หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
กฏของพาร์กินสันในการบริหารเวลา
กฏของพาร์กินสันในการบริหารเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ศาสตราจารย์ซีริล นอร์ทโคท พาร์กินสัน หรือ Prof.Cyril Northcote Parkinson เป็นนักประพันธ์ นักประวัติศาสตร์ ทหารเรือ ได้เขียนหนังสือที่โด่งดังขึ้นมาเล่มหนึ่ง คือ กฏของพาร์กินสัน(Parkinson’s) ซึ่งมีกฏทั้งหมด 10 ข้อ แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการบริหารเวลา พาร์กินสันได้กล่าวว่า
Work expands so as to fill the time available for its completion.
(งานจะขยายเวลาออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบกำหนดงานเสร็จ)
ปัจจุบันผมเป็นอาจารย์ประจำอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมมักจะสั่งงานหรือมอบหมายงาน ให้นิสิต นักศึกษา ทำรายงาน โดยให้เวลาทำ 1 เดือน สมมุติกำหนดส่งในวันที่ 15 สิงหาคม 2550 จากการสังเกต นิสิต นักศึกษา ปรากฏว่า ไม่มีนิสิต นักศึกษา คนใดสนใจทำตั้งแต่วันแรก แต่ส่วนใหญ่มักจะรีบทำหรือเริ่มทำ รายงาน ตอนใกล้จะถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2550 หลายคนมาบ่นกับผมว่า เรียนหนัก รายงานวิชาอื่นๆ ก็มีมาก ซึ่งผมก็เห็นใจ จึงเลื่อนการส่งรายงานวิชาของกระผมออกไปอีก 1 เดือน คือให้ส่งในวันที่ 15 กันยายน 2550 ผลที่ได้รับ แทนที่ นิสิต นักศึกษา จะรีบทำรายงานในวิชาของกระผม กลับกลายไปทำรายงานวิชาอื่นๆ ก่อนหรือทำงานอื่นๆ บางคนแทนที่จะใช้เวลาในการอ่านหนังสือ ทำรายงาน กลับใช้เวลาไปเที่ยวเตร่เฮฮา กินเหล้า ดูหนัง เดินห้าง แบบสำราญใจ จนใกล้ถึงวันที่ 15 กันยายน 2550 นิสิต นักศึกษา ก็เริ่มเร่งทำรายงานวิชาของกระผม โดยทำแบบลวกๆ ทำแบบไม่ให้ความสำคัญ
นับตั้งแต่นั้น ผมจึงได้เรียนรู้ว่า ผมจะไม่ขยายเวลาในการส่งรายงานของนิสิต นักศึกษาออกไป เพราะถ้าผมขยายเวลาออกไป นิสิต นักศึกษา ก็จะไม่รีบร้อนทำรายงานของกระผม
ในการทำงานหรือการทำกิจกรรมของคนเราส่วนใหญ่ เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำงานชิ้นหนึ่ง โดยมีกำหนดส่งงานอีก 3 เดือนข้างหน้า แทนที่พวกเราส่วนใหญ่จะรีบทำงานให้เสร็จภายในเวลา 2 เดือน แต่คนส่วนใหญ่ มักจะทำงานอื่นๆก่อน ด้วยความใจเย็น แต่จะรีบทำงานงานชิ้นนี้ในวันสุดท้ายเสมอ
ฉะนั้น หากว่าเราได้รับมอบหมายงานให้ส่งรายงานหรือส่งงาน ภายใน 5 วัน เราควรกำหนดเวลาส่งงานของเราให้เร็วขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นตัวเองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการทำงานเสร็จก่อนกำหนด จะทำให้เราสามารถตรวจสอบ ตรวจทาน ความถูกต้องงานของเราได้อีกด้วย
ตรงกันข้ามหากว่าเราไม่มีการกำหนดเวลาส่งให้เร็วขึ้น เราก็จะปล่อยปะละเลย ทำงานแบบสบายๆ ไม่มีแรงกดดัน เมื่อครบกำหนดส่งงาน เราจะทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว
ดังนั้น จงกำหนดเวลาทำงานใหม่ ก่อนที่จะครบกำหนดการส่งงานจริงๆ สัก 1-2 วัน แล้วมีวินัยในการทำงานตามที่เรากำหนด เพราะถ้าไม่มีวินัย เราก็จะยืดหยุ่น หาเรื่องแก้ตัว และในที่สุด การบริหารเวลาของคุณก็จะไม่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้


...
  
