หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
การพูดทางการเมือง
การพูดทางการเมือง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดทางการเมือง เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เพราะการพูดทางการเมือง หากเรานำไปใช้ยังสถานที่หนึ่งแล้วได้ผล แต่เราอาจจะนำเอาคำพูดไปใช้อีกที่หนึ่งไม่ได้ผลก็ได้ อีกทั้งเวลาเปลี่ยนไป การพูดทางการเมืองก็ต้องมีการปรับประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์นั้นๆ
การพูดทางการเมือง มีทั้งการพูดก่อนหาเสียง ในระหว่างการหาเสียง การพูดหลังหาเสียง การพูดให้สัมภาษณ์นักข่าว และการพูดในรัฐสภา สำหรับการพูดในรัฐสภา ผู้พูดจะต้องเรียนรู้เรื่องการตั้งกระทู้ การตอบกระทู้ การอภิปราย การมีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงการเรียนรู้กฎระเบียบต่างๆในการประชุม
การปราศรัยทางการเมืองนั้น ถ้าจะพูดไปแล้ว เป็นเพียงการปูความศรัทธาของผู้เลือกอย่างผิวเผิน เพราะถ้าเราจะปราศรัยทางการเมืองได้ดีพิเศษ สุดยอดสักเพียงใด ถ้าคนจะไม่เลือกเราเสียอย่างหรือตั้งใจจะไม่เลือกเสียแล้ว ยากมากเลยครับ ที่จะโน้มน้าวคนให้มาเลือกเรา เนื่องจากคนที่ไปฟังเราหาเสียงนั้นมีอยู่ 3 พวกก็คือ พวกที่ 1 พวกเตรียมไปเลือกเราอยู่แล้วหรือมีความตั้งใจจะเลือกอยู่แล้ว หากว่าเราพูดได้ดีเขาก็ยิ่งเกิดความเชื่อมั่น เกิดความศรัทธา พวกที่ 2 พวกตั้งใจจะไม่เลือกเราอยู่แล้ว ถึงเราจะพูดดีอย่างไร เขาก็จะไม่เลือก พวกที่ 3 พวกที่กลางๆ คือพวกที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกใคร หากว่าเราพูดได้ดี เขาก็จะมีโอกาสเปลี่ยนใจมาเลือกเรา แต่หากเราพูดไม่ดี เขาก็จะเปลี่ยนใจไปเลือกคนอื่น
การพูดทางการเมือง กับ การวิเคราะห์พื้นที่เลือกตั้ง การพูดทางการเมืองในชนบทกับในเมืองใหญ่ๆ มีความแตกต่างกัน อีกทั้งการหาเสียงในหมู่บ้านก็มีความแตกต่างกันอีก เช่น ในพื้นที่กรุงเทพฯ ในการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัด หากท่านไม่สังกัดพรรคใดๆ โอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งน้อยมากถึงแม้ท่านจะพูดเก่งสักเพียงใด แต่หากว่า ท่านสังกัดพรรคการเมืองที่ดีแล้ว ท่านพูดเก่งด้วย โอกาสจะได้รับการเลือกตั้งมีอยู่สูงมาก สำหรับการหาเสียงในเมืองหรือเมืองใหญ่ ส่วนใหญ่จะใช้เวทีการปราศรัยใหญ่ มากกว่าเดินตามห้องแถว เพราะเราจะเดินทุกห้องก็คงยากเนื่องจากเวลามีจำกัด
การแต่งกลอนในการพูด ก็มีความสำคัญเพราะจะทำให้คนจดจำได้ง่ายขึ้น เช่น
อยากได้ผู้แทน เป็นคนเก่ง ต้องเลือกเบอร์ 5
อยากได้ผู้แทน เป็นคนดี ต้องเลือกเบอร์ 5
อยากได้ผู้แทน เป็นที่พึ่ง ต้องเลือกเบอร์ 5
อยากได้ผู้แทน ใช้คล่อง ต้องเลือกเบอร์ 5
อยากได้ผู้แทน มีฝีมือ ต้องเลือกเบอร์ 5
ฉะนั้นการแต่งกลอนเพื่อนำไปพูดประกอบการหาเสียง จะสร้างการจดจำเบอร์ของผู้สมัครได้ง่าย อีกทั้งประชาชนในพื้นที่จะจำติดปาก
การพูดทางการเมืองที่ดี ต้องมีการพูดที่มาจากใจ มีความจริงใจ มั่นใจ มีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่อย่าย่ามใจ ชะล่าใจ อีกทั้งไม่ควรพูดโกหก วิธีการไม่โกหก ก็คือ เรื่องใด ถ้าจะพูดโกหก ก็ไม่ต้องพูด เฉยเสีย นิ่งเสีย เพราะการพูดโกหก จะมีผลเสียมากกว่าผลดี และผู้พูดทางการเมืองก็จะจำไม่ได้ว่า เรื่องใดได้พูดโกหกออกไป ดังคำกล่าวของ ลินคอล์นที่ว่า “ ท่านอาจโกหกคนบางคนได้ตลอดเวลา ท่านอาจจะโกหกคนทุกคนได้ตลอดเวลา แต่ท่านไม่สามารถโกหกคนทุกคนได้ทุกเวลา ” ถ้าเช่นนั้น นักพูดทางการเมืองที่ดีจึงไม่ควรโกหกประชาชน
ตัวอย่างเช่น หากท่านเป็นนายกรัฐมนตรี นักข่าวถามว่า “ ท่านครับ มีข่าวลือว่าท่านจะมีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีหรือครับ” หากเป็นความจริงแล้ว ท่านปฏิเสธว่า “ ไม่มี ” แต่ อีกไม่กี่วันท่านมีการปรับเปลี่ยน ประชาชนก็จะไม่ศรัทธาในคำพูดของท่าน แต่ ถ้าท่านบอกว่า “ จะมีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีอีก สองวันข้างหน้า” ก็จะเกิดความวุ่นวาย เกิดความขัดแย้งภายในรัฐบาลได้ ฉะนั้น หากท่านเป็นนักพูดทางการเมืองที่ดี ท่านจะพูดหาทางออกอย่างไร แต่มีนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งซึ่งกระผมไม่ขอเอ่ยนามกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “ เอาข่าวมาจากไหน ” นักข่าวตอบว่า “ ข่าวลือครับท่าน” นายกรัฐมนตรีท่านนั้นตอบกลับทันทีว่า “ อ้อ ข่าวลือหรือ ข่าวลือมันก็คือข่าวลือ” เราจะเห็นได้ว่า นายกรัฐมนตรีท่านนี้ ไม่ได้ตอบว่า มีการปรับหรือไม่มีการปรับรัฐมนตรี อีกทั้งไม่ได้โกหกด้วย
ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง ในสมัยหนึ่ง มีข่าวว่า มีนักบินคนหนึ่งเคยเห็นหลวงปู่แหวนลอยอยู่บนท้องฟ้า จึงมีคนไปถาม หลวงปู่แหวนว่า “ หลวงปู่ หลวงปู่เหาะได้หรือ” ถ้าหลวงปู่บอกว่า “ เหาะได้” ก็จะเข้าข่ายอวดอุตตริมนุษยธรรม แต่ถ้าบอกว่า “ เหาะไม่ได้” ทั้งที่ เหาะได้ ก็จะเข้าข่าย มุสา หลวงปู่ตอบว่า “อาตมาไม่ใช่นกเนี่ย ” ผิดไหมไม่ผิด เพราะหลวงปู่แหวนไม่ใช่ นก เป็นต้น






...
  
