หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ประโยชน์ของการเขียนมีมากกว่าที่คุณคิด
ประโยชน์ของการเขียนมีมากกว่าที่คุณคิด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อพูดถึงเรื่องประโยชน์ของการเขียนหลายๆ ท่าน คงคิดว่าประโยชน์ของการเขียน สามารถเป็นอาชีพได้ ทำรายได้ได้ ทำให้มีชื่อเสียง แต่แท้ที่จริงแล้ว ประโยชน์ของการเขียนนั้นมีมากมาย
การเขียนสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้ เพราะการเขียน เป็นกระบวนการเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ของผู้เขียนให้เป็นตัวอักษรเพื่อนำมาถ่ายทอดให้แก่ผู้อ่าน ฉะนั้นคนที่เขียนหนังสือทุกๆวัน อย่างสม่ำเสมอจะทำให้รู้จักตัวตนของตนเอง ว่าตนเองต้องการอะไรในชีวิต เมื่อค้นหาตัวตนเจอก็จะทำให้ผู้เขียนเกิดความสุขใจ สงบใจ และยิ่งเขียนมากขึ้นผู้เขียนก็จะพบปัญญาที่มีอยู่ในตัวของผู้เขียนเอง
การเขียนช่วยให้ท่านไม่ลืม ความจำมีประโยชน์ก็จริงอยู่ แต่มนุษย์ไม่สามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตของตนเองได้ การเขียนจะช่วยให้มนุษย์เราเกิดความจำขึ้น การเขียนจึงมีความสำคัญต่อความจำ เพราะหากไม่ได้เขียนหรือบันทึกไว้ มนุษย์เราก็มักจะลืมสิ่งต่างๆ ไป
การเขียนมีประสิทธิภาพมากกว่าการพูดในบางสถานการณ์ พวกเราตอนเด็กๆ หรือตอนอบรม คงมักเคยได้เล่นเกมส์การสื่อสาร ซึ่งผู้กำหนดเกมส์ มักแบ่งผู้เล่นออกมามากกว่า 2 กลุ่ม แล้วให้แข่งขันกัน โดยให้ผู้เล่นคนที่หนึ่งอ่านข้อความซึ่งเป็นประโยคที่เมื่ออ่านแล้วผู้อ่านเกิดความสับสน เป็นประโยคที่มักจะเล่นคำ แล้วให้ผู้เล่นคนที่หนึ่งกระซิบคนต่อๆไป จนถึงคนสุดท้าย ผลออกมาคือ ประโยคที่ให้อ่านเกิดความผิดพลาดไม่เหมือนเดิม แต่ในทางกลับกัน หากว่า ผู้กำหนดเกมส์ให้ผู้เล่นทุกคนได้อ่านข้อความประโยคนั้น โดยส่งจากคนที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ไปจนถึงคนสุดท้ายให้อ่านข้อความประโยคนั้น ความผิดพลาดจะน้อยลง
การเขียนทำให้เกิดความอิสระขึ้นในการใช้ชีวิต หลายอาชีพมักจะต้องมี กฎ ระเบียบ ข้อจำกัดทางด้านเวลา แต่อาชีพนักเขียน จะทำให้เราไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับสิ่งเหล่านี้ เช่น ไม่ต้องแต่งตัวให้ยุ่งยาก ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืด นุ่งผ้าขาวม้า คุณก็สามารถประกอบอาชีพนี้ได้ อีกทั้งไม่มีเงื่อนเวลา คุณจะทำงานเขียนกี่โมงก็ได้ แล้วแต่นักเขียนแต่ละคนจะเป็นผู้กำหนดเวลาดังกล่าว
การเขียนทำให้ประเทศเกิดการพัฒนา ก้าวหน้าขึ้น การเขียนจะช่วยให้ประชาชนในประเทศนั้นๆ มีนิสัยในการรักการอ่าน รักการเรียนรู้ มากขึ้น เมื่อประชาชนรักการอ่าน ก็จะทำให้เกิดความคิด ปัญญา มันสมอง ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้นสืบไป
การเขียนช่วยในการจัดการองค์ความรู้ สังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบพูด ชอบฟัง มากกว่าการชอบอ่าน ชอบเขียน แต่แท้ที่จริงแล้วประเทศที่เขาพัฒนาอย่างสหรัฐอเมริกา สังคมเขาจะมีนักคิด นักเขียน อยู่มาก กระผมเองได้มีโอกาสไปทำงานวิจัย และต้องสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ หาเอกสารต่างๆ แต่ปรากฏว่า บุคคลที่ต้องสัมภาษณ์ได้เสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งเมื่อขอข้อมูลเอกสารต่างๆ จากญาตผู้ตาย ก็ไม่มีให้ ดังนั้น หากสังคมไทยในอดีต มีการเขียน มีการจดบันทึก มีการจัดการองค์ความรู้ ก็จะทำให้ผมมีเอกสารไปทำงานวิจัย ไปวิเคราะห์ สังเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น แต่ประเทศอเมริกา เขามีคนเขียนมากทำให้มีการต่อยอดองค์ความรู้ นักวิจัยของเขาสามารถไปหาอ่านงานเขียนของผู้ที่จะต้องสัมภาษณ์ นำมาเป็นข้อมูลได้ ถึงแม้บุคคลนั้นจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม
ดังนั้น การเขียนมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด ในอดีตมีคนบอกว่า นักเขียนไส้แห้ง แต่ปัจจุบันความคิดนี้อาจต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะ การเป็นนักเขียนที่ดี ที่เก่ง อาจสร้างตัวได้ถึงขั้นเป็น “ มหาเศรษฐี” ไปเลยก็มีให้เห็นแล้ว เช่น เจ.เค.โรว์ลิ่ง นักเขียนเจ้าของผลงาน “ แฮร์รี่ พอตเตอร์” หรือ คุณสมคิด ลวางกูร นักเขียนชาวไทยที่ร่ำรวยเงินทอง มีบ้าน มีรถ มีเงินมากมาย ก็จากงานด้านการเขียนหนังสือ จนคุณสมคิด ลวางกูร ต้องจัดอบรมในหัวข้อ “ สร้าง 100 ล้านจากการเขียนหนังสือ”
ถ้าไม่ได้เป็นนักอ่าน ไม่ควรคิดเป็นนักเขียน และหากเป็นนักเขียน ก็ควรเขียนเพื่อพัฒนาสังคม

...