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ท่านผู้อ่านทุกๆท่านครับ หากว่าท่านต้องการรวย หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ ไม่ว่าด้านใดๆ ท่านจำเป็นจะต้อง ยอมเสียบางสิ่งบางอย่าง หรือท่านจำเป็นจะต้องย่อมที่จะเสียหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อแลกกับสิ่งนั้น ไม่ว่าท่านจะต้องยอมเสียเวลา เสียเงินทอง เสียความรู้สึก เสียโอกาส เพราะอะไรครับ ก็เพราะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี
ฉะนั้น หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จในระดับที่สูงใน สายงานอาชีพของท่าน ท่านก็มีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเทเวลา ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ กับสิ่งๆนั้น เช่น
- ถ้าท่านต้องการเป็นนักกีฬาชกมวยมืออาชีพ ท่านจำเป็นจะต้องซ้อมอย่างหนัก ท่านต้องขยันพัฒนาทักษะต่างๆ ทุ่มเทเวลา หลายๆชั่วโมงต่อวัน อีกทั้ง ท่านต้องสร้างสมประสบการณ์ในการชกมวยบนเวทีอยู่เป็นประจำ ท่านต้องยอมที่จะต้องถูกชก ท่านจะต้องยอมที่จะต้องเจ็บตัว เจ็บปวด เพื่อแลกกับชัยชนะ
- ถ้าท่านต้องการเป็นนักเขียน ท่านคงต้องทุ่มเทเวลาในการอ่าน และการลงมือเขียนอยู่เป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งควรหาเทคนิคใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงงานเขียนของท่าน ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ท่านจะต้องเสียอะไรบางอย่างหรือหลายๆอย่าง เช่น เสียเงินซื้อหนังสือ เสียเวลาในการอ่าน การเขียน เสียใจต่อการถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ เป็นต้น
- ถ้าท่านต้องการเป็น นักการเมือง ท่านจำเป็นจะต้องลงพื้นที่ ท่านจำเป็นจะต้องเสียเงินเสียทองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ท่านจำเป็นจะต้องเสียเวลาในการอยู่กับครอบครัว ท่านจำเป็นจะต้องอดทนเมื่อถูกคู่แข่งทางการเมือง สาดโคลน(ให้ร้ายต่างๆ)เป็นต้น
- ถ้าท่านต้องการเป็นนักธุรกิจ ท่านต้องกล้าเสี่ยงที่จะนำเงินของท่านไปลงทุน เพื่อให้ได้กำไรเป็นการตอบแทน ซึ่งท่านต้องเสี่ยงกับการขาดทุน อีกทั้งท่านจะต้องทำงานหนักโดยเฉพาะช่วงเปิดกิจการใหม่ๆ
- นักเรียน นักศึกษาก็เช่นกัน หากว่าต้องการสอบให้ได้คะแนนที่ดีๆ นักเรียน นักศึกษา ก็ควรที่จะต้องขยัน อ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด ใคร่ครวญ หากว่าไม่เข้าใจก็ควรสอบถามผู้รู้
ระบบการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นมักสอนให้คนมีวินัยมาตั้งแต่ สมัยเป็นเด็กนักเรียน โดยรัฐบาลญี่ปุ่นพยายามสร้างความทะเยอทะยานให้แก่เด็กนักเรียน โดยปลูกฝังให้เด็กทำการบ้าน ทุ่มเทการเรียนอย่างหนัก จนทำให้ชาวญี่ปุ่นเมื่อโตขึ้น จึงเป็นคนที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย ขยันทำงานอย่างหนัก จนรัฐบาลของญี่ปุ่นบางสมัยถึงขนาด ออกกฎหมายให้มีวันหยุดมากขึ้น เพื่อให้คนญี่ปุ่นในวัยทำงานได้มีโอกาสพักผ่อน ไม่เครียดมากนัก เพราะชาวญี่ปุ่นในวัยทำงาน บางคนเครียดถึงขนาดหลังเลิกงานไปเที่ยว ไปกินเหล้า อยู่เป็นประจำ
แต่สำหรับโดยส่วนตัวของกระผมแล้ว กระผมคิดว่า การทำงานหนักและทุ่มเทให้กับงานเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ควรที่จะมากจนเกินไป จนขาดความสมดุล เพราะ หากว่าเราทำงานหนัก โดยขาดการพักผ่อน ขาดการออกกำลังกาย แต่เกิดความเครียด ความกดดันมากๆในชีวิตแล้ว ถามว่าเราจะหาเงินไปทำไม หาไปเพื่อรักษาตัวเองหรือ และ การทำงานอย่างหนัก โดยไม่พักผ่อนบ้าง จะส่งผลร้าย กล่าวคือ ทำให้เราตายไวกว่าอายุไขที่แท้จริงด้วย การขาดความสมดุล จึงเป็นสิ่งที่ควรคิด ควรพิจารณา ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่า “ ทางสายกลาง” จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิตและการแก้ไขปัญหาต่างๆ
ดังนั้น พอสรุปได้ว่า หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ท่านต้องการมีชื่อเสียง เงินทอง ท่านมีความจำเป็นจะต้องลงทุนนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการ ลงทุนเวลา แรงกาย แรงใจ กล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะยอมผิดหวัง อีกทั้งท่านต้องพยายามรักษาความสมดุลของชีวิตของท่านในด้านต่างๆอีกด้วย


...
  
ปัจจัยในการบริหาร
ปัจจัยสำคัญสำหรับการบริหาร
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การบริหารนั้น จะต้องยุ่งกับการจัดการ 4 เรื่องด้วยกัน คือ เรื่องของคน เรื่องของเงิน เรื่องของวัสดุสิ่งของและเรื่องของเครื่องจักรอุปกรณ์


ในบรรดา 4 เรื่องนี้ ถ้าใครเป็นนักบริหารก็คงจะทราบอยู่แก่ใจว่า การบริหารที่ยากที่สุดก็คือการบริหารคนหรือบุคลากรนั่นเอง


เพราะคน มีจิตใจ มีความอารมณ์ มีความรู้สึก มีชีวิต จิตใจ ไม่เหมือนกับ เงิน วัสดุสิ่งของหรือเครื่องจักรอุปกรณ์


ถ้าเราหยิบเงินออกไปใช้จ่ายซื้อข้าวซื้อของ เงินมันไม่เคยตั้งคำถามหรือบ่น เราใช้เครื่องจักรอุปกรณ์และวัสดุสิ่งของ ก็เหมือนกันมันไม่เคยบ่น หรือถ้าเราว่าใช้มันทำไม


แต่ถ้าเราใช้คนหรือลูกน้องสักคนให้ไปทำอะไร บางทีอาจถูกถามกลับว่า ทำไมถึงใช้ผม ทำไมไม่ใช้คนอื่น


การบริหารก็เช่นกัน บริหารคนหรือบุคลากรนั้นยาก ยิ่งถ้าใครที่จบจากต่างประเทศมา อาจร้อนวิชาที่ได้เรียนมาจาก ต่างประเทศ แล้วนำมาบริหารกับคนไทยอาจไม่ได้ผล เพราะ มันแตกต่างกัน เรื่องบางอย่าง อาจใช้กับคนไทยเราไม่ได้เหมือนกัน เล่นกับคนไทยก็ต้องใช้การบริหารแบบไทยๆ ให้เข้ากับนิสัยใจ วัฒนธรรมแบบคนไทยเรา


