หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ข้อดีของการให้ออกจากงาน
ข้อดีของการให้ถูกออกจากงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในช่วงสภาวะการที่องค์กรลดกำลังคน หรือ ในช่วงภาวะปกติ การว่างงาน การตกงานถือว่าเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ของการใช้ชีวิตของการทำงาน และกระผมเชื่อแน่ว่าหลายๆท่าน ในขณะนี้ คงประสบกับภาวะการว่างงาน ดังกล่าวคือ การถูกไล่ออกจากงานหรือถูกให้ออกจากงาน หลายท่านทำใจได้ยาก นั่งกลุ้มใจ เป็นทุกข์ แต่ความเป็นจริงแล้ว การถูกให้ออกจากงาน มีข้อดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว ข้อดีของการถูกให้ออกจากงาน คือ
1.ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เรา มีอิสระ อย่างเต็มที่ เพราะชีวิตการทำงานที่ผ่านมา เรามักถูกควบคุมด้วย เรื่องของ กฎ ระเบียบ เวลา สถานที่ เจ้านาย เช่น การทำงานประจำมักต้องมีเวลาเข้าออกในการทำงาน , ต้องมีกฎระเบียบ วันลา วันหยุด วันทำงาน , ต้องทำงานตามสถานที่ที่องค์กรกำหนด ไม่ว่าจะต้องถูกย้ายไปอยู่ในจังหวัดหรืออำเภอต่างๆ , อีกทั้งยังเป็นอิสระจากเจ้านายที่คอยบ่น บังคับ ควบคุม ฯลฯ
2.ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้ ตามใจที่เราปรารถนา ในขณะที่ตอนที่เราทำงานประจำเราไม่สามารถทำได้ เช่น ออกเดินทางไปต่างจังหวัดไปหรือไปต่างประเทศ ในช่วงระยะเวลานานๆ ได้ , ทำให้มีเวลาว่างในการอยู่กับครอบครัวมากขึ้น , มีเวลาในการออกกำลังกายมากขึ้น , มีเวลาไปปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ มากขึ้น , ทำให้เราสามารถนอนพักผ่อนได้เป็นเวลาที่นานๆขึ้นกว่าตอนที่ต้องทำงานประจำที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า ต้องลำบากในการเดินทางโดยใช้เวลานานๆ ฯลฯ
3.ทำให้เราได้มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพมากขึ้น เช่น ไปอบรมตามสถาบันต่างๆ , ไปอบรมในหลักสูตรต่างๆ ตัวอย่าง ไปพัฒนาทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน , ไปพัฒนาทักษะทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษ , ไปพัฒนาทักษะในการเขียนหนังสือ , ทำให้เราได้มีโอกาสใช้เวลาว่างในการพัฒนาสร้างสรรค์ผลงานของเราให้ดียิ่งขึ้น หรือบางท่านอาจใช้เวลาว่างนี้ในการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี , ปริญญาโท หรือปริญญาเอก ฯลฯ
4.ทำให้เราได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้คนต่างๆ เช่น ทำให้เราใช้เวลาว่างในการไปเยี่ยมเยือนญาติที่ไม่ได้มีโอกาสติดต่อกันนาน , ทำให้เราได้มีโอกาสไปพบไปหาคุณพ่อคุณแม่ , ทำให้เราได้มีโอกาสไปพบปะเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบปะกันมานาน ฯลฯ การพบปะพูดคุยกันจะทำให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้คนและเมื่อมีอะไรดีๆ เขาก็จะคอยให้ความช่วยเหลือเรา
5.เป็นข้อที่สำคัญที่สุด กล่าวคือ ทำให้เราได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้น โดยหาตัวตนว่าสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารักจริงๆ คืออะไร ข้อดีของเรามีอะไรบ้าง ข้อบกพร่องของเรามีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น บางท่านทำงานประเภทต่างๆ มามากมาย เปลี่ยนงานมาหลายสิบงาน แต่สุดท้ายถูกให้ออกจากงาน แล้วจึงกลับมาทบทวนตนเองดูว่าตนต้องการอะไร หรือ รัก ชอบ อะไร จริงๆ ในชีวิต ปรากฏว่า เขารักในการทำอาหาร ชอบทำอาหาร จึงได้เปิดร้านขายอาหาร หรือ ร้านขายขนม จนสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองและครอบครัว และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขามีความสุขเป็นอย่างมากในการทำอาหาร เป็นต้น
สรุป คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งด้านบวก ด้านลบ มีทั้งด้านดีและด้านเสีย หากเราสามารถมองโลกในแง่ดี เราก็สามารถมีความสุขในการใช้ชีวิต เนื่องจากชีวิตของคนเราสั้นนัก เราจึงไม่ควรอมทุกข์ การตกงานหรือการว่างงาน จึงมีข้อดี หากเราสามารถมองในด้านดี ซึ่งกระผมยังไม่ได้กล่าวถึงอีกหลายข้อ เช่น หากเราทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี หรือ ทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดมลภาวะ การถูกให้ออกจากงานจึงทำให้เรามีความปลอดภัยในเรื่องของสุขภาพ คุณภาพชีวิต อีกด้วย

...
  