  
พัฒนาตนเองด้วยมิติ “ การจัดการ PDCA”
พัฒนาตนเองด้วยมิติ “ การจัดการ PDCA”
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเราเกิดมาอาจไม่เท่าเทียมกันในเรื่องของชาติกำเนิด แต่คนเราทุกๆคนสามารถเลือกที่จะพัฒนาตนเองได้
คนเราจะมีความก้าวหน้าในชีวิต ก้าวหน้าในที่ทำงาน คนๆนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาตนเอง เพราะการพัฒนาตนเองจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างที่นิสัยที่ดีไปทดแทนนิสัยที่ไม่ดีของตนเอง เช่น การสร้างนิสัยที่มีความขยันขันแข็งไปทดแทนนิสัยที่ขี้เกียจ , การสร้างนิสัยความเป็นผู้ดีไปทดแทนนิสัยที่ต่ำทรามของตน , การสร้างนิสัยความเสมอต้นเสมอปลายไปทดแทนนิสัยที่จับจดโลเล เป็นต้น
ในบทความฉบับนี้ กระผมขอพูดเรื่อง “ พัฒนาตนเองด้วยมิติ การจัดการ PDCA ”
สำหรับหลักความคิด PDCA เกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามในขณะนั้นเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งประเทศที่ให้ความช่วยเหลือญี่ปุ่น คือประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งคนเข้าไปช่วยเหลือให้คำแนะนำปรึกษาซึ่งบุคคลดังกล่าวคือ DR.Deming ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องคุณภาพ ซึ่ง Dr.Deming ได้คิดค้น วงจรการบริหารงานแบบ PDCA ซึ่งเป็นการบริหารแบบเรียบง่ายโดยการควบคุมคุณภาพการผลิตสินค้าที่มีมากอย่างประสิทธิภาพ ซึ่งหลัก PDCA มีดังนี้
P (Planning) การวางแผน เป็นกิจกรรมลำดับแรก ที่ต้องกำหนดเพื่อไปสู่เป้าหมาย ตัวอย่างเช่น หากว่าเราต้องการพัฒนาตนเองในด้านความขยันขันแข็ง เราจำเป็นจะต้องวางแผนการใช้เวลาในชีวิตของเราเพื่อให้ทุกนาทีเกิดประโยชน์มากที่สุด เช่น วางแผนการทำงานในแต่ละวัน แบ่งเวลาสำหรับการพักผ่อน ออกกำลังกาย เวลาสำหรับครอบครัว เป็นต้น
การวางแผนจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆ ในการทำงานต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่การพัฒนาตนเอง ดังนั้นหากท่านต้องการพัฒนาตนเอง หากท่านต้องการเปลี่ยนแปลงตนเอง จงเริ่มสำรวจตัวเองว่า สิ่งไหนที่ท่านต้องการพัฒนาตนเองเป็นอันดับแรกๆ แล้วเริ่มวางแผนการเป็นรายวัน รายเดือน รายปี เพื่อนำไปสู่การพัฒนาตนเอง
D (Do) การลงมือทำ การปฏิบัติตามแผน เมื่อมีการวางแผนงานแล้ว แต่ขาดซึ่งการลงมือทำ แผนที่วางเอาไว้ก็นิ่งสนิท ดังนั้น การลงมือทำจึงเป็นสิ่งที่ทำให้แผนการที่วางเอาไว้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมา คนที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาตนเอง จะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าๆ เขาจะไม่เป็นคนที่รอคอยโชคชะตา แต่เขาจะเป็นคนกำหนดโชคชะตาของตนเอง ด้วยการลงมือ “ ทำทันที หรือ ททท.” โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เพราะคนที่ประสบความสำเร็จทุกคน ไม่ใช่เป็นแต่คนที่มีความคิดดีๆ แต่ไม่ยอมลงมือกระทำ แต่เขาจะตัดสินใจทำทันที เพราะการลงมือกระทำ เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
C (Check) ตรวจสอบและประเมินตนเอง เมื่อเราลงมือกระทำตามแผนการที่วางเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป เราต้องมีการตรวจสอบและประเมินตนเอง ตามแผนที่วางไว้ ว่าสิ่งที่เราทำนั้น ได้กระทำตามแผนหรือไม่ หรือ มีสิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ
A (Action) การปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา เมื่อมีการตรวจสอบและประเมินตนเองแล้ว เราควรหาวิธีการในการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา สิ่งที่เราได้ทำเอาไว้ โดยการนำเอา C (Check) มาตรวจสอบปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น
ดังนั้น หากต้องการพัฒนาตนเองด้วยมิติ “ การจัดการ” PDCA เราคงต้องมีการกระทำอย่างจริงจัง และควรทำในลักษณะเป็นวงจรกล่าวคือ PDCA แล้วไปยัง PDCA แล้วไปยัง PDCA อีกหลายรอบ ควรทำเป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ควรทำแค่รอบเดียว และหลักการ PDCA ยังนำไปใช้ได้ในเรื่องของ การบริหารต่างๆ อีกด้วย เช่น การบริหารงานผลิต , การบริหารงานเขียน , งานบริหารงานบุคคลและการบริหารและพัฒนาตนเองอีกด้วย
หากว่าคุณมีความปรารถนาจะสร้างความสำเร็จ การพัฒนาตนเองด้วยมิติ “ การจัดการ PDCA ” ช่วยท่านได้
...
  
จงยกระดับงานเขียน
จงยกระดับงานเขียนให้เป็นดั่งมืออาชีพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อท่านเขียนหนังสือไปสักระยะ ท่านควรพัฒนาตนเองให้เป็นมืออาชีพ เพราะการพัฒนาตนเองให้เป็นนักเขียนมืออาชีพจะทำให้ท่านเกิด รายได้มากขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้น ซึ่งการพัฒนาตนเองให้เป็นมืออาชีพ ท่านสามารถพัฒนาได้ดังนี้
1.ท่านต้องมีวินัยในตัวเอง นักเขียนใหม่ๆมักจะไม่มีวินัยในตนเอง อยากจะเขียนก็เขียน เมื่อไม่มีอารมณ์เขียนก็ไม่เขียน บางวันเขียน บางวันไม่เขียน จึงทำให้ผลงานการเขียนของนักเขียนท่านนั้นออกมาอย่างไม่สม่ำเสมอ หากเป็นไปได้ท่านควรจัดสรรเวลาแต่ละวันสำหรับเขียน เมื่อท่านเขียนทุกๆวัน จนเป็นนิสัย การเขียนก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
2.พัฒนาตนเองให้เขียนได้หลายแนวขึ้น แน่นอนในการเขียน หากจะให้ง่ายเราควรเขียนในเรื่องที่เรามีความรู้ มีความถนัด แต่หากท่านต้องการเป็นมืออาชีพ ท่านจะต้องหัดเขียนในแนวอื่นๆด้วย การเขียนหลายๆแนวจะทำให้ท่านมีฐานลูกค้ามากขึ้น การเขียนหนังสือหลายๆแนว จะทำให้ท่านมีความรู้ที่แตกฉานมากขึ้น
3.ทำงานได้ในหลายสถานที่ นักเขียนมืออาชีพต้องมีความพร้อมในการเขียนทุกสถานที่ เนื่องจากในยุคปัจจุบัน นักเขียนหลายๆท่านต้องถูกเชิญให้ไปพูดไปบรรยายไปให้ความรู้ยังสถานที่ต่างๆ ดังนั้น นักเขียนจะต้องออกเดินทางและมีการเข้าพักตามโรงแรมต่างๆ สถานที่ทำงานของนักเขียนจึงไม่ใช่ห้องทำงานเสมอไป นักเขียนมืออาชีพจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงาน
4.รู้จักใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ นักเขียนมืออาชีพ ควรเรียนรู้และรู้จักใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำงานเช่น รู้จักใช้คอมพิวเตอร์ รู้จักหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ต รู้จักใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆในการทำงาน ยิ่งเป็นสมัยยุคปัจจุบัน ท่านไม่จำเป็นต้องหอบหนังสือเป็น 1,000 เล่ม ไปไหนต่อไหน ท่านสามารถอ่านหนังสือได้โดยผ่านระบบ E-book โดยดูได้จากคอมพิวเตอร์
5.เรียนรู้หลักการตลาด นักเขียนบางท่านเขียนหนังสือได้ดีมาก แต่หนังสือเหล่านั้นขายแทบไม่ได้ แต่ตรงกันข้ามกับนักเขียนอีกหลายๆคน ที่เขียนหนังสือได้ดีน้อยกว่า แต่สามารถขายหนังสือได้มากกว่า ดังนั้นหากต้องการเขียนหนังสือให้ขายดี นักเขียนคงต้องเรียนรู้หลักการตลาดให้มากขึ้น เพราะผู้อ่านก็คือลูกค้า เราจะเขียนหรือผลิตสินค้าอย่างไรให้ลูกค้าหรือผู้อ่านของเราพอใจ จึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษา
6.รักษาความสม่ำเสมอ นักเขียนมืออาชีพ ควรรักษาความสม่ำเสมอของตนเอง เช่น มีผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ , งานเขียนออกมาได้มาตรฐานของตนเองสม่ำเสมอ , การกำหนดรูปเล่ม การจัดหน้าหนังสือ การสะกดคำต้องออกมาดี ไม่ผิดพลาดมาก เป็นต้น
7.รู้จักพัฒนาตนเองตลอดเวลา ข้อนี้มีความสำคัญมาก เพราะหากต้องการเป็นมืออาชีพ เราจะต้องมีการพัฒนาการเขียนอยู่ตลอดเวลา เราต้องอ่านหนังสือให้มาก เขียนให้มาก คิดให้มาก อีกทั้งต้องคอยปรับปรุง รูปเล่ม การจัดหน้า ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ ดังนั้น หากต้องการเป็นนักเขียนมืออาชีพ ท่านจะต้องไม่อยู่นิ่ง ท่านจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองในการพัฒนาตนเองเสมอ
ดังนั้น หากท่านปฏิบัติได้ตามคำแนะนำข้างต้น กระผมเชื่อแน่ว่า ท่านจะเป็นนักเขียนมืออาชีพอย่างแน่นอน ขอให้ท่านพบความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียนมืออาชีพ
...
  
พัฒนาตนเอง 5 ส. สู่ความสำเร็จ
พัฒนาตนเอง 5 ส. สู่ความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเป็นจำนวนมากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต คนเป็นจำนวนมากต้องการเงินเดือนที่สูงขึ้น คนเป็นจำนวนมากต้องการความก้าวหน้าในที่ทำงาน แต่คนส่วนใหญ่มักมองแต่สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ต้องการเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ , ต้องการเจ้านายใหม่ , ต้องการเปลี่ยนห้องทำงานใหม่ ฯลฯ แต่ความจริงแล้ว หากว่าเราต้องการประสบความสำเร็จ เราต้องเริ่มต้นจากภายในตัวเราก่อน
เริ่มจากการพัฒนาตนเอง สมมุติว่านาย A ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่ แต่หากว่านาย A ต้องการเป็น อาจารย์มหาวิทยาลัยแบบนาย B นาย A จึงต้องไปดูว่าคุณสมบัติของความเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร เช่น ต้องมีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาโท , ต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดทั้งการพูด การสอนและการเขียน, ต้องมีจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพความเป็นอาจารย์ เป็นต้น
จากตัวอย่างข้างต้น หากว่า นาย A ต้องการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย นาย A จึงต้องเริ่มต้นพัฒนาตนเอง ด้วย การไปเรียนต่อในระดับปริญญาโท , ต้องไปเรียนการพูด การเขียน การสื่อสาร เป็นต้น
ดังนั้นการพัฒนาตนเองจึงเป็นส่วนสำคัญในชีวิตการทำงาน ซึ่งเราจำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองหลายๆด้านด้วยกัน ในบทความนี้ขอพูดเรื่อง “ พัฒนาตนเอง 5 ส. สู่ความสำเร็จ ”
ส.ที่ 1 สมอง คนที่ร่ำรวย คนที่มีหน้าที่การงานดี คนๆนั้นมักมีมันสมองที่ดี ฉลาด การพัฒนาสมองจึงเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาตนเองไปสู่ความสำเร็จ เพราะการจะแก้ไขปัญหาต่างๆ เรามักสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยกันหลายทาง แต่คนที่มีมันสมองที่ฉลาด มักใช้ความคิด และการตัดสินใจที่ดีกว่าคนที่มีมันสมองที่ไม่ดี
ส.ที่ 2 สัมพันธ์ การพัฒนาความสัมพันธ์ในการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่า ในการทำงานทุกแห่งเรามักทำงานร่วมกันกับคนอื่น การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝน ศึกษา
ส.ที่ 3 สติ การทำงานทุกประเภท บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีสติ ไม่เป็นคนที่ใจลอยหรือเป็นคนที่ขาดสติ คนที่มีสติ มักทำงานได้รอบคอบกว่าคนที่ไม่มีสติ คนที่มีสติ มักทำงานได้ผิดพลาดน้อยกว่าคนที่ขาดสติ
ส.ที่ 4 สง่า บุคลิกภาพ ความสง่า มีส่วนสำคัญที่สร้างความประทับใจเริ่มแรกในการพบปะกัน การแต่งกาย ทรงผม หน้าตา ตลอดจนการรักษารูปร่าง จึงเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
ส.ที่ 5 สัจจะ บุคคลที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่เคารพ นับถือ มักเป็นคนที่ใช้คำพูด ใช้วาจา ที่ดี เป็นคนที่รักษาคำมั่นสัญญา เป็นคนที่พูดจาอ่อนหวาน สุภาพ ดังนั้นบุคคลที่ต้องการประสบความสำหรับควรที่จะต้องมีการฝึกฝนและพัฒนา ปรับปรุง คำพูด
ดังนั้นบุคคลที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่ต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และหากว่าเราลองสังเกตดูคนรอบข้างเราก็จะมีอยู่ 2 ประเภท กล่าวคือคนที่ประสบความล้มเหลว มักเป็นคนที่คิดลบอยู่เสมอ มักเป็นคนที่ฝากชีวิตไว้กับคนอื่น มักเป็นคนที่มีข้ออ้างตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับคนอีกประเภทหนึ่ง ก็คือคนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่คิดบวก มักเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง มักเป็นคนที่พัฒนาตนเอง ตลอดเวลา
แล้วคุณต้องการเป็นคนประเภทไหน เพราะถ้าหากว่าคุณต้องการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ขอให้คุณจงรีบพัฒนาตนเองตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ถ้าหากว่าท่านคิดว่าตนเอง พัฒนาตนเองได้ ท่านก็จะพัฒนาตนเองได้ แต่ถ้าหากว่าท่านคิดว่าท่านไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ ท่านก็มักจะเป็นไปตามความคิดของท่าน
...
