้ำ แล้วผู้กล่าวนำถวายพระพรก็กล่าวต่อไปว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และพระสยามเทวาธิราช จงคุ้มครองให้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และพระราชวงศ์ จงทรงพระเกษมสำราญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรไปชั่วกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"

แล้วทุกคนดื่มถวายพระพรจึงนั่งลงได้สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องจบโดยไม่ต้องมีเพลงมหาฤกษ์ หรือเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือเปล่งเสียงไชโยโดยสิ้นเชิง




...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.