นพลักษณ์ ศาสตร์แห่งการรู้จักตนเองและผู้อื่น
นพลักษณ์ ศาสตร์แห่งการรู้จักตนเองและผู้อื่น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.co
นพลักษณ์ หรือ เอ็นเนียแกรม(Enneagram) ไม่ได้เป็นศาสตร์ใหม่เลยสำหรับสังคมไทย
นพลักษณ์ เป็นศาสตร์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้จักตนเองและผู้อื่นมากขึ้น โดยมีการแบ่งคนออกเป็น 9 ลักษณ์ อีกทั้งแยกนิสัยบุคลิกคนออกเป็น 9 บุคลิก 9 ลักษณะ คือ
1.ลักษณ์หนึ่ง : Perfectionist (คนสมบูรณ์แบบหรือคนเนี๊ยบ) ชอบทำงานตามตารางที่ชัดเจน , เป็นคนคิดละเอียดรอบคอบ ชอบอยู่โดดเดียว เป็นคนที่มุ่งการทำงานมากกว่ามุ่งความสัมพันธ์ของคน มองอะไรตรงไปตรงมา ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ไม่ค่อยแสดงออกเวลาโกรธ ฯลฯ
2.ลักษณ์สอง : Giver (ผู้ให้) เป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี , ชอบช่วยเหลือผู้อื่น , มีการปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ดีจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นคนที่มีหลายบุคลิก , ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น , ร่าเริงแจ่มใส ฯลฯ
3.ลักษณ์สาม : Performer (นักแสดงหรือนักปฏิบัติ) เป็นคนทุ่มเทการทำงาน , ต่อสู้ชีวิต , ชอบการแข่งขัน , ต้องการเป็นผู้ชนะ , เป็นคนกระตือรือร้น , ไม่ทนต่อคำวิจารณ์ของผู้อื่น , มุ่งงานมากกว่ามุ่งคน ฯลฯ
4.ลักษณ์สี่ : Romantic (คนโศกซึ้ง) เป็นคนอ่อนไหว , ชอบงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ , การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากน้อยมักขึ้นอยู่กับสภาพของอารมณ์ในขณะนั้น , มีอารมณ์ศิลปิน , มีความลึกซึ้งทางด้านอารมณ์ ฯลฯ
5.ลักษณ์ห้า : Observer (ผู้สังเกตการณ์) เป็นคนหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง , ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง , ต้องการความปลอดภัย , รู้จักสงบนิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤต , รักษาความลับได้ดี , เป็นคนช่างคิด ฯลฯ
6.ลักษณ์หก : Questioner (คนช่างระแวงหรือนักปุจฉา) เป็นคนช่างตั้งคำถามและสนใจที่จะตรวจสอบ , ชอบเก็บตัวมากกว่าชอบเข้าสังคม , ความกลัวหรือความกังวล อาจทำให้ประสบความสำเร็จยาก , เป็นผู้ร่วมทีมงานที่ดีแต่มักไม่ชอบเป็นผู้นำทีม ฯลฯ
7.ลักษณ์เจ็ด : Epicure (นักเสพสุดยอดหรือนักผจญภัยหรือคนหรรษา) เป็นคนที่ชอบสร้างความสำราญให้กับผู้ที่อยู่ร่วมทำงาน , เป็นคนช่างเล่น , มีพลัง มีความร่าเริง กระตือรือร้น มองโลกในแง่ดี , ชีวิตต้องการสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆใหม่ๆ , เปิดรับความคิดใหม่ๆ มากกว่าความคิดเดิมๆ ฯลฯ
8.ลักษณ์แปด : Boss (ผู้ปกป้อง หรือ เจ้านายหรือคนกล้า) เป็นคนตรง , ไม่ชอบความไม่ยุติธรรม , เวลาโกรธก็แสดงออกมา ไม่ซ้อนเร้น , เป็นคนแข็งนอกแต่อ่อนใน , เห็นการประนีประนอมว่าเป็นความอ่อนแอ , มักมองว่าตนเป็นฝ่ายถูก , มองตนเองเป็นศูนย์กลาง ฯลฯ
9.ลักษณ์เก้า : Mediator (ผู้ประสานไมตรี) เป็นนักประสานงานที่ดี , ชอบสันติ ,ไม่ชอบความขัดแย้ง , ไม่ชอบการเสี่ยง , เป็นคนชอบผ่อนคลาย , ไม่ชอบการตัดสินใจ , เมื่อโกรธจะแสดงออกด้วยการเพิกเฉย ฯลฯ
ฉะนั้น คนเราทุกคน จะมีลักษณะตามลักษณ์ทั้ง 9 ลักษณ์ที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งทั้ง 9 ลักษณ์ ท่านสามารถศึกษาได้เพิ่มเติมที่ สมาคมนพลักษณ์ไทย หรือลองเข้าไปดู http://www.enneagramthailand.org/ ซึ่งมีการเปิดสอนและฝึกอบรม อีกทั้งปัจจุบัน ยังมีหนังสืออีกหลายเล่ม ที่เขียนเกี่ยวกับ นพลักษณ์ให้ได้อ่านกัน เช่น นพลักษณ์ – คู่มือสังเกตตนเอง , นพลักษณ์ : แผนที่เข้าถึงคน เข้าถึงตน , แก่นพนลักษณ์ ฯลฯ
สำหรับการตรวจสอบว่า ตนเองอยู่ลักษณ์ใด คงต้องใช้เวลา และในปัจจุบันมีเครื่องมือ แบบทดสอบลักษณ์ ให้ได้มีการประเมินตนเอง และประเมินผู้อื่นอีกด้วย นพลักษณ์ จึงเป็นศาสตร์แห่งการรู้จักตนเองและผู้อื่น อย่างแท้จริง หากว่าท่านได้ศึกษาอย่างแท้จริง ก็จะเกิดประโยชน์ต่อตัวท่านและผู้อื่น
...
  