  
ABCD กับการเขียน
ABCD กับการเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในการเขียนหนังสือที่ดี มีคุณภาพ น่าอ่าน ขายดี เราควรคำนึงถึงลักษณะ ABCD ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
A : Attention คือ การสร้างความสนใจ การใช้ภาษาในการเขียนมีส่วนที่จะทำให้ผู้อ่านเกิดความสนใจ อีกทั้งการใช้ภาษาที่ดียังสามารถโน้มน้าวใจผู้อ่าน ให้อ่านหนังสือจนจบเล่มได้ การออกแบบรูปเล่มก็มีความสำคัญ การใช้สีปกต้องโดดเด่น สามารถหยุดผู้อ่าน ทำให้ผู้อ่านสนใจ อยากหยิบขึ้นมาอ่านได้ ชื่อหนังสือต้องดึงดูด สั้นกระชับได้ใจความ พอผู้อ่านเห็นชื่อแล้ว อยากที่จะอ่าน ตัวอย่างเช่น การพาดหัวตัวใหญ่ หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ ปกหลังต้องมีข้อความหรือรูปภาพเพื่อดึงดูด โดยมากมักจะนำเสนอเรื่องย่อ ภายในหนังสือ ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เป็นที่น่าสนใจแก่ผู้อ่านได้
B : Benefits คือ บอกประโยชน์จากการที่ได้รับคุณค่าจากอ่านหนังสือ บางคนอ่านหนังสือเรื่อง “ พ่อรวยสอนลูก” แล้วไม่ยอมวาง เนื่องมาจากข้อความในหนังสือมีประโยชน์และสามารถนำเอาไปใช้ได้ บางคนอ่านหนังสือ “ขายหัวเราะ” แล้วไม่ยอมวาง เนื่องจากได้รับประโยชน์จากข้อความภายในหนังสือ อ่านแล้วมีความสนุกสนาน คลายเครียด หรือบางคนป่วยเป็นโรค เมื่อได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการรักษาโรคต่างๆ แทบจะไม่วางหนังสือเล่มนั้น เนื่องจากว่าผู้อ่านได้รับประโยชน์จากการอ่านหนังสือเพื่อนำไปใช้รักษาสุขภาพของตนเอง
C : Creativity คือ มีการสร้างสรรค์ หนังสือที่ขายดีส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มักเป็นหนังสือที่มีการสร้างสรรค์ มีการสร้างความแปลกใหม่ ทั้งรูปปก เนื้อหาภายใน การจัดหน้าหนังสือ มีการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งมีการสร้างจุดเด่นใหม่ๆ ขึ้นมาในงานเขียน พูดง่ายว่า ต้องมีความโดดเด่น แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แตกต่าง
D : Demand คือ การคำนึงถึง ผู้อ่าน ความต้องการของผู้อ่านมีผลต่อการขายหนังสือได้ดี เราจะสังเกตเห็นว่าหนังสือบางเล่ม เขียนได้ดี แต่ยอดขายไม่ดี ซึ่งแตกต่างกับหนังสืออีกจำนวนหนึ่งที่ เขียนได้ดีน้อยกว่าแต่หนังสือเล่มดังกล่าวไปสนองความต้องการของผู้อ่าน จึงทำให้เกิดการขายดี หรือ นักเขียนบางคนถึงกับเขียนหนังสือตามกระแสไปเลย เช่น ประวัติของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ , ชีวประวัติของบุคคลที่โด่งดังในเมืองไทยซึ่งเป็นที่น่าสนใจของคนโดยทั่วไป เช่น ประวัติของเจ้าสัว เช่น เจ้าสัวธานินทร์ เจียรวนนท์(ซีพี) , เจ้าสัวเจริญ ศิริวัฒนภักดี(เบียร์ช้าง) , เจ้าสัวบรรฑูร ลำซำ(แบงค์กสิกรไทย) เป็นต้น
ดังนั้น คนที่ประสบความสำเร็จในการเขียนควรคำนึงถึงปัจจัย ABCD ข้างต้น เพราะ ปัจจัย ABCD เป็นปัจจัยตัวหนึ่งในหลายๆปัจจัยที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในการเขียน
“ จงเขียนให้มากๆ แล้วคุณจะประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียน”
...
  
การพัฒนาการบริการในหน่วยงานราชการ
การพัฒนาการบริการในหน่วยงานราชการ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
งานบริการเป็นงานที่ทุกหน่วยงานในปัจจุบันต่างให้ความสนใจและเอาใจใส่ ไม่ว่าจะเป็นห้างร้านบริษัท เอกชน ไม่เว้นแม้กระทั่งหน่วยงานราชการ ถึงแม้หน่วยงานราชการบางแห่งไม่มีคู่แข่งหรือผูกขาด ก็ยังให้ความสนใจในการอบรมเรื่องการให้บริการแก่ประชาชน เช่น สำนักงานที่ดินจังหวัดหลายแห่งได้เชิญกระผมไปเป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการให้บริการ
ซึ่งจากการวิจัยและสอบถามข้อมูลของประชาชน ประชาชนส่วนใหญ่อยากได้รับการบริการจากหน่วยงานราชการ ดังนี้
1. การพูดจา สุภาพ ไพเราะนิ่มนวล การพูดเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุน แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว บุคคลที่ทำงานราชการ ไม่ทราบว่าปริมาณงานอาจมาก บางคนอาจจะมีความเครียดในการทำงานหรือเบื่อการทำงานเนื่องจากทำงานมานาน จึงได้พูดจา หรือขาดสติ โดยพูดจา ที่ขาดการสุภาพและไม่มีความไพเราะ ซึ่งแตกต่างกับบริษัทเอกชนใหญ่ๆ ที่พนักงานต่างก็พูดจา สุภาพ ไพเราะกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานราชการบางแห่ง
2. การไม่ดูถูก เหยียดหยาม รังเกียจ ต้องยอมรับว่างานราชการส่วนใหญ่ต้องรับใช้หรือให้บริการแก่พี่น้องประชาชน ซึ่งประชาชนโดยเฉพาะต่างจังหวัดหลายแห่ง ที่อยู่ตามชนบทและอายุมากมักขาดการศึกษา บางคนอ่านหนังสือไม่ออก พูดจาก็ไม่ชัดและมีฐานะยากจน เลยทำให้ บุคคลที่ทำงานในหน่วยงานราชการ บางคน ดูถูก เหยียดหยาม รังเกียจ
3. ต้องการได้รับข้อมูลและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไปสอบถามคำถามต่างๆกับหน่วยงานราชการ ส่วนใหญ่มักขาดข้อมูล ดังนั้น เมื่อประชาชนมีปัญหาจึงคาดหวังว่าจะได้ข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้อง
4. แก้ไขปัญหา ประชาชนที่ไปรับการบริการของหน่วยงาน ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหา จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการช่วยแก้ปัญหาให้
5. ถูกปฏิเสธ หลายหน่วยงานเมื่อประชาชนไปขอความช่วยเหลือมักถูกปฏิเสธ เลยทำให้ประชาชนที่ถูกปฏิเสธมักไม่ชอบการบริการ ดังนั้น หากเป็นไปได้ ผู้ให้การบริการในหน่วยงานราชการไม่ควรรีบปฏิเสธโดยทันที แต่ควรมีทางเลือกให้ประชาชนได้นำไปปฏิบัติหรือแก้ไขปัญหาให้เบาบางลง
สำหรับหัวใจในการบริการที่ดีแก่พี่น้องประชาชนในหน่วยงานราชการ ควรปฏิบัติดังนี้
1. การอำนวยความสะดวก ควรให้บริการด้วยความสะดวก รวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก
2. ต้องช่วยเหลือ เร่งรัด อธิบายให้ความกระจ่าง แก่ผู้ใช้บริการ
3. กระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา ในการให้บริการ
4. ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้การต้อนรับขับสู้ในการให้บริการ