จะทำงานอย่างไรให้ก้าวหน้า
จะทำงานอย่างไรให้ก้าวหน้า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนเราทุกคนเกิดมาแล้วต้องทำงาน และเวลาที่เราใช้ในชีวิตการทำงาน เราใช้เวลาเป็นจำนวนมาก แล้วเราจะทำงานอย่างไรให้มีความก้าวหน้า สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เขาจะมีปัจจัยที่ทำให้ตนเองก้าวหน้าดังนี้
1.ต้องรักงานที่ตนเองทำ รวมไปถึง รักเพื่อนร่วมงาน รักเจ้านาย รักองค์กร รักสถานที่ทำงาน เมื่อเขามีทัศนคติที่บวก เขาก็จะทำงานอย่างมีความสุข ขยันขันแข็งในการทำงาน แต่ในทางกลับกัน ถ้าเขาไม่รักงานที่ทำ ไม่รักเพื่อนร่วมงาน ไม่รักเจ้านาย ไม่รักองค์กร ไม่รักสถานที่ทำงาน เขาก็จะมีทัศนคติในทางลบ จึงทำให้เขาเกิดการเบื่อหน่าย ไม่มีความสุขที่ต้องทำงาน เกิดอาการที่ท้อแท้ หมดกำลังใจ เมื่อหนักๆ เข้าเขาก็พร้อมที่จะลาออกจากงานที่เขาทำ
แล้วมีคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรถึงจะมีทัศนคติให้มีความรักงานที่ทำ คำตอบคือ ท่านต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ลองคิดว่างานให้อะไรแก่เราบ้าง เช่น งานทำให้เราได้ช่วยเหลือผู้อื่น งานทำให้เราได้สถานะภาพที่ดีขึ้น งานทำให้เราได้รับรายได้ งานให้เรามีคุณค่าในความเป็นคน งานทำให้เราได้ชื่อเสียง ฯลฯ
2.ต้องให้งานสอนเรา คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าคนธรรมดา มักจะเป็นคนที่ทำงานมาก การทำงานด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน จึงทำให้เขาทำงานได้เก่งขึ้น ระหว่าง ครูสอน กับให้งานสอน ท่านผู้อ่านคิดว่า อย่างนั้นทำให้เราเก่งงานกว่ากัน แน่นอนครับ ให้งานสอนครับ ฉะนั้น เราจะสังเกตว่า คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะเป็นคนที่ขยันทำงาน ทำงานจนเกิดความเชี่ยวชาญ
3.ต้องมีความกระตือรือร้นในการทำงาน นักข่าวท่านใดมีความกระตือรือร้นในการหาข่าว มักจะได้ข่าวก่อน แต่นักข่าวคนใดเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ก็มักจะหาข่าวได้ช้า ความกระตือรือร้นจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนทำงานแล้วประสบความสำเร็จ และพบกับความก้าวหน้า
4.ต้องมีความพยามยาม กัดไม่ปล่อย คนที่ประสบความสำเร็จในที่ทำงาน เขาจะเป็นคนทุ่มเท เขาจะไม่หยุดก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ เมื่อเจอปัญหาเพียงแค่ครั้ง สองครั้ง ก็จิตใจท้อแท้ ตรงกันข้ามกับคนที่ประสบความสำเร็จในระดับที่สูง เขาจะกัดไม่ปล่อย เช่น เอดิสัน กว่าจะคิดค้นหลอดไฟฟ้าได้ เขาต้องล้มเหลวถึง 1,000 ครั้ง เลยทีเดียว แต่คนส่วนใหญ่ พบกับความล้มเหลวเพียงไม่กี่ 10 กี่ 100 ครั้ง ก็เลิกล้มเสียแล้ว
5.ต้องมีสติในการทำงาน คนไม่มีสติ มักจะเกิดอาการสับสน หลายคนเมื่อออกจากบ้าน ก็คิดว่า ตัวเองลืมปิดไฟ ลืมปิดกุญแจ ลืมปิดน้ำ ก็เนื่องจากตนเองไม่มีสติ เช่นกัน ในการทำงานเราต้องมีสติ บางคน ทำงานแล้วเกิดข้อบกพร่องขึ้นในงาน ก็เนื่องจากความไม่มีสติ ฉะนั้น จงทำงานอย่างมีสติ แล้วก็จะไม่เกิดความเสียหายขึ้นภายในงาน ไม่เกิดอุบัติเหตุ ไม่เกิดความสูญเสียต่างๆ
6.ต้องทำงานอย่างฉลาด หลายคนทำงานมาก ทำงานนาน แต่ไม่มีความก้าวหน้า สาเหตุเนื่องมาจาก เขาไม่ยอมที่จะเรียนรู้งานอะไรใหม่ๆ เขาไม่ยอมที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน เขาไม่คิดที่จะนำเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้ในการทำงาน เช่น ไม่เรียนรู้ ไม่นำเอา เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ มาช่วยในการทำงาน
ดังนั้น หากท่านต้องการที่จะมีความก้าวหน้าในการทำงาน ท่านต้องรักงานที่ท่านทำ ท่านต้องให้งานสอนท่าน ท่านต้องมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ท่านต้องมีความพยายาม ท่านต้องมีสติในการทำงานและท่านต้องทำงานอย่างฉลาด
...
  
คิด พูด ทำ ความสำเร็จ
ฟัง คิด พูด ทำ สู่ความสำเร็จของนักบริหาร


โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


ม.นเรศวร พะเยา


นักบริหารที่ต้องการประสบความสำเร็จในงานด้านบริหารจัดการ ควรมีหลักยึดของนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งหลักยึดในการปฏิบัตินั้นมีอยู่หลายทฤษฏี มีอยู่หลายแบบ แล้วแต่ว่าเราจะยึดหลักไหน แต่ในวันนี้กระผมขอนำเสนอ หลักยึดหนึ่งที่ทำให้ผู้บริหารประสบความสำเร็จก็คือ ฟัง คิด พูด ทำ


1.พึงฟัง เพื่อค้นหาความต้องการหรือปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในงาน นักบริหารที่ดี ต้องรู้จัก ฟัง ฟัง ฟัง ฟัง เพื่อหาความต้องการหรือปัญหาที่แท้จริง ตั้งใจฟังในปัญหาหรือความต้องการของลูกน้องหรือลูกค้า ไม่ควรพูดในขณะที่ลูกน้องหรือลูกค้า บอกหรือบรรยายเกี่ยวกับปัญหาเพราะจะทำให้เราไม่ทราบปัญหาที่แท้จริง