ความล้มเหลวอาจเป็นสิ่งที่ดี
ความล้มเหลวอาจเป็นสิ่งที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
 ความสำเร็จมักก่อตัวขึ้น จากเถ้าถ่านของความล้มเหลว...
 ระดับความสำเร็จคือแรงสะท้อนจากการเคยประสบความล้มเหลวมาก่อน
 ไม่มีใครลุกขึ้นมาจากความล้มเหลวได้โดยไม่แข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดกว่าเดิม
o กระผมเชื่อแน่ว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับประโยคเหล่านี้ที่มีความเกี่ยวข้องกับความล้มเหลว ซึ่ง
บุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคน มักจะต้องผ่านความล้มเหลวมาด้วยกันแทบทั้งสิ้น แต่พวกเราส่วนใหญ่มักจะชื่นชมว่าเขาเป็นคนเก่ง เป็นคนมีโชค วาสนา แต่หารู้ไม่ว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกๆคน มักจะต้องเคยผ่านความยากลำบาก เคยผ่านความล้มเหลวมาเกือบทุกคน
- บิล เกตส์ กว่าจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้ เขาต้องทุ่มเท กำลังใจ
กำลังกายและกำลังความคิด เขาต้องพบกับความล้มเหลวนานัปการในการเริ่มต้นธุรกิจของเขา เพื่อนมักจะดูถูกเขาว่าเป็นคนสกปรก บ้าคอมพิวเตอร์ อีกทั้งเขาเคยถูกบริษัท IBM ดูถูกว่าเขาเป็นแค่ เด็ก แต่ในที่สุด เขากลับกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก
- เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ บุรุษเหล็กแห่งมหาสงครามโลกครั้งที่ 2
ตอนเด็กๆ เขาเป็นคนติดอ่าง และมีปัญหาทางการพูดอย่างมาก เขาเคยล้มเหลวในการพูด เคยถูกดูถูกทำให้เขาได้รับความอัปยศอดสู แต่แล้วเมื่อเขาผ่านการฝึกฝน เขาไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลวในที่สุด เขากลายเป็นนักพูดระดับชาติและผู้คนยอมรับเขาทั่วโลกในการพูดเลยทีเดียว มีครั้งหนึ่งที่ท่านได้ถูกนิสิต นักศึกษา ถามว่าทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ ตอบว่า “ Never ,Never ,Never , Never ,Never Give Up ” แปลว่า (ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ล้มเลิก)
- วอลท์ ดีสนีย์ ราชาการ์ตูนวอลท์ ดีสนีย์ที่โด่งดังไปทั่วโลก ก็พบกับความล้มเหลวมาอย่างมาก
มาย เขาเคยตั้งบริษัทสร้างภาพยนตร์ แต่ถูกพนักงานบริษัทของเขายักยอกเงินหอบเงินหนีไป บริษัทของเขาประสบปัญหาจนล้มละลาย หลังจากที่เขาใช้หนี้จนหมด เขาจึงเริ่มสร้างภาพยนตร์ใหม่โดยการเช่าโรงรถของอาของเขา ความล้มเหลวไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง แต่เขาต่อสู้จนในที่สุด เขาประสบความสำเร็จในการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนจนโด่งดังไปทั่วโลก
- และยังมีตัวอย่างของผู้ประสบความล้มเหลวอีกมากมายที่ต่อสู้จนประสบความสำเร็จในธุรกิจ
จงกล้าที่จะล้มเหลว เพราะบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยพบหรือเคยต่อสู้กับความล้มเหลวมาก่อน มักจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานหรือทำกิจการใดๆ
ความจริงแล้ว ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความพ่ายแพ้เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากว่า
เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราไม่ล้มเลิก สักวันหนึ่งเราก็จะประสบความสำเร็จ จงอย่าหยุดเสียกลางคัน จงอย่าเลิกล้มความพยายาม เพราะนักปราชญ์ในอดีตบางท่านได้กล่าวไว้อย่างสวยงามว่า “ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของท่าน ถ้าหากว่าท่านล้มเหลวถึงสิบครั้ง แต่ท่านก็ยังได้พยายามต่อไป นั้นแสดงว่าความมีอัจฉริยะได้เกิดขึ้นในหน้าที่การงานของท่านแล้ว จงพยายามทำต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ
จงอย่าลืมว่าไม่มีใครสามารถตราหน้าเราได้ว่าเราเป็นคนล้มเหลวได้ นอกจากตัวเราเอง อย่าให้คำพูดของผู้อื่นมาตัดสินตัวเรา อย่าให้คำพูดของคนอื่นมากำหนดชะตาชีวิตของเรา “ ผู้ชนะไม่เคยยอมจำนน และผู้ยอมจำนนไม่มีวันชนะ ” เป็นคติพจน์ของคนโบราณแต่ก็ยังใช้ได้และให้แง่คิดกับเราได้เป็นอย่างดี
จงระลึกไว้ว่า ความล้มเหลว ความลำบาก ความทุกข์ยาก ทุกครั้ง ได้แฝงมาซึ่งประโยชน์ในอนาคตที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ
...
  
สาเหตุที่ทำให้เราบริหารเวลาไม่ดี
สาเหตุที่ทำให้เราบริหารเวลาไม่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
หลายท่านได้เรียนรู้ ได้อ่าน ได้ศึกษา เกี่ยวกับเรื่องการบริหารเวลามามาก แต่ก็ไม่สามารถบริหารเวลาได้ดี ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ซึ่งสาเหตุสำคัญในการทำให้เราบริหารเวลาได้ไม่ดีมีอยู่ 2 สาเหตุ คือ
1.ตัวเราเอง ตัวเราเองมีความสำคัญที่สุดในเรื่องของการบริหารเวลา หลายคนบริหารเวลาไม่ดี เนื่องมาจาก
- การไม่มีเป้าหมาย ไม่มีทิศทางในการดำเนินชีวิต สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก การไม่มีทิศทางเปรียบเสมือนเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล แต่หากเรามีเป้าหมาย มีทิศทาง เปรียบเสมือนเรือที่เคลื่อนตัวเข้าไปหาฝั่ง อีกทั้งการมีเป้าหมายยังสามารถทำให้เรากำหนดระยะเวลา กำหนดความเร็วในช่วงเวลาต่างๆได้อีกด้วย
- การไม่มีแผนการหรือการวางแผน การวางแผนมีความสำคัญมากต่อการบริหารเวลาของคนเรา เพราะหากปราศจากการวางแผนแล้ว เราก็จะไม่รู้ว่า วันพรุ่งนี้เราต้องทำอะไร วันมะรือนี้เราต้องทำอะไร วันมะเรื่องนี้เราต้องทำอะไร อาทิตย์หน้าเราต้องทำอะไร เดือนหน้าเราต้องทำอะไร ปีหน้าเราต้องทำอะไร
- การไม่มีวินัยในตนเองหรือชอบผัดวันประกันพรุ่ง กล่าวคือมีการวางแผนแล้ว แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เลยทำให้ผลงานออกมาไม่ตรงกับเป้าหมายหรือแผนที่วางไว้ เพราะบางคนทำๆ หยุดๆ ไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง และมีหลายๆท่านชอบเก็บงานที่ค้างไว้ทำในวันต่อๆไป ทำให้กลายเป็น “ ดินพอกหางหมู”
- ไม่ใช่เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เทคโนโลยีทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน อีกทั้งยังทำให้ประหยัดเวลาได้อีกด้วย เช่น การใช้โทรศัพท์ติดต่อธุรกิจ,การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน, การใช้อินเตอร์เน็ตติดต่อสื่อสารและค้นหาข้อมูลต่างๆ อีกทั้งการประชุมในยุคปัจจุบันเรายังประชุมข้ามประเทศ ข้ามจังหวัด ได้ก็ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อีกด้วย
- ไม่รู้จักจัดความสำคัญ บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาไปกับเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน เพราะไม่มีใครสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉะนั้น งานบางงานที่ไม่มีความสำคัญเราอาจให้คนอื่นทำแทนหรือใช้ผู้อื่นไปทำแทนได้
- ไม่กล้าปฏิเสธ หลายๆคนไม่กล้าปฏิเสธ แทนที่จะได้ทำงานของตนเองให้เสร็จทันเวลาหรือตามแผนที่วางไว้ กับถูกผู้อื่นขอร้องให้ทำงานของคนอื่น แทนที่จะใจแข็งรู้จักปฏิเสธกับให้การช่วยเหลือ ทำให้งานของตนเองที่จะทำกลับไม่ได้ทำ
- วางระบบ จัดโต๊ะ ในการทำงาน การวางระบบ การจัดโต๊ะทำงานจะทำให้เราประหยัดเวลาในการค้นหาสิ่งของต่างๆ ยิ่งหากท่านเป็นนักเขียน ท่านควรมีห้องสมุดส่วนตัว อีกทั้งควรจัดหนังสือให้เป็นหมวดหมู่เพื่อง่ายต่อการค้นหา
2.ผู้อื่น เป็นปัจจัยอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราบริหารเวลาได้ไม่ดี เช่น เจ้านายเรียกประชุมแบบกะทันหัน , เพื่อนหรือคนรู้จัก ชวนพูดคุยเป็นเวลานาน , การประชุมนานเกินกว่ากำหนดการที่วางเอาไว้เพราะมีคนเสนอความคิดเห็นมากจนเกินไป , การถูกขอร้องจากผู้อื่นเพื่อขอความช่วยเหลือ เป็นต้น
อีกทั้งยังมีปัจจัยเสริมที่ทำให้เราบริหารเวลาไม่ได้ดี เช่น การเดินทางไปทำงานแล้ว รถติด รถเกิดเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ , สภาพอากาศหรือสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง ฝนตกหนัก น้ำท่วม ถนนทรุด ฯลฯ
จากข้อความข้างต้น สาเหตุที่ทำให้เราบริหารเวลาไม่ดี ผมให้น้ำหนักไปที่ตัวของเราเองเป็นหลัก เพราะหากเรามีเป้าหมายชีวิต มีการวางแผน มีวินัย มีการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆช่วย รู้จักลำดับความสำคัญ รู้จักวางระบบการทำงาน และอีกทั้งรู้จักกล้าปฏิเสธในกิจกรรมที่ทำให้เราเสียเวลา เราก็จะสามารถบริหารเวลาได้ดียิ่งขึ้น สำหรับปัจจัยอื่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
...
  