5. สำนึกว่า ลูกค้าหรือผู้รับบริการ คือผู้ที่มีบุญคุณหรือให้เราได้ทำงาน บางคนถึงกับพูดว่าลูกค้าคือพระเจ้า หรือ คำกล่าวว่า “Customer is the King” หรือ แม้แต่ มหาตมะ คานธี กล่าวว่า “ไม่ควรคิดว่าลูกค้าจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยธุรกิจเรา เราต่างหากที่ต้องพึ่งพาอาศัยลูกค้า
6. สร้างบรรยากาศให้มีความอบอุ่น สะดวก สบายในการให้บริการ
 ดังนั้นงานบริการจึงมีความสำคัญ ไม่เว้นแม้แต่หน่วยงานราชการ อีกทั้งการบริหารงานสมัยใหม่ มักให้ความสำคัญกับแนวคิดของการบริการ เช่น จาก Marketing สู่ Service , เน้นลูกค้าตลอดชีพ ไม่ใช่เพียงแค่ใช้บริการครั้งแรก , เน้นกระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มร่วมกับลูกค้า , การบริการจึงเป็นจุดขายของธุรกิจยุคใหม่
 เพราะ ความหายนะมักเกิดขึ้นกับการบริการที่ไม่ดี กล่าวคือมีผู้ทำการสำรวจว่า ลูกค้าไม่พอใจในบริการ 1 คน จะบอกต่อถึง 78 คน แต่ถ้าบริการดี ลูกค้าพอใจจะบอกต่อ 1 คน ต่อ10 คน และจะกลับมาใช้ใหม่35%




...
  
คุณประโยชน์ของการอ่าน คือ หน้าต่างแห่งโลกกว้าง
คุณประโยชน์ของการอ่าน คือ หน้าต่างแห่งโลกกว้าง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อวันที่ 27 กรกฏาคม 2555 กระผมได้มีโอกาสไปบรรยายให้ความรู้กับ เจ้าหน้าที่ พนักงาน ผู้บริหารของ องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ดอกคำใต้และ บุคลากรของ มหาวิทยาลัยพะเยาบางส่วน ในหัวข้อ “ คุณประโยชน์ของการอ่าน คือ หน้าต่างแห่งโลกกว้าง” จัด ณ ห้องประชุมใหญ่ ของ องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ดอกคำใต้ ในโอกาสนี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ กระผมจึงได้เขียนบทความฉบับนี้เพื่อเผยแพร่
เมื่อพูดถึงเรื่องการอ่านของสังคมไทย สังคมไทยมีนิสัยรักการอ่านโดยเฉลี่ยต่อคนน้อยมาก จากสถิติการอ่านหนังสือของคนไทยในปี 2554 ( อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2555 ) ประเทศเวียดนาม ประชาชนอ่านหนังสือเฉลี่ย 60 เล่ม ต่อปี , ประเทศสิงคโปร์ ประชาชนอ่านหนังสือเฉลี่ย 40-60 เล่มต่อปี และประเทศไทยของเรา ประชาชนอ่านหนังสือเพียง 2-5 เล่มต่อปีเท่านั้น
จากสถิติข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า คนไทยอ่านหนังสือน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เพราะธรรมชาติของคนไทยมีนิสัยที่ชอบพูด ชอบฟัง มากกว่า ชอบอ่าน ชอบเขียน อีกทั้งในสังคมโลกยุคปัจจุบันมีสื่อที่ทันสมัยอีกมากมาย จึงทำให้การอ่านของคนไทยยิ่งน้อยลง เช่น มี VCD DVD อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ได้เขียนในหนังสือของท่านว่า สังคมโลกแบ่งออกเป็น 5 ยุค ซึ่งประกอบไปด้วย ยุคที่ 1 ยุคของสังคมเกษตร คนที่มีที่ดินมากจึงถือว่าเป็นคนที่มั่งคั่งในยุคสังคมในสมัยนั้น ยุคที่ 2 ยุคสังคมอุตสาหกรรมเป็นยุคของการผลิต ใครผลิตได้มาก ใครตั้งโรงงาน ใครมีทุนมากถือว่าเป็นคนที่มั่งคั่ง ยุคที่ 3 เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร เป็นยุคของคนที่มีข้อมูลมากมักได้เปรียบคนมีข้อมูลน้อย ยุคที่ 4 เป็นยุคของความรู้ เป็นยุคที่ใครสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ได้คนนั้นได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ และยุคที่ 5 เป็นยุคของสังคมแห่งปัญญา กล่าวคือ ใครสามารถเอาความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาจะได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ
ดังนั้น การอ่านจึงมีความสำคัญอย่างมากในสังคมโลกยุคปัจจุบันและยุคอนาคต แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สังคมไทยและคนไทยยังให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยมาก
สำหรับคุณประโยชน์ของการอ่านนั้น มีมากมาย เช่น
1.การอ่านทำให้เกิดความคิด คนที่อ่านหนังสือมากมักจะเป็นนักคิด อีกทั้งการอ่านยังทำให้เราสามารถคิดใคร่ครวญมากกว่าการฟัง เพราะการฟังเราไม่สามารถหยุดฟังคนพูดได้ เราต้องฟังจนจบ แต่การอ่านหนังสือ เมื่อเราอ่านแล้วเกิดคำถาม หรือข้อสงสัย เราสามารถหยุดอ่านบรรทัดนั้นได้แล้ว คิดต่อว่าสิ่งที่เราอ่านนั้นใช่หรือไม่ใช่ เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ตามที่ผู้เขียนได้เขียนไว้
2.การอ่านช่วยในการสร้างสมาธิได้ดี คนที่อ่านหนังสือมักเป็นคนที่มีสมาธิ การอ่านจึงเป็นวิธีในการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง เป็นการฝึกสมาธิที่ได้ทั้งองค์ความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสารในเวลาเดียวกัน
3.การอ่านช่วยในการพัฒนาตนเอง คนที่อ่านหนังสือมากมักเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ ชอบที่จะพัฒนาตนเอง การอ่านจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาตนเองเพื่อให้เกิดทักษะต่างๆอย่างมากมาย
4.การอ่านช่วยให้เกิดการเพลิดเพลิน บางคนเมื่อทำงานเหนื่อย เกิดความเบื่อหน่ายในการทำงาน การอ่านหนังสือ ตลก หนังสือบันเทิง หนังสือนิยาย จะช่วยให้เกิดการเพลินเพลินได้อีกวิธีหนึ่ง
5.การอ่านช่วยในการสร้างแรงบันดาลใจ คนที่ประสบความสำเร็จมักชอบอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือทำให้เขาเกิดความคิด เกิดแรงบันดาลใจ เกิดความมานะที่จะต่อสู้สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะ การอ่านหนังสือประเภท ชีวประวัติบุคคลสำคัญของโลก
เมื่อเราเห็นประโยชน์ของการอ่านหนังสือแล้ว แต่ถามว่าทำไมคนไทยจึงไม่ชอบอ่านหนังสือ อาจเป็นเพราะ หลายคนคิดเรื่องเกี่ยวกับหนังสือไม่ถูกต้อง เช่น เมื่ออ่านหนังสือมากๆ กลัวถูกคนล้อว่า เป็น “ หนอนหนังสือ” หรือ “ อ่านหนังสือแล้วเครียด” อีกทั้งบรรยากาศในการอ่านก็มีส่วนช่วยในการอ่านหนังสืออีกด้วย การปรับปรุงห้องสมุด จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเป็นเครื่องมือในการช่วยให้คนไทยเกิดนิสัยรักการอ่านเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นคุณประโยชน์ของการอ่าน จึงเป็นการเปิดหน้าต่างให้เราพบโลกที่กว้างขึ้น เราสามารถรู้วัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่ เรื่องราวของประเทศต่างๆ ของคนอีกซีกโลกหนึ่งก็ด้วยการอ่าน จงอ่านหนังสือมากๆ แล้วชีวิตของท่านจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

...