สำหรับศิลปะในการฟัง คือ เมื่อลูกน้องหรือลูกค้า เล่าเรื่องหรือปัญหาอะไร เราอาจมีการตอบรับบ้าง เช่น โอ้โฮ เหรอครับ เยี่ยมเลย ครับ ค่ะ ยอดไปเลย คือฟังแล้วได้อรรถรสได้บรรยากาศ มี Feedback (การตอบสนองกลับมาบ้าง) จะทำให้ลูกน้องหรือลูกค้า รู้สึกว่าเราให้ความสนใจในสิ่งที่เขาพูดมา


2.พึงคิด คิดเป็นระบบ คิดรอบด้าน คิดในการหาทางออกของปัญหา โดยอาจมีวิธีคิด เป็นระบบ คิดในเชิงกลยุทธ์ คิดในอนาคต คิดในเชิงเปรียบเทียบ คิดในการหาทางออกของปัญหาว่าจะแก้ไขอย่างไร จึงจะดีที่สุดในสถานการณ์ในขณะนั้น เพราะ ถ้าผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาด องค์กรนั้นอาจถึงขั้น ล้มละลายเลยก็ได้ ดังเช่น สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในอดีตและปัจจุบัน


ในบางครั้ง ผู้บริหารหรือผู้นำ อาจคิดมากจนเกินกว่าเหตุ ซึ่งสิ่งที่คิดอาจทำให้เกิดความเครียดในการทำงานได้ เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไม่มีประโยชน์ ดังคำพูดที่บอกว่า “ อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังคำพูด”


3.พึงพูด ระวังคำพูดในการพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา พูดในสิ่งที่ควรพูดเมื่อมีปัญหาหรือคนในองค์กร รวมทั้งลูกค้า เกิดความไม่พอใจ ไม่เข้าใจ ผู้บริหารที่ดีจึงเป็นผู้ที่ต้องรู้จักใช้คำพูด รู้ว่าเมื่อไร ควรพูด เมื่อไร ควรเงียบ เพราะการ ที่พูดออกไปโดยไม่ได้คิด ก็เหมือนกับการยิงกระสุนออกไปโดยไม่ได้เล็งเป้า และถ้าผู้บริหารหรือผู้นำ สื่อสารผิดก็จะทำให้คนในองค์การเกิดความไม่เข้าใจหรือสับสนได้


การพูดของผู้นำมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน จนเคยมีคนเคยกล่าวมาว่า “ ถ้าท่านไม่สามารถลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ ท่านอย่าปรารถนาเป็นผู้นำ ” ดังนั้นผู้ที่เป็นผู้นำหรือผู้บริหาร ทุกคนจำเป็นจะต้องลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ (ไม่ใช่ว่าผู้ที่ลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนจะเป็นผู้นำทุกคน )แต่ผู้นำหรือผู้บริหารทุกคนจะต้องลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้


4.พึงทำ ควรประพฤติตนให้สมกับเป็นผู้นำ ผู้บริหาร จะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี มีจริยธรรม มีคุณธรรม ถ้าผู้นำหรือผู้บริหาร ทุจริตต่อองค์กร ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์กร ลูกน้องก็จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ถ้าผู้นำหรือผู้บริหารเป็นคนดี ขยันขันแข็ง ลูกน้องก็จะเอาเยี่ยงอย่างเช่นกันคือ ประพฤติดี ขยันขันแข็งในการทำงาน


ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี พึงฟัง เพื่อหาความต้องการหรือปัญหาของลูกน้อง ลูกค้า


ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี พึงคิด คิดเพื่อที่จะนำไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น


ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี พึงพูด พูดเพื่อทำความเข้าใจกับคนในองค์กรหรือลูกค้า


ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี พึงทำ ทำตนให้เป็นแบบอย่าง ทำตนให้น่าเชื่อถือ





ความลับของความสำเร็จ คือ เตรียมตัวให้พร้อม พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรอโอกาสที่จะมาถึง ในวันข้างหน้า




...
  