นักเขียน
เส้นทางนักเขียน

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

ถ้าท่านไม่ได้เป็นนักอ่าน อย่าคิดเป็นนักเขียน


คำพูดข้างต้นเป็นความจริงมากเลยที่เดียว ถ้าท่านอยากเขียนหนังสือเก่ง ท่านจำเป็นต้องอ่านให้มาก อ่านเพื่อเปรียบเทียบ ว่าการเขียนของใครดี ของใครไม่ดี ทำไมงานเขียนชิ้นนี้ ท่านถึงชอบ งานเขียนชิ้นนี้ ทำไมท่านถึงไม่ชอบ การเขียนหนังสือเก่งมักทำให้ท่านได้เปรียบผู้อื่น การเขียนหนังสือเก่งทำให้ท่านได้ชื่อเสียง เงินทอง การเขียนหนังสือเก่งทำให้ท่านได้รับตำแหน่งสูงกว่าผู้อื่น และการเขียนหนังสือเก่งทำให้ท่านได้รับสิ่งต่างๆอีกมากมาย


ในอดีต ท่านอาจจะได้ยินคำพูดที่ว่าการเป็นนักเขียนนั้นไส้แห้ง อาจเป็นความจริง แต่ในยุคปัจจุบันถ้าท่านเขียนหนังสือเก่ง ท่านสามารถมีรายได้มากมายมหาศาลดังเช่น เจ.เค.โรว์ลิ่ง ผู้เขียน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กลายเป็นนักเขียนที่รวยที่สุดในโลกขณะนี้

สำหรับท่านที่ต้องการจะเป็นนักเขียนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เราสามารถหาข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายกว่าในอดีตเป็นอันมาก เรามีระบบอินเตอร์เน็ตซึ่งช่วยให้ผู้ที่หัดเขียน

หาข้อมูลเพื่อมาประกอบการเขียนได้ในเวลาอันรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย ในอดีต เราต้องไปหาตามห้องสมุด ซึ่งห้องสมุดหลายแห่งไม่มีหนังสือหรือข้อมูลที่เราต้องการ แต่ปัจจุบันเรามีห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ อินเตอร์เน็ตนั้นเอง


สำหรับคนที่ต้องการเป็นนักเขียนจำเป็นจะต้องท่านทราบในเบื้องต้นก่อนว่างานเขียนมีอยู่หลายประเภท เช่น งานเขียนประเภทบทความ งานเขียนสารคดี งานเขียนเรียงความ งานเขียนเรื่องสั้น งานเขียนนวนิยาย งานเขียนตำรา และงานเขียนหนังสือทางวิชาการ ซึ่งงานเขียนแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง การใช้ภาษา สำนวน ความน่าสนใจ รูปแบบ ขั้นตอน ผู้ที่ต้องการเป็นนักเขียนต้องรู้ก่อนว่า ตนต้องการจะเขียนงานเขียนประเภทใดแล้วจึงศึกษาหาความรู้ หาอ่านงานเขียนประเภทที่เราต้องการเขียน ต้องการฝึกฝนให้มากๆ

สำหรับประเทศไทย มีข้อเท็จจริงในเชิงสถิติที่น่าห่วงใย ปัจจุบันอัตราการอ่านหนังสือของเด็กและเยาวชนไทยต่อปีอยู่ในระดับต่ำมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ ๕ เล่มต่อคนต่อปีเท่านั้น ต่ำกว่าประเทศเวียดนามที่กำลังเร่งพัฒนาประเทศไล่กวดไทยอยู่ในขณะนี้ หากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยอื่นๆ ปรากฏว่าคนสิงคโปร์มีอัตราการอ่านเฉลี่ย ๑๗ เล่มและมาเลเซีย ๔๐ เล่มต่อคนต่อปี ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีอัตราการอ่าน ๕๐ เล่มต่อคนต่อปี(ผู้จัดการรายสัปดาห์ 19 กพ.52)