  
การพูดต่อที่ชุมชน
การพูดต่อที่ชุมชน
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การพูดต่อที่ชุมชน มีความสำคัญต่อความเป็นผู้นำ ผู้บริหาร ตลอดจนผู้ที่ต้องการความก้าวหน้าในการทำงาน คนที่มีทักษะในการพูดต่อที่ชุมชนย่อมได้เปรียบคนที่ไม่มีทักษะในการพูดต่อที่ชุมชนหรือผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนการพูดต่อที่ชุมชน
หลายคนบอกว่าคนที่พูดเก่ง เขามักเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่กำเนิด เพราะความคิดดังกล่าว เลยไม่สนใจฝึกฝนการพูดต่อที่ชุมชน แต่สำหรับตัวกระผม กระผมยืนยัน นั่งยันและนอนยัน 1,000 % เลยครับว่า การพูดต่อที่ชุมชนฝึกฝนได้ และมีคนอีกจำนวนมากมายในโลกนี้ก็ได้ยืนยันเช่นกัน
แล้วจะทำอย่างไรถ้าต้องการ พูดต่อหน้าที่ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระผมขอแนะนำดังต่อไปนี้ครับ
1.ต้องมีเป้าหมาย หลายๆคน เห็นว่าการพูดต่อที่ชุมชนมีความสำคัญแต่ก็ไม่มีความพยายาม ไม่มีความมุ่งมั่นในการฝึกฝน แต่ตรงกันข้ามกับคนที่มีเป้าหมายหรือมีความใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นนักพูด บุคคลเหล่านี้ก็จะทุ่มเทฝึกฝน อย่างไม่ลดละหรือไม่หยุดหย่อน ถ้าท่านขาดความกระตือรือร้นในการฝึกฝนการพูดต่อที่ชุมชน ท่านลองนั่งเขียนบนกระดาษดูว่า ถ้าท่านพูดต่อที่ชุมชนได้ดี ท่านจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง เช่น ได้เงินเพิ่มมากขึ้น มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น มีโอกาสเป็นนักการเมืองในระดับต่างๆ หรือทำให้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง โด่งดัง เป็นต้น
2.ศึกษาวิธีการพูดของนักพูดชื่อดังทั้งในอดีตและปัจจุบัน การศึกษาชีวิตและวิธีการพูดของบุคคลคนดังจะทำให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจและมีความต้องการที่จะเลียนแบบชีวิตหรือวิธีการพูดของบุคคลที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังได้เรียนรู้เทคนิคในการพูดต่อที่ชุมชนมากยิ่งขึ้น
3.ต้องเพิ่มความกล้าหาญและสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง บุคคลที่ต้องการเป็นนักพูดหรือพูดต่อที่ชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านจะต้องเพิ่มความกล้าหาญและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ความกลัวการพูดต่อที่ชุมชน เกิดจากหลายสาเหตุ แต่มีสาเหตุที่สำคัญๆไม่กี่อย่าง สาเหตุประการหนึ่งก็คือ เราไม่เคยชินหรือเราไม่คุ้นเคยต่อการพูดต่อที่ชุมชนนั่นเอง แล้วเราจะทำอย่างไรให้คุ้นเคยเวทีหรือการพูดต่อหน้าที่ชุมชน วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ท่านต้องขึ้นไปพูดต่อที่ชุมชนบ่อยๆนั่นเอง จงหาเวทีฝึกฝนการพูดต่อที่ชุมชนให้แก่ตนเอง แล้วท่านจะเกิดความเคยชินและคุ้นเคยเวทีการพูด แล้วความประหม่าของท่านก็จะลดลงไปเรื่อยๆ
4.เรียนรู้หลักสุนทรพจน์ คือ เรียนรู้วิธีการเปิดฉาก การพูดเนื้อหาสาระ ตลอดจนถึงการเรียนรู้วิธีการปิดฉาก โดยส่วนใหญ่เขาจะยึดหลักดังนี้
ขึ้นต้น ตตต. เท่ากับ ต้นตื่นเต้น
ตอนกลาง กกก เท่ากับ กลางกลมกลืน
สรุปจบ จจจ เท่ากับ จบจับใจ
สุนทรพจน์ในการพูดที่ดีนั้น ก็เหมือนกับการเขียนเรียงความ ซึ่งจะต้องมี คำนำ เนื้อหา สรุป การพูดที่ดีก็เช่นกัน ก็จะมีลักษณะเหมือนกับการเขียนซึ่งจะต้องมีโครงสร้างหรือโครงเรื่อง จึงจะทำให้เกิดการลำดับการพูดได้ดี และจะส่งผลให้ การพูดมีความเข้าใจง่าย ไม่สับสน เนื่องจากมีการลำดับเหตุการณ์ ลำดับช่วงเวลา