การพูดกับการบริหาร
การพูดกับการบริหาร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดสำหรับนักบริหารมีความสำคัญมาก เพราะคนเราไม่สามารถทำอะไรคนเดียวได้ทุกอย่าง เช่น การสร้างบ้าน การเปิดร้านอาหาร การทำโรงงาน การสร้างตึก ฯลฯ แต่การจะทำสิ่งเหล่านี้ได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลอื่นๆเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากคนเรามีข้อจำกัดต่างๆมากมาย เช่น เรื่องของเวลา เรื่องของสถานที่ เรื่องของความสามารถ เรื่องของสติปัญญา เรื่องของสุขภาพกำลังของร่างกาย เรื่องของความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
การสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการใช้คำพูด คำพูดเป็นการสื่อสารที่ง่ายกว่าการสื่อสารประเภทอื่น ไม่ว่าการสื่อสารโดยการเขียน การสื่อสารโดยใช้ภาษากายหรือภาษาท่าทาง ผู้บริหารจึงต้องใช้การพูดมากกว่าการสื่อสารประเภทอื่นๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “ ผู้บริหารมักใช้ปากในการทำงาน ” เช่น หากท่านเป็นผู้บริหาร ท่านจะต้องร่วมประชุมหรือร่วมแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมอยู่บ่อยๆ หากท่านเป็นผู้บริหาร ท่านจะต้องกล่าวเปิดปิดงานต่างๆอยู่เป็นประจำ หากท่านเป็นผู้บริหาร ท่านจะต้องให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆอยู่เป็นนิจ หากท่านเป็นผู้บริหาร ท่านจะต้องชี้แจง ท่านจะต้องสอนงานลูกน้องอยู่เสมอ ฯลฯ
การพูดจึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารจำเป็นจะต้องฝึกฝนและฝึกปฏิบัติ เพราะหากผู้บริหารคนใดมีความสามารถในการพูดก็จะทำให้ลูกน้องเกิดการประสานงานกัน เกิดความร่วมมือกันในการทำงาน ผลที่ตามมาคือ ในองค์กรนั้นๆจะมีผลผลิตเป็นจำนวนมากมาย แต่ตรงกันข้าม หากผู้บริหารพูดไม่เป็น พูดไม่ดี ก็จะทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือจากลูกน้องหรือลูกน้องให้ความร่วมมือ แต่จะทำงานแบบไม่เต็มใจ ทำงานแบบไม่เต็มกำลังความสามารถหรือออมแรง ออมความสามารถต่างๆในการทำงาน จึงทำให้ผลผลิตที่ออกมาได้ไม่ดีมากนัก
ผู้บริหารระดับโลก มักจะสื่อสารโดยการพูดได้ดีกันทุกคน เช่น ผู้บริหารระดับประธานาธิบดีเกือบทุกๆคนของสหรัฐ , ผู้บริหารระดับนายกรัฐมนตรีของหลายประเทศ เขามักจะสื่อสารโดยการพูดให้ประชาชนเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะทำ ไม่ว่าจะเป็น JFK (จอห์น เอฟ เคเนดี้ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ) , ฮิตเลอร์ (อดีตผู้นำของเยอรมัน) , โจเซฟ สตาลิน(ผู้นำของโซเวียต) เป็นต้น คนเหล่านี้คนส่วนใหญ่ยอมรับกันว่า พูดได้ดีมาก ดังปรากฏในคำพูดสุนทรพจน์ต่างๆของบุคคลเหล่านี้
ผู้บริหารกับการพูดครองใจคน เคยมีเรื่องเล่าในอดีตเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่สนุกๆ มีนายทหารยศพลเอกคนหนึ่ง ต้องการแลกเหรียญเพื่อที่จะโทรศัพท์ แต่ไม่มีเหรียญ เมื่อเห็นพลทหารคนหนึ่งเดินมาจึงถามว่า “ น้อง น้องครับ มีเหรียญให้พี่แลกไหมครับ” พลทหารตอบว่า “ เดี๋ยวครับพี่ น่าจะมีครับ ขอค้นดูก่อน” เมื่อพลเอกได้ยินคำตอบของพลทหารก็ไม่พอใจเลยตอบกลับไปว่า “ เนี่ย พูดกับผมอย่างนี้ได้อย่างไร ผมยศพลเอกนะ เอาใหม่ ลองตอบใหม่ให้โอกาสอีกครั้ง ต้องทำความเคารพด้วย ” พลเอกจึงกล่าวถามใหม่ว่า “ น้อง มีเหรียญให้พี่แลกไหม ” พลทหารรีบยืนทำความเคารพด้วยความเข้มแข็งแล้วตอบกลับทันใดว่า “ ไม่มีครับ ท่าน” แล้วก็เดินจากไป สำหรับเรื่องเล่าเรื่องนี้ท่านคิดอย่างไรครับ
ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง ผู้บริหารบางคนจะใช้แม่บ้านไปชงกาแฟ ผู้บริหารบางคนพูดเป็น บางคนพูดไม่เป็น หากเป็นผู้บริหารที่พูดเป็น มักจะทำให้แม่บ้านเกิดความพอใจ เกิดความภาคภูมิใจที่ได้ชงกาแฟให้ผู้บริหารทาน แต่หากผู้บริหารพูดไม่เป็น แม่บ้านก็คงต้องชงแต่จะชงด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจนัก เช่น ผู้บริหารที่พูดจาเป็นจะพูดออกมาลักษณะนี้ “ เนี่ยคุณนก ขอกาแฟสักแก้วครับ เอาแบบเมื่อวานนี้ อร่อยมาก แต่วันนี้ผมขอลดน้ำตาลลง 1 ช้อนครับ” หากพูดลักษณะนี้ แม่บ้านก็จะพอใจในการไปชงกาแฟให้ผู้บริหารคนนี้ แต่หากพูดอีกอย่างละ “ นก เอากาแฟมาถ้อยซิ วันนี้ช่วยใช้มือชงนะ ไม่ใช่ใช้ตีนชงอย่างเมื่อวาน แล้วลดน้ำตาลลง 1 ช้อน หวานอย่างกับอะไร ” หากพูดอย่างนี้ แม่บ้านก็คงต้องทำแต่ทำแบบไม่พอใจ จริงไหมครับ
สำหรับทัศนะหรือความคิดของผม ผู้บริหารที่พูดเก่ง พูดเป็น ไม่ใช่คนที่มีเทคนิคการพูดที่ดี ไม่ใช่ผู้บริหารที่ใช้วาทะ ถ้อยคำที่สวยหรู แต่เป็นผู้บริหารที่พูดออกมาจากหัวใจ ผู้บริหารที่เชื่อเรื่องนั้นจริงๆ และปฏิบัติตามคำพูดนั้นจริงๆ จนมีความรู้สึกเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองพูด จึงทำให้ผู้ตามหรือผู้ได้ยินเกิดความศรัทธาในสิ่งที่ผู้บริหารคนนั้นพูดออกไป เช่น หากผู้บริหารสอนลูกน้อง แนะนำลูกน้องว่า ไม่ควรมาทำงานสาย แต่ผู้บริหารมาสายตลอด อย่างนี้ลูกน้องจะเชื่อถือไหมครับ





...
  
เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน
เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ที ฮาร์ฟ เอคเคอร์(T.Harv Eker) โค้ช ผู้ฝึกสอนเกี่ยวกับการเป็นมหาเศรษฐี นักพูด วิทยากร ชื่อดังระดับโลกชาวอเมริกา ได้เขียนหนังสือ เล่มหนึ่งชื่อ ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน (Secrets of the Millionaire Mind ) เขาได้เขียนแนวความคิดของเขาในหนังสือเล่มนั้นว่า
คนเราสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้จากการที่เริ่มเปลี่ยนความคิด โดยเขาเขียนว่า
“ ความคิด ทำให้เกิด ความรู้สึก ความรู้สึก ทำให้เกิด การกระทำ เมื่อเปลี่ยนการกระทำ ผลลัพธ์จึงเปลี่ยน”
อีกทั้งเขายังยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า สมมุติว่า เราได้ปลูกต้นไม้ขึ้นมาต้นหนึ่ง เช่น ต้นแอปเปิ้ล เมื่อต้นแอปเปิ้ล ออกผล แต่ผลแอปเปิ้ล เล็กมาก ไม่สมบูรณ์ เราสามารถเปลี่ยนลูกแอปเปิ้ลภายในต้นนี้ให้สมบูรณ์ได้ ก็ด้วยการ รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ไปที่ราก เพื่อให้ราก ส่งน้ำ ส่งอาหาร ส่งปุ๋ยไปยัง ลูกแอปเปิ้ล จึงทำให้ลูกแอปเปิ้ล สมบูรณ์
หากว่าเราต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต เราต้องเปลี่ยนแปลงตรงความคิดของเราก่อน อีกทั้งเราควรให้ความสำคัญกับความคิดของตนเองก่อน เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็น มันอาจจะมีความสำคัญกว่าสิ่งที่เรามองเห็น ดังตัวอย่าง ลูกแอปเปิ้ล รากมีความสำคัญมาก แต่พวกเราส่วนใหญ่มองไม่เห็น แต่พวกเรากลับไปมองเห็นที่ตัวผลของมัน เช่นกัน ชีวิตของพวกเราเป็นเช่นนี้ เหตุที่ส่งผล ก็คือความคิดนั้นเอง
กบฝูงหนึ่ง ได้แข่งขันกันปืนต้นไม้ใหญ่ ปรากฏว่า กบทุกตัว ปีนขึ้นไปก็ตกลงมา อีกทั้งกบที่นั่งเชียร์อยู่ข้างล่างก็ต่างพากัน ส่งเสียง ว่า “ ตกลงมา ” “ ตกลงมา” “ตกลงมา” แล้วกบทุกตัวก็ตกลงมาจริงๆ ทำให้กบที่นั่งเชียร์อยู่ข้างล่าง ต่างพากันหัวเราะ ชอบใจเป็นการใหญ่ แต่ปรากฏว่า มีกบอยู่ 1 ตัว ที่ปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงจุดสูงสุด กบทุกตัวต่างนั่งงง ยืนงง เป็นการใหญ่ว่า กบตัวนี้ทำได้อย่างไร เมื่อกบตัวนั้นลงมา กบทุกตัวก็ต่างไปแสดงความยินดี แล้วถามเหตุผลว่า “ ทำไมถึงปีนได้” ผลปรากฏว่า กบตัวนั้น เป็นกบที่หูหนวกตั้งแต่กำเนิด ซึ่งกบตัวนั้น ไม่ได้ยินเสียง ด่า เสียงเชียร์ว่า “ ตกลงมา” “ตกลงมา” แต่กลับคิดว่า กบทุกตัวที่อยู่ข้างล่าง ส่งเสียงเชียร์ “ ขึ้นไปอีก ขึ้นไปอีก ขึ้นไปอีก ”
ท่านผู้อ่านได้อะไรจากเรื่องนี้ ในบางครั้ง เราคิดจะทำการณ์ใหญ่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จก็เนื่องจากว่า เราอาจจะไปฟัง คำด่า คำพูด ที่เป็นลบ จากผู้คนรอบข้างของเรามากจนเกินไป จนทำให้เราเกิดความท้อแท้ใจ ฉะนั้น ในการทำงาน ในบางครั้งเราก็ควร หูหนวก บ้าง เพราะถ้าเราฟังคำพูดที่เป็นลบมากๆ ก็จะส่งผลทำให้เราเกิดความคิดที่ลบ แล้วความคิดที่ลบ นี่แหละที่จะส่งผลต่อความสำเร็จในการทำงานของเราได้
ถ้าผมถามผู้อ่านว่า “ท่านว่ายน้ำเป็นไหม” หลายคนบอกว่า “ ไม่เป็น” แต่ถ้าถามเหตุผล “ ว่าทำไม ถึงว่ายน้ำไม่เป็น” ผู้อ่านหลายคนจะต้องมีข้ออ้างต่างๆ นาๆ ว่า “ ไม่ได้ฝึก” “ กลัวจมน้ำ” “ อายไม่กล้าลงน้ำ” แต่ถ้าเราลองไปดูชีวิตของนาย นิก วูยิชิช เขาเกิดมาไม่มีแขนไม่มีขาทั้งสองข้าง แต่เขาสามารถว่ายน้ำเป็น เหตุผลที่เขาวาดน้ำเป็น เพราะภายในความคิดของเขา เขาไม่มีข้ออ้าง ว่า ทำไม่ได้ นั่นเอง
นาย นิก วูยิชิช เขาคิดว่า เขาทำได้ เขาจึงว่ายน้ำได้ ทั้งๆที่ไม่มีแขนไม่มีขาทั้ง 2 ขา ฉะนั้น ถ้าผู้อ่านอยากว่ายน้ำเป็น ความคิดของท่านจะต้องมีความเชื่อมั่นว่า ท่านทำได้ ท่านว่ายน้ำเป็นเสียก่อน แล้วท่านจะว่ายน้ำเป็นในที่สุด
สุดท้ายนี้ กระผมอยากเห็น การศึกษาของไทยเรา สอนให้เด็กคิดให้มากขึ้น เพราะการศึกษาในอดีตมักสอนให้ท่องจำ เช่น สมัยที่ผมเรียน ข้อสอบมักจะออกว่า “ กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงเมื่อ พ.ศ.อะไร” ผมเองก็ต้องท่องจำ แสดงว่า ใครที่มีความจำดีมักเป็นเด็กที่ได้คะแนนดี แต่ทำไมเราไม่สอนให้เด็กคิดเป็น เช่น 4+4 = 8 ถ้าเราออกข้อใหม่ว่า 8=........+........... (8=7+1),(8=4+4),(8=2+6),(8=3+5),(8=8+0) เด็กๆก็จะสามารถคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
...
  
หมวก 6 ใบ
หมวก 6 ใบ คิด 6 แบบ( Six Thinking Hats)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

เมื่อพูดถึงเรื่องของความคิดและเรื่องของระบบสมองของคนเราแล้ว มีความสลับซับซ้อนมากจึงมีคนคิดค้นเครื่องมือหลากหลายชนิดมาเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ เข้าใจและเกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิด ซึ่งมีเครื่องมือต่างๆ เช่น การทำ Mind Mapping , หลักคิดแบบพุทธศาสนา โยนิโสมนสิการ และเครื่องมืออีกหลากหลาย แต่ในที่นี้กระผมขอพูดถึงเครื่องมือตัวหนึ่งคือ หมวก 6 ใบ คิด 6 แบบ หรือ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Six thinking hats


Six thinking hats คือ เครื่องมือที่ช่วยให้การคิดมีระบบเป็นการคิดอย่างมีโฟกัส มีการจำแนกความคิดออกเป็นด้านๆ และคิดอย่างมีคุณภาพ เพื่อช่วยจัดระเบียบการคิด ทำให้การคิดของคนเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น


ดร. Edward de Bono (เอดเวิร์ด เดอ โบโน) เป็นผู้คิดเครื่องมือดังกล่าว เพื่อให้การคิดเป็นระบบเพื่อให้ผู้เรียนมีหลักในการจำแนกความคิดออกเป็น 6 ด้าน ทำให้เกิดความคิดในการแก้ปัญหาและตัดสินใจอย่างเป็นระบบ เป็นการเพิ่มศักยภาพให้ทักษะการคิด ทำให้ไม่คิดข้ามไปข้ามมา หรือคิดพร้อมกันทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ทำให้ประหยัดเวลา


การคิดตามทฤษฏีของดร. Edward de Bono (เอดเวิร์ด เดอ โบโน) ได้แบ่งหมวกออกเป็น 6 สีโดยสมมุติหมวกทั้ง 6 สี แทนความคิดด้านใดด้านหนึ่ง คือ หมวกสีขาว,หมวกสีแดง ,หมวกสีเหลือง ,หมวกสีเขียว,หมวกสีดำ และหมวกสีฟ้า ซึ่งแต่ละสีมีความหมายดังนี้


หมวกสีขาว สีแห่งความเป็นกลาง ไม่มีอคติ ไม่ลำเอียง เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและตัวเลข


หมวกสีแดง แสดงถึงความโกรธ ความเดือดดาลและอารมณ์ แสดงในมุมมองด้านอารมณ์


หมวกสีดำ สีดำมืดมนและจริงจัง หมวกสีดำคือข้อควรระวัง และคำเตือน มันชี้ให้เห็นถึง


จุดอ่อนของความคิดนั้น ๆ


หมวกสีเหลือง สีเหลืองส่องสว่าง และให้ความรู้สึกในทางที่ดี หมวกสีเหลืองจึงเป็นมุมมองในแง่บวก รวมถึงความหวัง และการคิดในแง่ดีด้วย


หมวกสีเขียว สีเขียวคือสีของหญ้า พืชพรรณ ความอุดมสมบูรณ์ การเติบโตงอกงาม


หมวกสีเขียวหมายถึงความคิดริเริ่ม และความคิดใหม่ ๆ


หมวกสีฟ้า สีฟ้าเยือกเย็น และเป็นสีของท้องฟ้าซึ่งอยู่เบื้องบนเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง หมวกสีฟ้าจึงหมายถึงการควบคุม การจัดระบบกระบวนการคิดและการใช้หมวกอื่น ๆ


ประโยชน์ของการใช้ Six Thinking Hats


1. ช่วยลดความขัดแย้งในการประชุมลงไปได้มาก


2. ช่วยให้เกิดการคิดทีละด้าน มองทีละด้าน จากด้านหนึ่งไปมองอีกด้านหนึ่ง ทำให้เห็นภาพจริงที่ชัดเจน


3. ช่วยให้ทุกคนอยากมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เป็นการดึงเอาศักยภาพของแต่ละคนออกมา


4. ช่วยประหยัดเวลาในการประชุม


สรุป เรื่องเกี่ยวกับความคิดของคนเรามีความสำคัญ คนจะร่ำรวยได้ก็เพราะการคิด คนจะประ


สบความสำเร็จก็เพราะความคิดของเขา หากคนเราคิดไปเรื่อยโดยขาดหลักหรือความรู้เกี่ยวกับความคิด ก็จะทำให้เสียเวลา หรือไม่สามารถนำเอาศักยภาพมาใช้ ดังนั้นคนเราควรเรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ หรือควรมีเครื่องมือมาช่วยให้เกิดระบบในการเรียนรู้


ท่านผู้อ่านที่สนใจ ท่านสามารถหาหนังสือ Six thinking hats ของ ดร. Edward de Bono (เอดเวิร์ด เดอ โบโน) มาอ่านได้ โดยมีผู้แปลเป็นภาษาไทย หากท่านผู้อ่านไม่ต้องการอ่านฉบับหนังสือภาษาอังกฤษ

...
  
โต้วาที เรียนต่อต่างแดนผลตอบแทนคุ้มค่า
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ได้ร่วมเป็นกรรมการตัดสินและให้คะแนน พร้อมทั้งให้ความเห็นเสนอแนะ ในการแข่งขัน รายการ U-Debate ณ สถานีโทรทัศน์ VOICE TV ในญัตติ " เรียนต่อต่างแดนผลตอบแทนคุ้มค่า" ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่าง ทีม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ...
  
กล้าฝัน กล้าไล่ล่าฝัน
กล้าฝัน กล้าไล่ล่าฝัน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง พวกเขามักจะเป็นคนมีความฝัน และที่สำคัญพวกเขาจะเป็นนักไล่ล่าฝัน พวกเขาจะมีความพยายาม มีความอดทนที่มากกว่าคนทั่วๆไป เมื่อล้มเหลว พวกเขาจะไม่ล้มเลิก พวกเขาเคยผิดหวัง พวกเขาเคยท้อแท้ แต่พวกเขาก็ต้องสู้จนประสบความสำเร็จ
- จิม แคร์รีย์ ดารานักแสดงฮอลลีวู้ดได้ค่าตัวแพงที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน กว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ เขาต้องผ่านความเจ็บปวด เขาเคยเป็นดาราที่ตกอับ เขาเคยขับรถเก่าๆ เขาแทบจะไม่มีเงินติดตัว ครั้งหนึ่งมีคนเล่าว่า จิม แคร์รีย์ มีเป้าหมายว่าอีก 5 ปีข้างหน้าเขาจะได้ค่าตัวหรือค่านักแสดงนำจำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (เรื่องนี้เกิดขึ้นปี ค.ศ.1990 ต่อมาอีก 5 ปี คือ ค.ศ.1995 เขาได้รับค่าตัวมากถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ)
มีคนเคยถาม จิม แคร์รีย์ ว่า “ตอนแรกๆที่คุณเข้าวงการคุณได้ค่าตัวไม่กี่หมื่น กี่แสนเหรียญสหรัฐ ทำไมตอนนี้คุณถึงกล้าเรียกค่าตัวมากถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ จิม แคร์รีย์ ตอบว่า “ กว่าผมจะกล้าเรียกค่าตัวขนาดนี้ ผมต้องผ่านการฝึกฝน อดทน ฝึกซ้อมบทต่างๆ มากกว่า ยี่สิบกว่าปี ผมถึงประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้)
- เฉินหลง หรือ เฉินกั่งเซิง เขาเรียนการเล่นงิ้ว เรียนมวยจีน เรียนกังฟู และการแสดงมาตั้งแต่เด็ก
เขาฝันอยากที่จะเป็นดารานักแสดง เขาต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาต้องเรียนภายในโรงเรียนเป็นเวลาสิบปี หลังจากนั้น เขาก็ได้ตระเวน แสดงกังฟู แสดงวิทยายุทธ์ แสดงงิ้ว ณ ที่ต่างๆ ทั่วประเทศจีนและต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เฉินหลงก็เคยมาแสดงงิ้ว เมื่อตอนยังหนุ่มๆ และเมื่อเขาเข้าวงการแสดงภาพยนตร์ เขาต้องแสดงเป็นตัวประกอบ โดยรับจ้างเป็นนักแสดงคิวบู๊ ต้องทนเจ็บตัว และได้รับบาดเจ็บ จนกระทั่งเขาแจ้งเกิดในหนังเรื่องไอ้หนุ่มพันมือ ตามด้วยเรื่องไอ้หนุ่มหมัดเมา ต่อมาก็ได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น เฉิงหลงก็ได้เป็นดาราซูเปอร์สตาร์ระดับเอเชีย แล้วก้าวขึ้นเป็นดารานำในระดับโลก
หลายคนคงนึกอิจฉา เฉินหลง แต่ถ้าพวกเราลองวิเคราะห์ย้อนไปในอดีต เฉิงหลงต้องฝึกการแสดงต่างๆ ลำบาก อดอยาก อดทน ตั้งแต่อายุไม่ถึง 8 ขวบ และต้องฝึกฝนการแสดงต่างๆ อีกเป็นเวลา 10 ปี แล้วเป็นตัวประกอบ ฉะนั้น หากพวกเราใช้ความพยายามทำอะไร แค่ 2-3 ปี หรือ 6-7 ปี ความสำเร็จย่อมห่างไกลเป็นอันมากเมื่อเปรียบเทียบกับ เฉินหลง มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนไปถาม เฉินหลงว่า เคล็ดลับแห่งความสำเร็จของคุณคืออะไร เฉินหลงตอบกลับไปว่า “ คือความพยายาม”
- วอลท์ ดีสนีย์ ราชา การ์ตูน วอลท์ ดีสนีย์ เขามีนิสัยชอบวาดภาพตั้งแต่เด็ก เมื่อ 5 ขวบ เขาเข้า
เรียนวิชาศิลปะในโรงเรียนเมืองชิคาโก กลางคืนก็ยังศึกษางานศิลปะ ต่อมาเขามีความฝันอยากทำหนังการ์ตูน จึงตั้งบริษัทสร้างหนังการ์ตูนขึ้น แต่ปรากฏว่าถูกพนักงานยักยอกเงินแล้วหลบหนีไป ทำให้เขาประสบปัญหาทางการเงินจนล้มละลาย
ต่อมาเขาได้หาเงินชำระหนี้หมด ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแค่ กล้องถ่ายรูปตัวเดียว หลังจากนั้นเขาขอเช่าโรงรถของคุณอาเป็นที่ทำงาน และหยิบยืมเงินจากคุณอาและพี่ชายของเขาอีก 750 เหรียญสหรัฐ แล้วเขาก็ทำตามความฝัน ทำหนังการ์ตูนเรื่องแรกชื่อว่า “อลิซในแดนมหัศจรรย์” ขายได้เงิน 1,500 เหรียญ หักต้นทุน 750 เหรียญ เขาจึงได้กำไรจากการทำหนังเรื่องแรก 750 เหรียญ
ต่อมาเขาจึงผลิต ตัว มิดกี้ เม้าส์ และได้สร้างหนังการ์ตูนขึ้นมาอีกมากมาย ต่อมาได้ขยายกิจการไปทำสวนสนุกและสถานีโทรทัศน์
สำหรับแง่คิดที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จคือ “ ทำในสิ่งที่รัก ” เขาผลิตผลงานทุกชิ้นจากความรัก เขาได้เดินตามความกระหายของเขา เขาไม่ได้หมกมุ่นเรื่องเงินทอง แต่เขาหมกมุ่นในเรื่องที่เขากระหายอยากที่จะทำ เพราะเขาเชื่อว่า “ ความกระหายที่อยากจะทำ คือ พลังอำนาจ ”
จงกล้าที่จะฝัน จงกล้าที่จะล้มเหลว เพราะคนที่ไม่เคยล้มเหลวมาก่อน มักจะไม่ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