สำหรับเส้นทางนักเขียนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ถ้าท่านอยากเป็นนักเขียน ท่านต้องมุ่งมั่น ฝึกฝน จง เขียน เขียน และเขียน จงหัดเขียนเรื่องที่ตนถนัดก่อน เพราะการฝืนเขียนเรื่องที่ตนไม่ถนัดนักมันจะทรมานมากกว่าที่จะเกิดความสนุกสนาน ยากนักที่จะประสบความสำเร็จ เมื่อคิดว่าทรมานสุดท้ายก็จะเลิกเขียนในที่สุด จงเขียนด้วยภาษาที่ง่ายๆ บางคนคิดว่าควรเขียนภาษาที่ยากๆ เข้าใจยังหรือคำศัพท์ยากนะดี ความจริงไม่ใช่เลย นักเขียนที่ดีควรใช้ภาษาที่เรียบง่าย เพื่อให้คนอ่านเกิดความเข้าใจที่ตรงกันกับผู้เขียน และถ้าเป็นไปได้จงเขียนทุกๆวัน

สำหรับหลายท่านที่ต้องการเป็นนักเขียน มักจะถามกระผมว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าสู่วงการเขียนได้


สำหรับผมคิดว่า ท่านควรเริ่มเวทีเล็กๆก่อนหรือหาโอกาสส่งข้อเขียนของท่านไปยังหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น วารสารท้องถิ่น ของหน่วยงานก่อน หรือ เขียนแจกให้เพื่อนๆ อ่าน ถ้าใครเป็นครู อาจารย์

ก็สามารถเขียนแล้วให้นิสิต นักศึกษา ดูก่อน อย่าไปคิดใหญ่หรือไกลเกินไป เพราะบางคนบอกว่าถ้าไม่ได้ลงในหนังสือพิมพ์ระดับชาติแล้วจะไม่เขียน ในที่สุดท่านอาจจะไม่ได้เขียน เพราะ หนังสือพิมพ์ระดับชาติ วารสารระดับชาติ ส่วนใหญ่เขาก็จะมีนักเขียนที่มีชื่อเสียงเขียนให้อยู่แล้ว

ดังนั้น ขอให้ใช้เวทีเล็กให้เป็นประโยชน์ก่อน เมื่อเขียนเก่ง เมื่อมีชื่อเสียง เดี๋ยว หนังสือพิมพ์ วารสารระดับชาติ เขาก็จะเชิญเอง เนื่องจาก ท่านเขียนดีขึ้น เก่งขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้นนั้นเอง


สำหรับ นักเขียนหน้าใหม่ กระผมแนะนำว่า ท่านควรหางานประจำทำเพื่อเลี้ยงชีพก่อน แล้วจึงใช้เวลาว่างจากการทำงาน เขียนบทความ เขียนงานเขียนที่ตนถนัด เพราะถ้าหวังแต่จะหารายได้จากการเขียน ทั้งๆที่ยังไม่ดัง เกรงว่าท่านจะอดตายเสียก่อน

จงทำให้ผู้อ่านสนุกสนาน ขณะเดียวกันก็สอนเขาไปด้วย







...
  
ความล้มเหลวทำให้ท่านประสบความสำเร็จ
ความล้มเหลวทำให้ท่านสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
“ ร้อยละเก้าสิบของคนที่ล้มเหลวแท้ที่จริงแล้วไม่ได้พ่ายแพ้...เขาเพียงแต่ล้มเลิกไป... ”
พอล เจ.เมเยอร์
เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวระหว่างความล้มเหลวและความสำเร็จ ผู้คนโดยมากมักชอบพูดถึงแต่เรื่องความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว แม้แต่สื่อมวลชนเอง ก็มักจะสัมภาษณ์บุคคลที่ประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ล้มเหลว แต่แท้ที่จริงแล้ว บุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกๆคน มักเป็นคนที่ประสบความล้มเหลวมาก่อน โดยกันเกือบทั้งสิ้น
- อัลเบิรต์ ไอนสไตน์ ในวัยเด็กเขามักถูกครูและเพื่อนๆ มองว่าเป็นเด็กที่ผิดปรกติ ชอบ
จินตนาการ ชอบฝันกลางวัน เขาเคยสอบเข้าเรียนโรงเรียนโพลีเทคนิคซูริคซึ่งอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ไม่ได้ เขาเคยสอบตก เขาเป็นคนที่เรียนรู้ได้ช้า สาเหตุคงเกิดจากความพิการทางการอ่านและการเขียนของเขา แต่โลกทั้งโลกต้องตะลึงในความเป็นอัจฉริยะในตัวเขา กับการคิดค้นทฤษฏีสัมพัทธภาพ
- คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ใครๆ ก็บอกว่าเขาเป็นบ้า.... เขาเชื่อว่าโลกกลม...ซึ่งขัดแย้งกับผู้คนใน
ยุคนั้นที่เชื่อว่าโลกแบน อีกทั้งการเดินเรือแบบรอบโลกยังคงมีข้อจำกัดมากในเรื่องของอาหาร เทคโนโลยีการเดินเรือในสมัยนั้น เขาเป็นนักสำรวจ นักเดินเรือและพ่อค้า เขาถูกปฏิเสธหลายครั้งในการนำโครงการเดินเรือไปขอทุนต่อราชสำนักในโปรตุเกส เขาต่อสู้จนหาทุนทำโครงการเดินเรือได้ จนในที่สุดเขาคือผู้ค้นพบดินแดนต่างๆ มากมายซึ่งคนในสมัยนั้นไม่มีใครรู้จัก เช่น หมู่เกาะบาฮามาส , หมู่เกาะซานซัลบาดอร์ , หมู่เกาะเกรตเตอร์แอนทิลลิส ., โลกใหม่แห่งตะวันตก ฯลฯ จากการกระทำของเขาทำให้โลกสามารถเชื่อมไปมาหากันได้โดยทั่วโลก
- โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ นักกีฬาชาวอังกฤษ นักวิ่งคนแรกที่วิ่งทำลายสถิติ หนึ่ง
ไมล์(1,609 เมตรใช้เวลาน้อยกว่า 4 นาที ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สุขภาพได้ประกาศย้ำว่าเกินขีดความสามารถของมนุษย์ ใครๆก็บอกว่า ทำไม่ได้ หรือในสมัยนั้น ไม่มีใครสามารถทำได้ เขาพยายามฝึกซ้อมแต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งในการวิ่ง หนึ่งไมล์(1,609 เมตร ใช้เวลาน้อยกว่า 4 นาที จนในที่สุด เขาสามารถทำได้ในปี 1954 เขาทำสถิติได้( 3 นาที 59.4 วินาที) แล้วอีกไม่นานต่อมาก็มีคนทำลายสถิติ การวิ่ง หนึ่งไมล์ใช้เวลาน้อยกว่า 4 นาที ได้อีกเป็นจำนวนมาก
- นีล แอลเดน อาร์มสตรอง ใครๆ ก็บอกว่า เป็นไปไม่ได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว กับการเหยียบดวง
จันทร์เป็นคนแรกกับยานอพอลโล 11 ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นแล้วก็ล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก จนในที่สุดปี พ.ศ.2512หรือ ค.ศ.1969 จึงประสบความสำเร็จ
- เนลสัน แมนเดลา นักโทษทางการเมือง ซึ่งต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ถูกคุมขังอย่าง
ยาวนานถึง 25 ปี เขาต้องอยู่ในคุกด้วยความยากลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งอุดมการณ์ทางการเมืองและความเชื่อทางการเมืองของเขาเลยแม้แต่น้อย คงไม่มีใครคิดว่าเขาคงจะได้ออกจากคุกเพื่อมาเป็นอิสรภาพอีกครั้ง แต่ในที่สุด เขาคือประธานาธิบดีของชาวอาฟริกาใต้ ตอนอายุ 76 ปี
บุคคลดังกล่าวข้างต้นนี้ เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จโดยผ่านความล้มเหลว และความยากลำบากมาด้วยกันทั้งสิ้น เพราะถ้า อัลเบิรต์ ไอนสไตน์ , คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส, โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ , นีล แอลเดน อาร์มสตรอง และ เนลสัน แมนเดลา ยอมรับความพ่ายแพ้ ยอมเลิกล้ม ไม่ต่อสู้ต่อ ไม่ศรัทธาในสิ่งที่ตนเองทำ เขาเหล่านี้ก็ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่ล้มเหลว เป็นคนที่ยากลำบาก เป็นคนที่ต้องต่อสู้กับสิ่งต่างๆมาอย่างมากมาย เขาจึงประสบความสำเร็จ จงอย่ากลัวความล้มเหลว เพราะความล้มเหลวอาจจะนำท่านไปสู่ความสำเร็จและโอกาสใหม่ๆ ที่ท่านอาจคาดไม่ถึง
...
  