5.สร้างศิลปะทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ นักพูดที่ดีเมื่อวิเคราะห์ว่าผู้ฟังนั่งฟังด้วยความเบื่อหน่าย ไม่สนใจอยากที่จะฟังการพูด นักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดีจะต้องรู้จักเทคนิคในการช่วยให้ผู้ฟังเกิดความสนใจหรือเกิดความตั้งใจฟังตลอดการพูด สำหรับเทคนิคที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจมีดังนี้
5.1.การใช้น้ำเสียง ถ้อยคำเป็นการสื่อความหมายแต่น้ำเสียงทำให้เกิดความหวั่นไหวขึ้นในหัวใจ การพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบตลอดการพูดมักจะทำให้ผู้ฟังไม่สนใจ เบื่อหน่าย ดังนั้น นักพูดที่ดีจะต้องมีน้ำเสียงในการพูดที่มีความหลากหลายในระหว่างการพูดต่อที่ชุมชน คือ ต้องมีเสียงเบาบ้าง ดังบ้าง เน้นบ้าง เงียบบ้าง เร็วบ้าง ช้าบ้าง ยืดเสียงบ้าง เป็นต้น
5.2.หาตัวอย่างแปลกๆ ใหม่ๆ มานำเสนอ การพูดตัวอย่างเดิมๆ ซ้ำๆ หรือตัวอย่างที่ผู้ฟังมักเคยได้ยินแล้วนั้น ผู้ฟังเมื่อทราบว่าเคยฟังแล้วก็มักจะไม่อยากที่จะฟังซ้ำ ดังนั้น นักพูดต่อที่ชุมชนที่ดีต้องพยายามหา ตัวอย่างใหม่ๆ แปลกๆ มานำเสนอหรือมาพูด ก็จะทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจและใส่ใจที่จะฟังการพูดตลอดระยะเวลาในการพูด
5.3.นำอารมณ์ขันมาประกอบการพูด นักพูดเกือบทุกยุคทุกสมัย เกือบทุกชนชาติมักชื่นชอบนักพูดที่พูดแล้วสนุก มีอารมณ์ขัน เพราะทำให้การฟังเป็นไปด้วยความสนุก เกิดเสียงหัวเราะ เสียงปรบมือ เกิดเสียงที่ให้กำลังใจจากผู้ฟัง ยิ่งเป็นสังคมไทยเรา ผู้ฟังยิ่งชื่นชอบนักพูดที่มีอารมณ์ขัน
5.4.นำกิจกรรมมาประกอบหรือสอดแทรก ในสถานการณ์ที่การพูดต้องใช้เวลานาน เช่นต้องพูด 6 ชั่วโมง แน่นอนคนฟังก็ไม่ต้องการจะนั่งนานๆหรือนั่งฟังตลอด 6 ชั่วโมงแบบอยู่กับที่ ดังนั้น นักพูดที่ดีควรหากิจกรรมมาประกอบหรือนำมาสอดแทรก เพื่อให้พูดฟังได้ยืนบ้างหรือเกิดการเคลื่อนไหวร่างกายบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลาย ทั้งนี้นักพูดจะต้องหากิจกรรมมาประกอบให้สอดคล้องกับหัวข้อเรื่องหรือสอดคล้องกับเนื้อหาที่ตนเองพูดจึงจะเกิดความเหมาะสมและผู้ฟังก็จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมดังกล่าวด้วย
6.ฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน ข้อนี้เป็นข้อสุดท้ายที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะถ้าขาดข้อนี้ไปแล้ว ท่านก็ไม่สามารถพูดต่อที่ชุมชนได้ดีหรือเป็นนักพูดที่ดีได้ จงฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน บางคนอ้างว่าตนเองไม่มีเวทีเลยไม่รู้จะฝึกฝนอย่างไร คืออย่างนี้นะครับ นักพูดเรืองนามในอดีตเช่น เดล คาร์เนกี ฝึกพูดขณะรดน้ำต้นไม้หรือขณะตัดหญ้าที่รก อดีตประธานาธิบดีลินคอล์น ฝึกพูดบนหลังม้าขณะเดินทางข้ามรัฐซึ่งสมัยอดีตต้องใช้ม้าเนื่องจากยังไม่มีรถยนต์ สำหรับตัวผมเอง สมัยก่อนผมเองก็ไม่มีเวทีที่จะฝึกฝนเช่นกัน กระผมเลยฝึกฝนด้วยตนเอง ขณะเดินออกกำลังตอนเช้าหรือตอนมีเวลาว่าง ก็จะเลือกหัวข้อ แล้วลองพูดหัวข้อที่ตนเองเลือกประมาณ 2-5 นาที ต่อ1หัวข้อหรือ 1 เรื่อง การฝึกด้วยตนเองเช่นนี้ จึงทำให้กระผมพูดได้คล่องขึ้น
สุดท้ายนี้ ถ้าท่านต้องการความก้าวหน้า ถ้าท่านต้องการเป็นผู้นำ ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ถ้าท่านต้องการมีชื่อเสียงโด่งดัง การพูดต่อที่ชุมชนจะนำพาท่านไปสู่สิ่งเหล่านั้น จงเรียนรู้และจงฝึกฝนการพูดต่อที่ชุมชนแล้วท่านจะได้ดังสิ่งที่ท่านปรารถนา
...