...
  
ยกระดับบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
เมื่อวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2553 กระผมได้มีโอกาสเข้าร่วมเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อยกระดับบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ ณ ห้องประชุมเวียงพนา โรงแรมลำปางเวียงทอง อ.เมือง จ.ลำปาง จัดโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(มพบ.)ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) โดยจัดทั้งหมด 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลางและตะวันออก ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้
สำหรับเวทีที่กระผมเข้าร่วมเป็นเวทีที่จัดในส่วนของภาคเหนือ มีผู้เข้าร่วมเป็นนักวิชาการ หน่วยงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคทั้งภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชน เครือข่ายผู้บริโภคและประชาชนใน 8 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ
ในวันแรก ได้มีภาคบรรยายและการแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ในเรื่อง “ สถานการณ์ความไม่ปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะและเกร็ดความรู้ของกระบวนการสืบสวนสอบสวนอุบัติเหตุที่ควรรู้” โดย ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี และ การนำเสนอข้อมูลโครงสร้างรูปแบบการประกอบการโดยสารสาธารณะของประเทศไทย โดย ดร.สุเมธ องกิตติกุล สำหรับวันที่สอง ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องบริการและสถาการณ์ความไม่ปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ โดยนายอิฐบุรณ์ อ้นวงษา และ นางสาวสวนีย์ ฉ่ำเฉลี่ยว
จากเวทีดังกล่าวทำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับข้อมูลต่างๆ มากขึ้นอีกทั้งผู้เข้าร่วมได้เสนอความคิดเห็นเพื่อเติมเต็มในเรื่องดังกล่าวข้างต้น
สำหรับความคิดเห็นของกระผมคิดว่าเรื่องของการบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะถ้าเทียบจากอดีตกระผมคิดว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และถ้าเทียบกับหลายประเทศในประเทศเพื่อนบ้านเราดีกว่าหลายประเทศ แต่ถ้าหากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว ยังอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ประเทศไทยของเราก็คงเทียบในเรื่องการบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะนั้นคงยาก
ด้านอุบัติเหตุที่ปรากฏเป็นข่าว เมื่อเดือนมีนาคม 52 – กรกฏาคม 53 (1 ปี 4 เดือน) ในรถประเภทต่างๆ อุบัติเหตุจำนวน 260 ครั้ง จำนวนผู้ประสบภัย 2,139 คน บาดเจ็บ 1,988 คน เสียชีวิต 151 คน กระผมคิดว่าเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ซึ่งอุบัติเหตุดังกล่าวมีปัจจัยมาจาก คนขับรถโดยสาร สภาพรถโดยสารที่ไม่มั่นคงปลอดภัย(ล้อรถไม่มีดอกยาง รถมีการดัดแปลง มีความไม่แข็งแรง) สภาพถนนต่างๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ
ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจเนื่องจากการสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการเสียค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ , ภาระค่ารักษาที่มากกว่าเงินประกันภัยที่ได้รับ , การเสียโอกาสในการเดินทางและการทำงานในอนาคต และ สภาพจิตใจที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟู
สำหรับเรื่องของสภาพรถโดยสาร บางคัน ผมเคยเห็นบางคัน ไม่น่าจะมาเป็นรถโดยสารได้ เนื่องจากสภาพรถที่ไม่มั่นคงปลอดภัย แต่ก็มีรถหลายคันยังสามารถขับขี่บนท้องถนนได้ ถึงแม้จะมีการตรวจสภาพจากหน่วยงานที่รับผิดชอบมาแล้วก็ตาม กระผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด
ด้านสถานีขนส่งหลายจังหวัดมีสภาพคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ สภาพห้องน้ำที่มีกลิ่นเหม็น แถมบางแห่งยังมีการเก็บค่าเข้าห้องน้ำอีกต่างหาก สภาพถนนที่มีสภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ
ส่วนบริษัทประกันภัย ก็ได้เสนอจ่ายเงินค่าชดเชยหรือผลของการเยียวยา จำนวนน้อยกว่าค่าใช้จ่ายจริงในการเกิดอุบัติเหตุ จนต้องมีการฟ้องร้องและไกล่เกลี่ยเจรจากัน หลังฟ้อง เช่น กรณีนางสาวคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บใบหน้าฟกช้ำ เลือดคั่งในสมอง บริษัทประกันภัยได้เสนอจ่าย 4,700 บาท ตกลงกันไม่ได้กับผู้เสียหาย จึงฟ้องร้องในขั้นเจรจาไกล่เกลี่ยหลังฟ้องเป็นคดีได้รับเงิน 50,000 บาท
สุดท้ายนี้ กระผมขอฝากท่านผู้อ่านในเรื่อง สิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ 10 ประการ ตามสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้
1.สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพเกี่ยวกับบริการรถโดยสาร รวมทั้งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ที่ถูกต้องเป็นจริงครบถ้วน เพียงพอต่อการตัดสินใจใช้บริการ
2.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในด้านสัญญา และราคาค่าบริการ
3.ผู้โดยสารมีอิสระในการเลือกใช้บริการด้วยความสมัครใจ และปราศจากการชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม
4.สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในทุกๆ ด้านจากการใช้บริการรถโดยสาร
5.สิทธิที่จะได้รับการบริการจากรถโดยสารและผู้ให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน
6.สิทธิในการร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อให้ผู้ให้บริการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหา เยียวยา หรือชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น
7.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายจากการประกันภัยโดยไม่มีการประวิงเวลา หรือบังคับให้ประนีประนอมยอมความ
8.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายทั้งทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและสิทธิอื่นๆ ที่ถูกละเมิด
9.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายด้วยหลักแห่งพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
10.สิทธิที่จะรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนและของผู้อื่น