การบริหารเวลากับเส้นตาย
การบริหารเวลากับเส้นตาย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎของพาร์คินสัน คิดโดยศาสตราจารย์พาร์คินสัน มีอยู่ทั้งหมดด้วยกัน 10 ข้อ แต่ในที่นี้กระผมขอกล่าวเฉพาะข้อที่ 1 ซึ่งมีหลักการที่สามารถนำมาใช้เกี่ยวกับเรื่องการบริหารเวลาได้เป็นอย่างดี คือ “ งานย่อมยืดออกไปจนกว่าจะครบเวลาที่จะส่งงานหรือเพื่อให้งานเสร็จ”
ดังตัวอย่างที่ศาสตราจารย์พาร์คินสันได้ยกตัวอย่างเอาไว้ดังนี้ “คนที่ยุ่งที่สุดคือคนที่มีเวลาเหลือ” ดังนั้น หญิงชราที่มีเวลาว่างอาจจะใช้เวลาทั้งวันในการเขียนจดหมายถึงหลานสาว เธออาจจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงค้นหาไปรษณียบัตร หนึ่งชั่วโมงค้นหาแว่นตา ครึ่งชั่วโมงค้นหาที่อยู่ อีกหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาทีเป็นเวลาเขียนข้อความ และใช้เวลาอีกยี่สิบนาทีตกลงใจว่าเมื่อออกจากบ้านไปทิ้งจดหมายที่ตู้ไปรษณีย์ที่ถนนถัดไป จะนำร่มไปด้วยหรือไม่ ในความพยายามทั้งหมดนี้ ถ้าเป็นคนที่มีภาระมากเขาอาจจะใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น
คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีงานที่จะต้องทำส่งกำหนดภายในอีก 5 เดือน เรามักจะไม่ค่อยอยากที่จะทำโดยทันที แต่เราจะเอาไว้ทำตอนใกล้จะครบกำหนดการส่งมอบงาน ดังนั้น ศาสตราจารย์พาร์คินสันจึงได้ออกกฏออกมาว่า ถ้ากำหนดให้งานเสร็จหรือมอบงานให้น้อยลง คุณย่อมที่จะทำมันให้เสร็จเร็วขึ้น
จากกฎของพาร์คินสัน หากว่าพวกเราพิจารณาก็คงเห็นว่าเป็นความจริงมากเลยทีเดียว ดังนั้นหากว่าคุณได้รับมอบหมายให้ส่งงานภายในกำหนด 5 เดือน คุณก็ควรเขียนเส้นตายให้กับตัวคุณเองว่า เราต้องทำให้เสร็จภายใน 4 เดือน หากคุณกำหนดเส้นตายให้กับตัวเอง คุณก็จะมีแรงกดดันเพื่อที่จะให้งานนั้นเสร็จได้เร็วยิ่งขึ้น
การกำหนดเส้นตายจะช่วยให้คุณเกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีและรวดเร็วขึ้น ตรงกันข้ามหากคุณไม่มีการกำหนดเส้นตายเลย คุณก็จะปล่อยให้งานนั้นบานปลายทำงานไม่เสร็จสิ้น อีกทั้งเมื่อถึงเวลาที่จะส่งมอบงาน คุณจะต้องทำงานจนหามรุ่งหามค่ำแทบจะไม่ได้หลับนอน ฉะนั้นการกำหนดเส้นตายจึงเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานที่ดีวิธีหนึ่ง
ดังนั้น หากว่าคุณต้องการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ คุณจำเป็นต้องกำหนดเส้นตาย อีกทั้งจงเคารพและมีวินัยในเส้นตายที่คุณกำหนด เพราะถ้าหากว่าคุณยืดหยุ่นเส้นตายออกไปเรื่อยๆ การบริหารเวลาของคุณก็จะไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

...
  
กลยุทธ์การแข่งขันทางการตลาด
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยาย " กลยุทธ์การแข่งขันทางการตลาด " ...
  