เช่น เราคงเคยได้ยินคำว่า “ อเมริกันแชร์ ” วัฒนธรรมแบบนี้ฝรั่งอาจจะคุ้นเคยและพอใจแต่ถ้านำมาใช้กับคนไทยดูอาจไม่ถูกใจคนไทยเรามากนัก เพราะคนไทยเราเคยชินกับคำว่า “ เจ้าภาพจงเจริญ ” มากกว่า จนแต่งเป็นเพลงและร้องกันอย่างสนุกสนาน


ผู้บริหารหรือหัวหน้าฝรั่ง นั่งกินกาแฟกันสองคน เมื่อกินเสร็จลุกขึ้นต่างคนต่างจ่าย ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นผู้บริหารหรือหัวหน้าคนไทย กินกาแฟกันสองคน เมื่อกินเสร็จลุกขึ้นต่างคนต่างจ่าย รับรองได้ว่าหัวหน้าหรือผู้บริหารคนนั้น ถูกลูกน้องนำไปนินทาลับหลังว่า ขี้เหนียว ใจไม่กว้าง เพราะวัฒนธรรมนั่งเองที่แตกต่างกัน


ดังนั้น การเล่าเรียนมาจากต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับทฤษฏีการบริหารต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องนำมาปรับใช้กับสังคมไทยเรา รวมถึงการศึกษานิสัยใจคอของคนไทย จึงจะชนะใจลูกน้องซึ่งเป็นคนไทยได้


การตำหนิ อบรม ลูกน้องซึ่งเป็นคนไทย ผู้บริหารแบบไทยที่ดีนั้น ควรตำหนิลูกน้อง โดยเรียกคนที่จะถูกตำหนิมาพบแล้วจึงอบรม ตำหนิกันสองต่อสองในห้องทำงานของผู้จัดการหรือผู้บริหาร เพราะคนไทยเราไม่ชอบเสียหน้า ไม่ชอบถูกตำหนิ ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน


เวลาตำหนิลูกน้องก็ไม่ควรใส่ท่าทางหรืออารมณ์ความไม่พอใจผสมเข้าไปด้วย จะทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าเจ้านายหรือผู้บริหาร เพิ่มดีกรีของความไม่พอใจขึ้นไปอีก


สำหรับการชื่นชม ลูกน้องแบบไทยมัก อยากเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน เราก็ควรชื่นชมลูกน้องต่อหน้าที่ประชุมหรือสาธารณชน จึงจะชนะใจของลูกน้องซึ่งเป็นคนไทยได้


ท้ายนี้ขอฝากมงคลชีวิตของพระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล) วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบทประพันธ์ที่ให้แง่คิดได้มากเลยทีเดียว สำหรับผู้บริหาร


ถ้าท่านอยากมีอำนาจ ก็อย่าขาดความยุติธรรม


ถ้าท่านเห็นแก่ได้ ก็อย่าหวังน้ำใจจากผู้อื่น

...
  