...
  
คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
085-0294726
ก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับการประชุม ป.ป.ช.โลกครั้งที่ 14 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 พฤศจิกายน 2553 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในการจัดงานครั้งนี้ประเทศไทยได้รับเป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ คืนความเชื่อมั่น : ทั่วโลกโปร่งใส สู้ภัยทุจริต ” โดยในวันแรกมี นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.และประธานสภาหอการค้า ลงนามแถลงการณ์ร่วมในการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐ ต่อหน้าผู้มาประชุมเกือบ 1,000 คน อันได้แก่ ผู้นำโลก นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวของกลุ่มพัฒนาองค์กรจาก 113 ประเทศ
ความจริงถ้าพูดถึงเรื่องของการคอร์รัปชั่นในเมืองไทยนั้น มีมาช้านานแล้ว จนกระทั้งบางหน่วยงาน บางองค์กรและคนของหน่วยงาน รวมทั้งประชาชนบางส่วน ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเลยก็มี จนมีคนกล่าวว่าประเทศไทยติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่ทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดในภูมิภาคและในโลก
ดังผลสำรวจความคิดเห็นของ สำนักวิจัยเอแบคโพล เมื่อเดือนตุลาคม พบตัวเลขที่น่าตกใจว่าคนไทยเห็นว่ารัฐบาล “ โกงก็ไม่เป็นไร ” มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 63.2 เมื่อปี 2551 เพิ่มเป็นร้อยละ 76.1 ในปีนี้
ความจริงการทุจริตในเมืองไทยเกิดขึ้นจากคนสามกลุ่มใหญ่ๆ คือ ข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ การทุจริตที่เห็นได้ชัดเจนเพราะมีผลประโยชน์มาก ส่วนใหญ่เป็นการโกงจากการก่อสร้างโครงการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น ตึก อาคาร ถนน ฯลฯ ปีๆหนึ่งประชาชนผู้ที่ต้องเสียภาษี ต้องถูกโกงจากบุคคลสามฝ่ายไปปีละประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท อีกทั้งการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐบางแห่งมีการทุจริตได้เปอร์เซ็นต์จากการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่พวกเราคงได้เห็นกันตามสื่อต่างๆ
ถามว่าถ้าหากพวกเราสามารถแก้ไขปัญหาเงินที่ถูกโกงไปได้ เราก็สามารถใช้เงินเหล่านี้ไปพัฒนาประเทศชาติได้มากยิ่งขึ้น เช่น เราสามารถสร้าง โรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เราสามารถจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้น เราสามารถสร้างโรงเรียน หรือให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนของเราได้อีกมากมาย
ถามว่าเราสามารถจะแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นในประเทศได้ไหม ในความคิดเห็นของกระผมแก้ได้ ถ้าหาก รัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศเอาจริงเอาจังในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งบทลงโทษทางกฎหมายต้องมีความรุนแรง และมีผลบังคับกันอย่างจริงจัง อีกทั้งรัฐบาลต้องสร้างจิตสำนึกแก่ ข้าราชการ นักธุรกิจและนักการเมือง ไปพร้อมๆกัน
แต่หากดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว รัฐบาลชุดนี้ ยังมีข่าวเรื่องของคอร์รัปชั่นตามสื่อต่างๆ อีกทั้งมีบุคคลหลายฝ่ายออกมาพูดถึงเรื่องของการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลกันอยู่ ซึ่งตามความเป็นจริงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคอร์รัปชั่นก็คือ คนที่มีอำนาจในบ้านเมืองนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองในตำแหน่งสำคัญทางการเมือง นักธุรกิจระดับประเทศที่มักจะมีข่าวเรื่องของผลประโยชน์ต่างๆ จากนโยบายของภาครัฐ ข้าราชการหรือนักบริหารในภาครัฐ ที่คุมค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ
ผมเองได้มีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ เจอเด็กหญิงดวงดี แซ่ลี้ หรือ น้องหนิง ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า “หนูเริ่มทำความดีจากการให้เพื่อนยืมของ เช่น ดินสอ ยางลบ ไม่พูดโกหกและยังช่วยเก็บขยะที่มีคนทิ้งเรี่ยราดในบริเวณโรงเรียน สิ่งที่คุณครูสอนและความรู้ที่ได้ทำกิจกรรมทำให้เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ มีครั้งหนึ่งคุณครูเคยทดสอบพวกหนูด้วยการทำกระเป๋าเงินหล่นหาย แล้วหนูก็เก็บไปคืนและประกาศหาเจ้าของจนเจอ ทำให้ได้รับคำชมและรู้สึกดีใจที่ได้ทำความดี ”
จากข้อความข้างต้น ที่เด็กหญิงดวงดี แซ่ลี้หรือน้องหนิง ได้กล่าว ผมรู้สึกอายแทนผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางคนได้ร่วมมือกันเพื่อโกงกินเงินของภาครัฐ ถามว่าจิตสำนึกของตนอยู่ไหน หากเปรียบเทียบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
หรือว่าประเทศชาติ บ้านเมืองเรา มีการบังคับใช้กฎหมายหรือการปฏิบัติ สองมาตรฐานจริง ข่าวการที่ชาวบ้านบุกรุกที่ทำกินหรือแม่ลูกอ่อนขโมยนมเพื่อเลี้ยงลูกต้องถูกจับถูกลงโทษ แต่ในทางกลับกันบุคคลที่มีอำนาจ ร่ำรวยกับไม่ถูกลงโทษ ทั้งๆที่บุคคลที่มีอำนาจบางคนบุกรุกป่า บุกรุกภูเขา โกงกินคอร์รัปชั่นแต่ยังสามารถยิ้มแย้มแจ่มใสและได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนในสังคม





...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.