การพูดเพื่อนำเสนอ
เทคนิคการพูดเพื่อนำเสนอ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดเพื่อนำเสนอ เป็นการพูดที่มีความสำคัญมากในปัจจุบัน เราทุกคนต่างก็เป็นนักนำเสนอ เพียงแต่ใครจะเป็นผู้นำเสนอได้ดีและมีประสิทธิภาพกว่ากัน เช่น เด็กๆ ต้องพูดนำเสนอเพื่อขอเงินผู้ปกครองไปซื้อสิ่งของที่ตนเองต้องการ , นักขายพูดนำเสนอขายสินค้าแก่ลูกค้า , ผู้ให้บริการต้องพูดนำเสนอการให้บริการที่ประทับใจแก่ผู้รับบริการ , นักการเมืองต้องพูดเพื่อนำเสนอนโยบายแก่ประชาชนเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกตนเข้าไปบริหารประเทศ , ผู้เผยแพร่ศาสนาต้องพูดนำเสนอเพื่อให้ผู้ฟังเชื่อถือ ศรัทธาและนำไปปฏิบัติ ฯลฯ
ในบทความนี้ใคร่ขอแนะนำเทคนิคบางประการที่จะทำให้การพูดเพื่อนำเสนอให้เป็นที่สนใจและดึงดูดใจผู้ฟัง ดังนี้
1.ต้องวิเคราะห์ผู้ฟัง การพูดนำเสนอที่ดีและประสบความสำเร็จ สิ่งที่ผู้พูดควรคำนึงถึงอันดับแรก คือ ต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง ต้องรู้ว่าผู้ฟังคือใคร มีเพศใด มีอายุเท่าไร สถานภาพของผู้ฟังเป็นอย่างไร ทำงานอาชีพอะไร ความรู้การศึกษาของผู้ฟังอยู่ระดับไหน ผู้ฟังนับถือ ศาสนา มีวัฒนธรรม มีประเพณีอะไร แล้วผู้ฟังมีความต้องการอะไร รักชอบอะไร การวิเคราะห์ผู้ฟังและการพูดในสิ่งที่ผู้ฟังมีความต้องการจะทำให้ผู้พูด สามารถพูดนำเสนอเพื่อเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ฟังได้ ทั้งนี้การวิเคราะห์ผู้ฟังยังรวมไปถึง เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้ฟังในขณะฟังผู้พูดพูดอีกด้วย
2.ต้องเตรียมเนื้อหาที่จะพูด ควรมีองค์ประกอบตามโครงสร้าง คือ คำขึ้นต้น เนื้อเรื่อง และสรุปจบ อีกทั้งต้องทำให้ทั้ง 3 ส่วน มีความสอดคล้อง กลมกลืนไปในทิศทางหรือเนื้อหาเดียวกัน ดังตัวอย่าง
2.1.การขึ้นต้นการพูดที่ดีเราต้องรู้จักสร้างความสนใจ สร้างความตื่นเต้น สร้างความอยากที่จะฟัง แก่ผู้ฟัง ซึ่งการขึ้นต้นมีเทคนิคหลายอย่าง เช่น
- การขึ้นต้นโดยตั้งคำถาม (ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังอยากมีเงินล้านภายใน 1 ปี หรือเปล่าครับ การขึ้นต้นประโยคดังกล่าว จะทำให้ผู้ฟังอยากที่จะฟังเรื่องราวของผู้พูด ว่าทำอย่างไรถึงจะมีเงินล้านภายใน 1 ปี ได้ )
- การขึ้นต้นด้วยการสร้างความสงสัย ( ท่านเชื่อไหมว่าเราสามารถอายุยืนนานถึง 110 ปี)
- การขึ้นต้นด้วยการพาดหัวข่าว( แม่แจ้งจับพระใช้ไฮไฟว์ลวง ม.3 เข้ากุฏิ)
- การขึ้นต้นด้วยการอ้างอิง ( มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า สมุนไพรไทยรักษาโรคได้เกือบทุกชนิด)
สำหรับการขึ้นต้นมีความสำคัญมากสำหรับการพูดนำเสนอ หากเราขึ้นต้นได้ดี ก็จะทำให้ผู้ฟังอยากติดตามเรื่องราวที่จะนำเสนอในส่วนของเนื้อเรื่อง แต่ถ้าหากขึ้นต้นไม่มี ไม่ดึงดูดใจผู้ฟัง ก็จะทำให้ผู้ฟังไม่อยากฟังเรื่องราวในส่วนของเนื้อหาต่อไป
2.2.เนื้อเรื่อง เป็นส่วนของเนื้อหาที่ต้องสอดคล้องกับคำขึ้นต้น เป็นส่วนที่มีเนื้อหามากกว่า ส่วนขึ้นต้นและสรุปจบ อาจพูดได้ว่ามีสัดส่วนดังนี้( คำขึ้นต้น 5-10 เปอร์เซ็นต์ เนื้อเรื่อง 80-90 เปอร์เซ็นต์และสรุปจบ 5-10 เปอร์เซ็นต์) เช่น
- เรียงตามลำดับ เวลา สถานที่ เช่น เรียงลำดับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต , เรียงจากจังหวัดเหนือสุดไปใต้สุด ฯลฯ
- ใช้ตัวอย่างประกอบ ตัวอย่างจะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เพราะเรื่องราวบางอย่างอาจจะเป็นนามธรรม แต่การยกตัวอย่างจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้มากขึ้น
- เน้นจุดมุ่งหมายเดียว การพูดในส่วนเนื้อหาที่ดี ควรให้อยู่ในจุดมุ่งหมายหรือประเด็นเดียว ไม่ควรพูดหลายประเด็น จนผู้ฟังฟังแล้วเกิดความสับสนว่าผู้พูดต้องการนำเสนออะไรกันแน่
2.3.สรุปจบ เป็นส่วนสุดท้าย ท้ายสุด การสรุปจบที่ดี ควรทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ ตรึงใจ เช่น
- ฝากแง่คิด เป็นการพูดเพื่อฝากให้ผู้ฟังนำไปคิดต่อไป
- เรียกร้อง เชิญชวน เป็นการสรุปจบแบบ ขอร้อง เชิญชวน ให้ผู้ฟังกระทำสิ่งที่ผู้พูดต้องการ เช่น เชิญชวนให้เลิกบุหรี่ สุรา ยาเสพติด เชิญชวนให้ผู้ฟังได้ออกกำลังกาย
3.หาประสบการณ์ เทคนิคข้อนี้มีความสำคัญเป็นอันมาก คนที่มักไม่มีความมั่นใจในการนำเสนอของตน ก็เนื่องจากขาดประสบการณ์ การหาประสบการณ์ในการพูดนำเสนอจะทำให้ ผู้พูดนำเสนอเกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น อีกทั้งจะทำให้รู้ว่าตนเองควร ปรับปรุง แก้ไข พัฒนาตนเองอย่างไรบ้าง
4.อย่าออกตัว การพูดนำเสนอที่ดี ผู้พูดไม่ควรออกตัว การออกตัวหรือกล่าวคำขอโทษผู้ฟัง จะทำให้ผู้ฟังเกิดความไม่มั่นใจ และทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ความเชื่อถือ ในตัวผู้พูด เช่น พูดว่าเรื่องที่จะนำเสนอนี้กระผมไม่ค่อยมีความรู้สักเท่าไร , การนำเสนอในครั้งนี้กระผมไม่ค่อยได้เตรียมตัวมาต้องขอโทษผู้ฟังด้วย ถ้าหากกระผมพูดอะไรผิดพลาด ฯลฯ
ดังนั้น การพูดเพื่อนำเสนอ จึงมีความสำคัญ สำหรับผู้ที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ ความก้าวหน้าในการทำงาน อีกทั้งยังทำให้ท่านเกิดความได้เปรียบกว่าคนที่ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ฝึกฝน ในการพูดนำเสนอ
...
  