อุปสรรค คือ สีสันของชีวิต
อุปสรรค คือ สีสันของชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ว่าวที่จะขึ้นไปสู่ที่สูงได้ ย่อมมีแรงลมกระแทกเป็นธรรมดา
ทุกอุปสรรคทุกความล้มเหลว ย่อมพาเราไปสู่ความสำเร็จ
เป็นคำพูดที่มีส่วนจริงอยู่ไม่ใช่น้อย โทมัส เอ.เอดิสัน เขาไม่ได้เรียนจบจากสถาบันการศึกษา หลายๆคนบอกว่าเป็นอุปสรรค แต่สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่ เอดิสัน เขาต้องทนทรมานจากการหูหนวกของตัวเขาเอง หลายๆคนคิดว่ามันคืออุปสรรค แต่สำหรับเขาแล้ว มันไม่ใช่ มีอยู่วันหนึ่ง มีนักข่าวคนหนึ่งไปถามเขาว่า การที่เขาหูหนวก มันเป็นอุปสรรคต่อการทำงานไหม
เขากลับตอบกลับ จนนักข่าวต้องตลึงว่า “ การที่เขาหูหนวกเป็นสิ่งที่ดี ต่อการทำงานของเขา เพราะเขาจะได้ไม่ต้องมานั่งฟัง คำพูดที่ไร้สาระของบุคคลต่างๆ ซึ่งบางคนยังไม่รู้เลยว่าตนเองต้องการอะไรในชีวิต แต่การที่เขาหูหนวก ทำให้เขาได้ยินเสียงจากภายในใจของเขาเอง ” และผมเชื่อว่า ถ้าหลายๆคนได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว น่าจะคิดแบบเดียวกันกับผมว่า เอดิสัน สุดยอดจริงๆครับ เพราะการที่คนส่วนใหญ่หูหนวก มักคิดว่าเป็นอุปสรรค แต่เขามีมุมมองที่กลับกัน
เอดิสัน จึงเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความสำคัญของโลกและเป็นบุคคลที่คนทั่วโลกยกย่อง เขาประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในเรื่องการเป็นนักประดิษฐ์ และในเรื่องของวิทยาศาสตร์
สำหรับการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า เขาพบกับความล้มเหลวและอุปสรรค เป็นพันครั้ง มีนักข่าวไปสัมภาษณ์เขาว่า คิดอย่างไรกับความล้มเหลวหรืออุปสรรคที่พบเป็นพันๆครั้ง บ้าง เขากลับตอบนักข่าวว่า ความจริงมันไม่ใช่อุปสรรคหรือความล้มเหลว แต่มันคือวิธีการใหม่ๆที่จะนำไปสู่ความสำเร็จต่างหาก
สุดยอดนะครับ เพราะคนส่วนใหญ่ เมื่อได้พบกับอุปสรรค เจอปัญหา หรือพบกับความพ่ายแพ้ เพียงแค่ครั้งเดียว หลายๆคนถอดใจ หนี นักขายจำนวนมาก เมื่อถูกลูกค้าปฏิเสธ การซื้อ เขาถึงกับถอดใจไม่ทำแล้ว ไม่ขายอีกแล้ว มีน้อยคนนักที่จะพยายามทำต่อไป แต่ เอดิสัน เขาพบกับความล้มเหลว อุปสรรค ถึง พันครั้ง แต่เขาก็สู้ต่อไป จนประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้ในที่สุด
ท่านผู้อ่านครับ หากว่าเรานำเรื่องราวของเอดิสัน มาคิด เราจะเห็นว่า หลายๆครั้งที่เรามักจะฟังคนอื่นๆ มากกว่าฟังตนเอง แต่สำหรับเอดิสันแล้ว การที่เขาหูหนวก นั้นเป็นข้อดี เขาจึงสามารถฟังเสียงของตนเองได้ชัดเจนขึ้น กล่าวคือ เขาไม่ต้องมานั่งฟังคนส่วนใหญ่พูดให้เขาเสียกำลังใจ เช่น คุณทำหลอดไฟฟ้าไม่ได้หรอก เพราะยังไม่มีใครเคยทำ , คุณเลิกได้แล้ว ทำมาเป็นพันๆครั้ง ยังทำไม่ได้อีก เป็นต้น
เคยมีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีการแข่งขันปีนต้นไม้กัน หลายคนกำลังปีนแข่งกัน แต่ต้นไม้สูงมาก ทำให้คนดูเชื่อว่า ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ คนดูหลายๆคนจึงร้องบอกคนปีนว่า ลงมาเถอะ ไม่ไหวหรอก ด้วยความเป็นห่วยเป็นใยคนปีน จึงทำให้คนที่เข้าแข่งขันหลายๆคน ทยอยปีนลงมาจากต้นไม้สูง แต่มีนักปีนคนหนึ่ง ปีนได้ดีมาก ปีนสูงขึ้น ปีนสูงขึ้น จนสามารถปีนขึ้นไปสู่จุดที่สูงสุดได้ ปรากฏว่าทุกคนต่างก็ชื่นชม นักปีนต้นไม้ ผู้นี้ หลังจากนั้นจึงมีการให้สัมภาษณ์ โดยนักข่าวถามว่า “ ทำไมคุณถึงปีนได้โดยไม่พักเลย” นักปีนที่ได้รับชัยชนะกล่าวตอบว่า “ ก็ผมได้กำลังใจจากผู้ชมที่อยู่ด้านล่างนะซิ ที่ช่วยกันเชียร์” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะว่าคนที่ได้รับชัยชนะ คนดังกล่าว เขาเป็นคนหูหนวก เลยนึกว่าคนด้านล่างเชียร์ แต่ที่ไหนได้ คนชมด้านล่างกลับร้องตะโกนให้ลงจากต้นไม้
ฉะนั้น มนุษย์เป็นจำนวนมากมักเป็นเช่นนี้ กล่าวคือ มักเอาความคิดเห็นของคนทั่วไปมาสร้างปัญหาให้กับตัวเอง จนทำให้ตนเองแทนที่จะประสบความสำเร็จ กลับกลายเป็นว่าตนเอง พบกับอุปสรรค พบกับปัญหา ฉะนั้น หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ ดังเช่น โทมัส เอ.เอดินสัน ท่านจงฟังเสียงของตนเอง มากกว่าฟังเสียงของผู้อื่น เพราะสิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดโชคชะตาในตัวของท่าน
...
  
น้ำมันลอยติดลมบน
น้ำมัน ...ลอยติดลมบน ประชาชน...ถูกเหยียบติดดิน
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ม.นเรศวร พะเยา

ลง หนังสือกรุงเทพธุรกิจ ฉบับที่ 6 ธันวาคม 2550 ต่างจังหวัดวันที่ 7 ธันวาคม 2550

6 ธันวาคม พ.ศ. 2550 07:00:00


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ถ้าพูดถึงเรื่องราคาน้ำมันในบ้านเรามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเดือดร้อน และราคาน้ำมันทำท่าว่าจะไม่ลดลงง่ายๆ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว ซึ่งช่วงฤดูหนาวของทุกปีจะมีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นกว่าปกติ

อีกทั้งเกิดปัจจัยความตึงเครียดระหว่างตุรกีและอิรัก และปัญหาอื่นๆ เพิ่มความรุนแรง ส่งผลให้กองทุนเก็งกำไร หรือที่เรียกว่า "เฮดจ์ฟันด์" เข้ามาทำกำไร อาจทำให้น้ำมันมีการขาดแคลนในอนาคต

สำหรับราคาน้ำมันในบ้านเราขณะนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขยับเข้าใกล้ 30 บาท/ลิตร ทุกขณะ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 32.89 บาท/ลิตร หรือเกือบ 33 บาท/ลิตร

เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นในปัจจุบันก่อให้เกิดผลกระทบกับราคาสินค้าต่างๆ รวมไปถึงพลังงานอื่นๆ ด้วย เช่น ราคาก๊าซแอลพีจีที่ติดตั้งในรถแท็กซี่-รถยนต์ส่วนตัวและใช้ในครัวเรือน รัฐบาลมีนโยบายลอยตัวเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งสาเหตุก็คงเกิดจากคนเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแอลพีจีกันมากขึ้นในรถยนต์ส่วนตัว จึงทำให้ต้องมีการปรับตัวตามความเป็นจริง

สำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก ที่เห็นได้ชัดคือ ราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ขนส่งมวลชน ไม่ว่าอาหารสด อาหารแห้ง อาหารทะเล ผัก ผลไม้ มีการขึ้นราคาตามมา รถโดยสารประจำทางก็มีการปรับราคาขึ้น สินค้าหลายตัวมีการปรับราคาขึ้น และกระผมเชื่อว่า หลังปีใหม่ เราคงได้เห็นสินค้าอีกหลายตัวทยอยขึ้นราคาตามมา ทำให้คนที่หาเช้ากินค่ำ ทำงานรายวัน เดือดร้อนไปตามๆ กัน

กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขึ้นราคา ก็คือ มาม่าขอขึ้นอีกซองละ 1 บาท และได้รับไฟเขียวให้ขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทำให้ประชาชนที่เป็นแฟนประจำของมาม่า ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันถึงความเดือดร้อนในการขึ้นราคาในครั้งนี้ น้ำมันพืชขอขึ้นอีก 5 บาท จาก 38 บาท/ขวด ขึ้นไปอีกไม่เกิน 43.50 บาท/ขวด โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงในการเปลี่ยนแปลงราคาในครั้งนี้ นมปรับราคา 20% ในช่วงเดือนสิงหาคม เนื่องจากต้นทุนน้ำนมดิบที่มีราคาสูงขึ้น

ด้านตัวเลขเงินเฟ้อในปีหน้าพุ่งขึ้น 4% อย่างไรก็ขอฝากธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงคลังและกระทรวงพาณิชย์ ช่วยดูแลด้วยครับ ไม่ให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงจนเกินไป

สำหรับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้และในปีหน้า ก็ขอฝากกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ช่วยดูแล ควบคุม เรื่องของราคาสินค้า การกักตุนสินค้า การขาดแคลนสินค้า รวมถึงการดูต้นทุนที่แท้จริงของการผลิต เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการขึ้นราคาเอาเปรียบผู้บริโภคมากจนเกินไป เพราะราคาสินค้าขึ้นได้ง่าย แต่โอกาสที่ราคาสินค้าจะถูกลงหรือลดลงมีความเป็นไปได้น้อยมาก

ถึงแม้รัฐบาลหรือครม. ได้ไฟเขียวให้ขึ้นค่าจ้าง 1-7 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2551 แต่เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นมาตอนนี้และหลังปีใหม่ การขึ้นค่าแรงแทบไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย

ด้านหนี้ในครัวเรือน สินเชื่อเพื่อบริโภคส่วนบุคคลก็เติบโตขึ้นอย่างน่าตกใจ เช่น สินเชื่อผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรพลาสติกที่มีการผ่อนชำระ มีการขยายตัวสูง และก่อให้เกิดหนี้คงค้างชำระบัตรเครดิตติดตามมา จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มผู้รายได้น้อย เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายสินเชื่อด้านนี้สูงมาก อีกทั้งหนี้ในครัวเรือนก็มีมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง

ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลช่วยหาวิธีแก้ไข เยียวยา ความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมัน ราคาสินค้า หนี้ในครัวเรือน เพราะถ้าประชาชนเดือดร้อนจากราคาน้ำมันกันมาก ก็จะเกิดเหตุความวุ่นวายได้ในอนาคต ดังจะเห็นได้จากประเทศเพื่อนบ้านของเราคือ ประเทศพม่า ไม่ใช่ราคาน้ำมันหรือ ที่ส่งผลกระทบต่อการครองชีพของประชาชนชาวพม่า จนทนไม่ไหวจึงออกมาประท้วงกันเป็นจำนวนมาก

เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเกิดความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมัน ราคาสินค้า และค่าครองชีพ ก็อาจจะส่งผลกระทบกับปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ปัญหาการปล้น การขโมย ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม ปัญหาการฆ่าตัวตาย ฯลฯ

จากปัญหาดังกล่าวข้างต้นจะเห็นว่า ปัญหาใหญ่ก็คือ การดีดตัวของราคาน้ำมันเป็นต้นเหตุให้ราคาสินค้าเพิ่มราคาสูงขึ้น ดังนั้น รัฐบาล ผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงต้องช่วยกันดูแล และถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ควรที่จะศึกษา วิจัย พลังงานทดแทนใหม่ๆ มาทดแทนน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้น

สำหรับการแก้ปัญหาราคาน้ำมันราคาแพง เราอาจทำได้หลายวิธีเช่น

การหาพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ ก๊าซเอ็นจีวี ก๊าซแอลพีจี พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ พลังงานขยะ ฯลฯ พลังงานเหล่านี้สามารถใช้ทดแทนพลังงานจากน้ำมันได้ แต่ในปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า เราขาดการวิจัย พัฒนา พลังงานเหล่านี้ เพื่อที่จะนำพลังงานเหล่านี้ขึ้นมาใช้ทดแทนพลังงานจากน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแก้ไขปัญหาอีกวิธีก็คือ การประหยัด ประชาชนทุกคนควรช่วยกันประหยัดน้ำมัน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้รถยนต์ส่วนตัว เช่น ถ้าจำเป็นจะต้องเดินทางไปไหนในระยะทางที่ใกล้ๆ ก็ควรเดินไป หรือควรใช้จักรยาน ถ้าไกลไปอีกหน่อยก็ควรใช้จักรยานยนต์ แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินทางระยะทางไกลๆ ก็ควรใช้รถโดยสารประจำทาง

อีกทั้งต้องหัดเป็นคนมีการวางแผนการเดินทาง ซึ่งการวางแผนการเดินทางนี้ จะทำให้เราสามารถประหยัดค่าน้ำมันและเวลาได้มากเลยทีเดียวครับ ถ้าจะไปทำธุระที่บริเวณใกล้เคียงกัน ก็ควรวางแผนไปทำธุระในวันเดียวกัน

ฉะนั้นคนไทยเราทุกคนต้องช่วยกันประหยัด จะเดินทางไปไหนควรต้องมีการวางแผนก่อน รัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศควรส่งเสริม สนับสนุน วิจัย พัฒนา พลังงานทดแทนที่จะนำมาใช้แทนน้ำมัน เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันในอนาคต



...
  
บทบาทหน้าที่ผู้นำที่ดี
บทบาทหน้าที่ผู้นำที่ดี ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ " บทบาทหน้าที่ผู้นำที่ดี " ให้แก่ สารวัตรนิสิต ณ ห้องศาลจำลอง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2556 ...
  