  
7 C เพื่อการสื่อสารที่ดี
7 C เพื่อการสื่อสารที่ดี
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การสื่อสารของมนุษย์มีความสำคัญและมีความจำเป็นมากในการอยู่ร่วมกัน เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม กล่าวคือ มีการอยู่ร่วมกัน มีการช่วยเหลือกัน มีการแบ่งงานกันทำ ดังนั้น การสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน การใช้ท่าทาง จำเป็นจะต้องมีการพัฒนา ในบทความนี้ขอนำเสนอเรื่อง “7 C เพื่อการสื่อสารที่ดี”
C ที่ 1 Clear ชัดเจน การสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูด การเขียน จะต้องเป็นการสื่อสารที่มีความชัดเจน เรียบง่าย เมื่อสื่อสารออกไปแล้ว ผู้รับสารต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเช่นเดียวกับผู้ส่งสาร
C ที่ 2 Concise มีความกระชับ การสื่อสารที่ดีไม่จำเป็นจะต้อง เขียนหรือพูด ยาวๆหรือต้องปริมาณมากๆ แต่การสื่อสารที่ดี ไม่ว่าการพูดหรือการเขียน ควรพูดหรือเขียนให้มีความสั้นกระชับ
C ที่ 3 Correct มีความถูกต้อง เป็นสิ่งที่ผู้ส่งสารควรพิจารณา และตรวจสอบก่อนที่จะส่งสารออกไป ว่าสารที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อสารออกไป เป็นข้อมูลข่าวสารที่มีความถูกต้องชัดเจนหรือไม่ หากไม่ถูกต้องควรแก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่จะส่งสารออกไป
C ที่ 4 Courteous มีความสุภาพ พอเหมาะ พอสมควร สารที่ส่งออกไปควรเป็นไปด้วยความสุภาพ พอเหมาะ พอสมควร ไม่มากไปหรือน้อยเกินไป ทั้งนี้การสื่อสารเป็นทั้ง ศาสตร์คือเรียนรู้ได้ และเป็นทั้งศิลป์ กล่าวคือ ประยุกต์ใช้ได้ ผู้ส่งจึงต้องรู้จักการวิเคราะห์สถานการณ์และต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้รับสาร
C ที่ 5 Concrete สื่อให้มีความสร้างสรรค์ การสื่อสารที่ดีควรสื่อไปในลักษณะการสร้างสรรค์มากกว่าการทำลายกัน เพราะการสื่อสารในด้านบวกมักจะทำให้ผู้รับสารชื่นชอบมากกว่า การส่งข่าวสารออกไปในด้านลบ
C ที่ 6 Consider พิจารณาว่าการสื่อสารนั้นสามารถเป็นที่เชื่อถือสำหรับผู้รับสารหรือทำให้ผู้รับสารคล้ายตามด้วยหรือไม่ เพราะการสื่อสารหากต้องการได้รับความร่วมมือจากผู้รับสาร สารที่ส่งออกไปและผู้ส่งจะต้องทำให้ผู้รับสารเชื่อถือ ยอมรับเสียก่อน
C ที่ 7 Complete มีความสมบูรณ์ครบถ้วน การสื่อสารที่ดี สารที่ส่งควรมีความครบถ้วนสมบูรณ์เสียก่อน ที่จะส่งออกไปยังผู้รับสาร ดังนั้น ผู้ส่งควรต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุด
สำหรับการนำเสนอ ผู้ส่งสารควรนำเสนอด้วยบุคลิกภาพดังนี้
1. ใช้ท่าทางประกอบการพูดอย่างเป็นธรรมชาติ
2. มีการยืนและนั่ง อย่างสง่า อย่างเชื่อมั่นในตนเอง
3. น้ำเสียงมีความชัดเจน แจ่มใส
4. สีหน้า ใบหน้า ต้องแสดงให้มีความเหมาะสมกับเรื่องที่พูด
5. การแสดงบุคลิกควรแสดงให้มีความกระตือรือร้น
ทั้งนี้ การสื่อสารที่ดี เป็นทั้ง ศาสตร์และศิลปะ กล่าวคือ เป็นศาสตร์ ท่านสามารถเรียนรู้ เข้ารับการอบรมได้
อ่านหนังสือได้ และเป็นทั้ง ศิลปะ กล่าวคือ ท่านสามารถประยุกต์หรือนำไปใช้ได้ ซึ่งแต่ละคนอาจมีความสามารถในการนำไปประยุกต์ใช้ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้แล้วแต่ สถานการณ์ การรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง เงื่อนเวลา สถานที่ ความต้องการของผู้รับสาร เป็นต้น

...
  
เขียนสู่อิสระภาพ
เขียนสู่อิสระภาพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
งานเขียนเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่เราสามารถ ถ่ายทอดประสบการณ์ ถ่ายทอดความคิด ถ่ายทอดความรู้สึก ถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ตลอดจนถ่ายทอดจินตนาการ ของเราไปสู่ผู้อ่านได้
งานเขียนจึงเป็นงานที่เราสามารถใช้ความคิดอย่างเป็นอิสระและสามารถปลดปล่อย สิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมาในข้างต้น
การเขียนมีประโยชน์มากกว่าที่คิด
1.เป็นการฝึกสมาธิ หลายคนชอบนั่งสมาธิ แต่ถ้าหากใครที่ไม่ชอบนั่งสมาธิ กระผมขอแนะนำให้เขียนหนังสือครับ เพราะงานเขียนทำให้เรามีสมาธิ หลายครั้งที่เราต้องพบกับความวุ่นวาย สับสน หากเราได้ใช้เวลาดังกล่าว ในการลงมือเขียนอะไรบางอย่าง ก็จะทำให้จิตใจของเราสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว
2.เป็นการเผยแพร่ความรู้ ให้กำลังใจผู้อื่น นักเขียนมักมีความสุขและมีความสนุก เมื่อได้ลงมือเขียนเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษรเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้และได้รับกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต บทความ เรื่องราวจากผู้เขียน ทำให้ผู้อ่านได้อ่านแล้วมีความรู้สึกมีกำลังใจและได้รับความรู้แง่มุมใหม่ๆเพิ่มขึ้น
3.เป็นการฝึกระบบความคิดอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างเป็นระบบช่วยให้เราประสบความสำเร็จเร็วขึ้นและหลายอาชีพจะต้องใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหา เช่น ผู้บริหารมักจะต้องตัดสินใจ หากใครมีระบบคิดที่ดีกว่าก็ย่อมตัดสินใจได้ถูกต้องและรวดเร็วกว่า
4.เป็นการสร้างผลงานฝากไว้ให้แก่โลก นักเขียนเป็นจำนวนมาก แม้ตัวเองตายไปหลายร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดัง คนจดจำได้ ก็เนื่องจากเขามีผลงานผ่านหนังสือต่างๆมากมายนั้นเอง
5.เป็นการสร้างรายได้ งานเขียนทำให้เราได้รับรายได้ หลายคนร่ำรวยจากการเขียนหนังสือขายนักเขียนบางคนร่ำรวยจนการเป็นมหาเศรษฐีเลยก็มี เช่น เจ.เค.โรว์ลิ่ง นักเขียนชาวอังกฤษ เขียนเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ ขายลิขสิทธิ์จนร่ำรวยมหาศาล
6.เป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเองและวงค์ตระกูล หลายคนคงได้อ่านผลงานหนังสือต่างๆของ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ท่านเขียนหนังสือเกือบ 200 เล่ม หลายเล่มทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดัง
7.เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้รับตำแหน่งวิชาการ ครู ตามโรงเรียน อาจารย์ ในมหาวิทยาลัย ในการขอตำแหน่งทางวิชาการ ทางราชการมักจะกำหนดให้มีผลงานโดยผ่านข้อเขียน เช่น งานวิจัย , เอกสารประกอบการสอน , ตำรา , บทความทางวิชาการ , หนังสือ เป็นต้น
8.เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทำให้ เป็นคนพูดเก่ง บางคนเป็นพูดเก่งแต่เขียนไม่เก่ง บางคนเขียนเก่งแต่พูดไม่เก่ง แต่คนที่เป็นนักพูดหรือนักเขียนที่เก่งๆ มักจะทำทั้งสองอย่างได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งสองอย่างเป็นเรื่องของการสื่อสาร การใช้ภาษา การใช้ถ้อยคำ หากว่าใครเขียนเก่ง ก็มักมีโอกาสเลือกใช้ภาษาในการพูดได้มากกว่าคนที่เขียนไม่เก่ง
นี่คือประโยชน์ของงานเขียน สำหรับงานเขียนจะทำให้เราพบอิสรภาพอย่างไร หากว่าท่านอยากรู้ ท่านคงต้องลองทดลองดู โดยวิธีการ เขียน เขียนและเขียน เขียนให้บ่อยขึ้น เขียนให้สม่ำเสมอขึ้น เขียนอย่างต่อเนื่อง แล้วท่านจะเป็นคนที่หนึ่งที่ได้พบกับความคิดและความรู้สึกที่เป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.