ทำทันที(ททท.)
ททท.หรือทำทันที
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
หลายๆ คนมีความคิดดีๆ มีคำพูดดีๆ แต่ก็ไม่ยอมลงมือทำเสียที ปล่อยให้ความคิดและคำพูด หายไปกับอากาศและสายลม แล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ พวกเขามักเป็นคนที่ คิด พูดแล้ว ลงมือทำ ถึงแม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่แปลกๆ ก็ตาม
สำหรับการที่คนเราไม่ยอมลงมือทำทันที(ททท.)อาจมีหลายสาเหตุ เช่น กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์, กลัวคนไม่ชอบ ,กลัวถูกตำหนิ อาย ความไม่มั่นใจ กลัวความล้มเหลว เป็นต้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการไม่ ททท.หรือทำทันที
1. ไม่กล้ายกมือถามเป็นคนแรก กระผมมีอาชีพเป็นวิทยากรอิสระ เมื่อบรรยายเสร็จแล้ว มักจะเหลือเวลาสัก 5-10 นาที เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้สักถาม แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครกล้าถาม ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จจงกล้าที่จะถามหรือแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรกให้ได้ ทั้งนี้ ความคิดเห็นเป็นเรื่องที่ไม่มีถูกผิด เป็นความคิดเห็นส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเป็นความคิดเห็นที่ยอดเยี่ยมก็ได้ หากท่านกล้ายกมือถามเป็นคนแรก ประโยชน์ก็จะตกกับท่านอีกมากมาย เช่น เป็นการสร้างท่านให้มีภาวะผู้นำเพิ่มมากขึ้น , ทุกคนในที่อบรมรู้จักท่านและอยากรู้จักท่านมากยิ่งขึ้น , เป็นการสร้างความมั่นใจในตนเอง ฯลฯ
2. ไม่กล้านั่งแถวหน้าสุด ในการฝึกอบรมแต่ละครั้ง กระผมเป็นวิทยากร กระผมมักสังเกตเห็นว่า คนมาก่อนมักนั่งหลัง คนมาหลังมักนั่งหน้า หากท่านอยากเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ จง ทำทันที(ททท.) นั่งด้านหน้าสุดครับ จากการอ่านหนังสือเรื่อง “ คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก ” กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า หากท่านต้องการเป็นผู้นำและเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง ขอให้ท่านฝึกนั่งด้านหน้าสุดเสมอ
3. ไม่กล้าทำอะไรเนื่องจากแคร์สายตาหรือคนรอบข้าง หลายคนไม่กล้าลงมือทำอะไร หรือ ไม่กล้าทำสิ่งใดบางสิ่ง ก็เนื่องจากแคร์สายตาคนรอบข้าง ซึ่งการแคร์สายตาคนรอบข้าง ทำให้เราเสียโอกาสสำคัญๆ ไปอย่างน่าเสียดาย บางคนมีความฝัน เล่าให้เพื่อนๆ ฟัง หรือ คนรอบข้างฟัง แล้วเขาก็หัวเราะเยาะ จนในที่สุด เขาก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ความสำเร็จจึงไม่เกิดขึ้น จงกล้าที่จะทำแล้วท่านจะพบกับความสำเร็จ จงอย่าแคร์สายตาหรือคนรอบข้างมากจนเกินไป
4.ไม่มีจังหวะในการลงมือทำ หลายๆ คน ต้องรอดูจังหวะ รอดูดวง การรอจังหวะมากจนเกินไป ทำให้เกิดผลเสียคือ เขาจะไม่ยอมลงมือทำหรือลงมือปฏิบัติ หากต้องรอให้พร้อม 100 % ก็คงไม่ต้องทำอะไร ดังคำกล่าวของอดีตนายก ทักษิณ ชินวัตร ในงานพิธีเปิดโครงการปฐมนิเทศและพัฒนาผู้รับผิดชอบการบริหาร “ไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในข้ามคืนหรอก... ผมเป็นคนที่มีความคิดแล้วลงมือทำ ถ้ามองเห็นว่าไปได้เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ลุยเลย อีก 40 เปอร์เซ็นต์ไปแก้เอาข้างหน้า แต่ถ้า...รอให้ครบ 100 แล้วค่อยทำแล้ว ชาตินี้ไม่มีคำว่าร้อย ต้องรอตายอีกสิบชาติก็ยังไม่มีร้อย เพราะไม่อะไรสมบูรณ์”
5.ไม่ต้องการท้าทายแต่ต้องการความมั่นใจ หลายคนไม่กล้าลงมือทำทันที(ททท.) เนื่องจากกลัวเรื่องของความ
มั่นคง หลายคนไม่มีความสุขในการทำงานหรืออยู่ภายในองค์กรนั้นๆ แต่ก็ไม่กล้าลาออกเพื่อไปเริ่มงานใหม่ก็เนื่องจากกลัวความมั่นคง ปลอดภัย ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็เคยเป็นมาก่อน จนสุดท้ายต้องตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วผู้เขียนจึงได้พบเจอกับคำว่า “อิสระ การไม่ยึดติดกับสภาพปัจจุบันปล่อยให้ไหลไปตามธรรมชาติแล้วว่ายตามมันไป ”
โดยสรุป คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในหน้าที่การงาน ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ไม่ยอมลงมือทำทันที(ททท.) ความลังเลสงสัย ความไม่กล้า ความอาย เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวคุณเองเพื่อที่จะเดินทางไปสู่ความสำเร็จ จง ทำทันที(ททท.)แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.