พูด Happy life Happy Work
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ พูดหัวข้อ "Happy life Happy Work " ให้แก่ผู้บริหารและพนักงาน บริษัท ปตท.ในงานสัมมนาพนักงานสายการตลาดพาณิชย์และต่างประเทศ ประจำปี 2556วันที่ 29-30 กันยายน 2556
ณ อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง
...
  
ลีลาการเขียน
ลีลาการเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ลีลาการเขียน มีความสำคัญมาก เพราะ นักเขียนดังๆหลายคน มีลีลาการเขียนที่สนุก เร้าใจ บางคนเขียนจนกระทั่งกระชากหัวใจของผู้ฟังออกมาเลยก็มี(เป็นการเปรียบเทียบครับ ไม่ใช่กระชากออกมาจริงๆ)
สำหรับการฝึกฝนทางด้านลีลาในการเขียนเราสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ดังนี้
1.หัดเป็นคนอ่านหนังสือให้มากๆ การอ่านหนังสือมากจะทำให้เราได้เห็นลีลาการเขียนของนักเขียนท่านอื่นๆ เพื่อนำเอาข้อดีเหล่านั้น มาพัฒนาลีลาการเขียนของเรา
2.หัดเป็นนักสะสม จดจำ เมื่อเห็น คำ ถ้อยคำ ลีลา การเขียนประโยคไหนที่ชื่นชอบ พยายามจดจำ หรือจดไว้ในสมุดบันทึก เพื่อนำเอาไปปรับปรุงใช้ในงานเขียนของตนเอง
3.หัดคิดก่อนลงมือเขียน การคิดนี้จะเป็นการวางโครงสร้างเรื่อง ว่าเราจะขึ้นต้นอย่างไร เนื้อเรื่องอย่างไร สรุปจบอย่างไร
4.หัดค้นหาตัวตนให้พบ นักเขียนหลายคน เขียนบทความได้ดี มีคนชื่นชม ยกย่อง แต่เมื่อเห็นนักเขียนท่านอื่น เขียนนวนิยายแล้วดังและร่ำรวย ก็อยากที่จะเขียนนวนิยายบ้าง แต่เมื่อลงมือเขียนจริงๆ กลับเขียนไม่ได้เรื่อง ฉะนั้น จงค้นหาตัวตนของตนเองให้เจอว่าตนเอง ชอบเขียนงานในลักษณะไหนแล้วพัฒนางานเขียนของตนเองจะออกมาดีกว่าไปมุ่งฝึกฝนงานเขียนที่ตนเองไม่ชอบ ไม่ถนัด
5.หัดพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ งานเขียนเป็นเรื่องของทักษะ หากว่าใครได้มีโอกาสเขียนมาก ก็จะยิ่งทำให้คนพบลีลาการเขียนของตนเอง อีกทั้งลีลาการเขียนก็จะพัฒนาดียิ่งๆขึ้น
6.หัดเป็นคนที่อดทน งานเขียนเป็นงานที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ บางคนกว่าจะดัง ต้องฝึกเขียนทุกๆวัน เป็นเวลา 10 ปี แต่นักเขียนรุ่นใหม่ ใช้เวลาฝึกเขียน ทุ่มเท น้อยมาก เพียงแค่ 1-2 ปี ก็อยากจะดังเสียแล้ว
7.หัดเป็นนักปรุง การเขียนเรื่องเดียวกัน เช่น เรื่อง “ แม่ ” แต่บางคนเขียนแล้วคนอ่านชอบ แต่อีกคนเขียนแล้ว คนอ่านไม่ชอบ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการปรุงนั้นเอง

8.หัดเปิดใจรับฟังคำวิจารณ์ คำวิจารณ์จะทำให้เราแก้ไขงานของตนเองให้ดียิ่งขึ้น งานเขียนของนักเขียนบางคน เขียนเป็นเวลา 10 ปี ไม่ดัง แต่เมื่อมีคนเสนอแนะ เหมือน “ เส้นผมบังภูเขา ” ปรากฏว่าเมื่อนำ คำขอเสนอแนะ ไปปรับปรุง งานเขียนก็ดีขึ้นทันตาเห็น
ฉะนั้น เรื่องของลีลาการเขียน เราสามารถปรับปรุง พัฒนาให้ดีขึ้นได้ ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับ ตัวของเราเองเป็นสำคัญ หากว่าเรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาปรับปรุง การใช้ภาษา การใช้ถ้อยคำ การดำเนินเรื่องในการเขียน กระผมเชื่ออย่างสุดใจว่า เราทุกคนทำได้ ขนาดสัตว์(หมา นกแก้ว ช้าง ม้า ) คนยังนำมาฝึกได้ แต่เนี่ยเราเป็นคน ก็ยิ่งต้องฝึกได้ คนเราสามารถเป็นนักเขียนได้ หากว่าเราคิดว่าเราทำได้

...
  
การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์
การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์มีความสำคัญและมีความจำเป็นมาก ต่อการบริหารภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร โดยส่วนตัวกระผมได้ทำงานเกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา จนกระทั่งได้ถูกแต่งตั้งให้เป็น หัวหน้างานประชาสัมพันธ์ ของมหาวิทยาลัย นเรศวร พะเยา
ซึ่งต้องดูแลงานประชาสัมพันธ์โดยรวมของมหาวิทยาลัย นเรศวร พะเยา จากประสบการณ์ จึงได้รู้และได้เห็น ว่า การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ มีความสำคัญต่อภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างยิ่ง จนนำไปสู่ความร่วมมือของคนภายในและภายนอกขององค์กร อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการแก้ไขความเข้าใจผิดต่างๆ แก้ไขข่าวลือ ในบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนจึงอยากที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแชร์ความรู้ แชร์ประสบการณ์ที่ได้รับ ในเรื่องการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ ดังนี้
คนที่จะเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ที่ดี ก่อนอื่นควรมีการวางแผนก่อนการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ เราต้องการให้ใครเป็นผู้รับสาร , การเขียนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หรือความต้องการอะไร และ เราจะมีกลยุทธ์หรือวิธีการนำเสนอข่าวอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
สำหรับถ้อยคำภาษาในการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ เราไม่ควรมุ่งเน้นความไพเราะของคำ แต่ควรมุ่งเน้นการใช้ภาษาที่ชัดเจน ภาษาที่จูงใจ ซึ่งเมื่อคนอ่านอ่านแล้วจะเห็นภาพที่ชัดเจนและทำให้คล้ายตาม
การเลือกใช้สื่อก็มีความสำคัญอย่างมาก เราควรพิจารณาด้วยว่า กลุ่มเป้าหมายของเรา ชอบอ่านข่าวจากแหล่งใด ซึ่งการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์เรามักเขียนในนามองค์กรมากกว่าเขียนนามบุคคล อีกทั้งการเขียนจะเน้นเรื่องของการสร้างสรรค์ การเขียนในเชิงบวก ไม่ควรเขียนข่าวในเชิงลบ
ส่วนวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ในการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์มักจะมีวัตถุประสงค์ คือ
1.เขียนเพื่อให้คนโดยทั่วไปเกิดการยอมรับองค์กร
2.เขียนเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ
3.เขียนเพื่อแก้ไขข่าวลือ แก้ไขข่าวร้าย และเพื่อป้องกันข่าวต่างๆที่ไม่ดีขององค์กร
4.เขียนเพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร
5.เขียนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในองค์กรและนอกองค์กร
6.เขียนเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของบริษัท
สมัยผมทำงานด้านประชาสัมพันธ์ใหม่ๆ ผมเองได้จัดการแถลงข่าวให้กับผู้บริหารขององค์กรหลายครั้ง ซึ่งผู้บริหารก็ให้ข่าวแก่สื่อมวลชนที่มาร่วมงาน สื่อมวลชนหลายคน ได้พูดบอกผมว่า อยากให้ผมสรุปข่าวแจก หรือ ให้รายละเอียด แก่นักข่าว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถามเพิ่มเติมและทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งผมก็ได้ทำตามคำแนะนำ จึงทำให้สื่อมวลชนลงข่าวได้เร็วขึ้น
ซึ่งข่าวแจกที่ผมทำแจกมักจะเป็นข่าวประเภทต่างๆ เช่น ข่าวแจ้งเพื่อทราบ,ข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร่งด่วนหรือฉุกเฉิน, ข่าวกิจกรรมต่างๆขององค์กรและข่าวตอบโต้เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
สำหรับหลักในการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ ผมมักจะใช้ทฤษฏี 5W 1H คือ Who ใคร What ทำอะไร Where ที่ไหน When เมื่อไร Why ทำไมจึงเกิดขึ้น และ How เหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร
โครงสร้างของข่าวประชาสัมพันธ์ที่ดี
1.พาดหัวข่าว ต้องโดนใจ กระชับ เร้าใจ 2.คำนำ 3.เนื้อหา 4.สรุป
สิ่งสำคัญ ถ้ามีภาพประกอบด้วยได้ยิ่งดี เพราะภาพเพียง 1 ภาพ แทนคำพูดได้เป็นหลายร้อยหลายพันคำ
สิ่งที่ควรระวังในการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์คือ
1.ไม่ควรเขียน ชื่อ นามสกุล ยศ ตำแหน่ง ของคนที่เราเขียนภายในข่าว ผิด
2.การเขียนตัวเลข ไม่ควรผิดพลาด ควรตรวจสอบให้แน่นอนก่อนส่งข่าว
3.ไม่ควรใช้ศัพท์เทคนิค ถ้าใช้ก็ควรแปลความหมายหรืออธิบายความหมายเพิ่มเติม
4.ควรหลีกเลี่ยงการเขียนข่าวเปรียบเทียบเรื่องทางศาสนาและการเมือง
โดยสรุปคนที่จะเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ได้ดี ควรต้องฝึกฝนการเขียนบ่อยๆ แล้วลองสอบถาม รุ่นพี่หรือนักเขียนรุ่นพี่ว่า เราควรปรับปรุงอะไรบ้าง แล้วพัฒนาการเขียนอย่างสม่ำเสมอ แล้วก็จะพบกับความสำเร็จในที่สุด








...
  
เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเรียนภาษาอังกฤษให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีความสำคัญมากต่อกระบวนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก ถามว่าคนไทยเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กอนุบาลยันถึงมหาวิทยาลัย แต่ถามว่าทำไมเราถึงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือแม้แต่ทักษะอื่นๆ คือ ฟัง อ่านและเขียน เราก็ไม่เก่งเท่าที่ควร
สาเหตุหนึ่ง เกิดการกระบวนการเรียนภาษาอังกฤษเรา ขาดการเรียนแบบให้นักเรียนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เราจะสังเกตว่า แบบเรียนหรือหนังสือเรียนภาษาอังกฤษที่ให้เด็กนักเรียนเรียน เด็กนักเรียนจะต้องเรียนแบบเรียนแต่ละชั่วโมงไม่ซ้ำกัน เช่น วันนี้เรียนบทที่ 1 พรุ่งนี้เรียนบทที่ 2 มะรืนนี้เรียนบทที่ 3 มะเรื่องนี้เรียนบทที่ 4 เป็นต้น
กล่าวคือเด็กนักเรียนจำเป็นจะต้องเรียนให้จบตามหลักสูตรหรือเรียนตามแผนการสอนที่ครูได้วางเอาไว้ ทำให้เด็กนักเรียนไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแบบเรียนอังกฤษแต่ละบท และเมื่อเลื่อนชั้นจาก ป.1 ขึ้น ป.2 ขึ้น ป.3 ก็ต้องเรียนแบบเรียนหรือหนังสือภาษาอังกฤษเล่มใหม่
ถ้าถามว่า “ แล้วจะทำให้อย่างไร ถ้าต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ” ผมขอตอบอย่างนี้ครับ เราจำเป็นจะต้องใช้กระบวนการเรียนซ้ำหรือทำซ้ำ เพราะการทำซ้ำเป็นหัวใจที่ทำให้เกิดทักษะหรือประสบการณ์ทางด้านภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ความเข้าใจภาษาอังกฤษฝังรากลึกไปยังจิตใต้สำนึก
สมัยกระผมเด็กๆ ผมก็เรียนภาษาอังกฤษแบบเด็กนักเรียนไทยทั่วไปกล่าวคือ เรียนภาษาอังกฤษแบบเข้าใจอย่างผิวเผิน เพราะต้องเรียนเรื่องใหม่ๆตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่กระผมเรียนรู้ก็พลอยลืมเลียนไปด้วย ต่อมาเมื่อกระผมรู้เทคนิคในการเรียนรู้แบบทำซ้ำ จึงทำให้ภาษาอังกฤษอยู่ติดตัวกระผมและสามารถดึงเอาออกมาใช้ได้ตลอดเวลา
ในบทความฉบับนี้เราจะมาพูดถึงเทคนิคนั้น วิธีการก็คือ จงเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากแบบเรียนที่ง่ายๆก่อน แล้วพยายามทำซ้ำ ไม่ว่าจะโดยการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน เมื่อทำซ้ำมากๆจนเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปเรียนแบบเรียนที่มีความยากขึ้นอีกนิดหนึ่ง แล้วทำซ้ำ จนเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเปลี่ยนไปเรียนแบบเรียนที่ยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง ถ้าท่านทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ภาษาอังกฤษของท่านจะพัฒนาไปทีละระดับ และที่สำคัญก็คือท่านจะไม่ลืม
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเริ่มหัดภาษาอังกฤษโดยต้องการพัฒนาทักษะทางด้านการฟัง ขอให้ท่านเริ่มจากการฟังนิทานของเด็ก โดยฟังซ้ำไปเรื่อยๆ เพราะการฟังครั้งแรกท่านอาจจะเข้าใจแค่ 30 % พอครั้งที่สอง อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 35% พอครั้งที่สาม อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 40% พอครั้งที่สี่ อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 45% พอครั้งที่ห้าอาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 50% พอครั้งที่หก อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 55% ครั้งที่เจ็ด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 60% ครั้งที่แปด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 65% ครั้งที่เก้า อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 70% ครั้งที่สิบ อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 75% ครั้งที่สิบเอ็ด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 80% ครั้งที่สิบสอง อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 85% ครั้งที่สิบสาม อาจจะเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็น 90% เป็นต้น
ส่วนตัว กระผมเองต้องขอบอกว่า กระผมเคยฟังนิทานหรือเรื่องราวบางเรื่องมากกว่า 100 ครั้งขึ้นไป จนกระทั่งจำและเข้าใจนิทานภาษาอังกฤษหรือเรื่องราวนั้นๆได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ดังนั้น ถ้าสมมุติว่าท่านต้องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านภาษาอังกฤษ ขอให้ท่านเริ่มหัดอ่านภาษาอังกฤษที่ง่ายๆก่อนแล้วไปหายากขึ้น โดยเริ่มจากการอ่านนิทานของเด็ก โดยการอ่านซ้ำไปเรื่อยๆ อาจจะอ่านเป็น 10 ครั้ง 20 ครั้ง 30 ครั้ง จนกระทั่งมีความเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปอ่านนิทานเรื่องใหม่ แล้วอ่านนิทานเรื่องใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอีก 10 ครั้ง 20 ครั้ง 30 ครั้ง จนกระทั่งมีความเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปอ่านนิทานเรื่องใหม่ที่มีความยากที่มากขึ้น
ถามว่าถ้าเราใช้เทคนิคในการเรียนซ้ำแบบนี้จะทำให้เรียนภาษาอังกฤษช้าไหม คำตอบก็คือ เรียนช้าครับ แต่มันทำให้ภาษาอังกฤษของเรามีความหนักแน่นและอยู่ติดตัวของเราอย่างยาวนาน อีกทั้งยังเข้าใจรูปแบบของแกรมม่า(Grammar)มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราเรียนแบบรวดเร็วอย่างในอดีตคือตอนที่เราเรียนอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย มันพิสูจน์มาแล้วว่าเราเรียนแบบผ่านๆ ถามว่าเราจำสิ่งที่เราเรียนไปในอดีตได้กี่เปอร์เซ็นต์
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนเรียนภาษาอังกฤษ ครูภาษาอังกฤษมักจะสอนประโยคเหล่านี้ให้แก่นักเรียนไทย โดยถามหลายๆรอบ จนเด็กนักเรียนของไทยเราจดจำได้ก็เพราะการถามซ้ำไปถามซ้ำมา คือประโยค Good morning . How are you? I am fine. Thank you and you? เป็นต้น
เช่นกันครับ เด็กชาวอเมริกา พ่อแม่ชาวอเมริกาพูดคำว่า Good morning,Thank you , How are you?กับลูกๆ เกือบทุกๆวัน หากนับได้อาจเป็น ร้อยครั้ง พันครั้ง จนกระทั่งเด็กมีความเข้าใจคำว่า Good morning , Thank you , . How are you? โดยไม่ต้องมีการแปล นี่ก็เพราะการพูดซ้ำและการฟังซ้ำนั่นเอง
ดังนั้น ถ้าเราต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ้าเราต้องการฝึกทักษะในด้านใด(ฟัง พูด อ่านและเขียน) เราควรฝึกทักษะด้านนั้นโดยการทำซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบจนเกิดทักษะ แล้วการเรียนภาษาอังกฤษของท่านจะพัฒนาขึ้นไปทีละระดับและที่สำคัญมันจะอยู่ติดตัวท่านตลอดไป
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.