หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  บัญญัติ 7 ประการ ทะยานสู่นักพูด
  -  คำคม เกี่ยวกับการพูด
  -  การเตรียมการพูด
  -  วิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  พูดดีเป็นศรีแก่งาน
  -  องค์ประกอบของการพูด
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  การพูดแบบผู้นำ
  -  การพูดจูงใจคน
  -  การวิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  ควรพูดให้ได้ทั้งสาระและความบันเทิง
  -  ทำไมการพูดถึงล้มเหลว
  -  วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
  -  เทคนิคการเป็นพิธีกร
  -  การพูดในชีวิตประจำวัน
  -  วิธีการฝึกฝนการพูด
  -  การสร้างวาทะสำหรับนักพูด
  -  มาเป็นวิทยากรกันเถอะ
  -  ความเชื่อมั่นในการพูด
  -  การพูดเพื่อนำเสนอ
  -  6 W 1 H สำหรับการพูด
  -  วิทยากรสมัยใหม่
  -  การพูดให้น่าเชื่อถือ
  -  การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  การสร้างอารมณ์ขันในการพูด
  -  ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
  -  การสร้างพลังสามัคคี
  -  ความเชื่อมั่นในตนเองเวลาพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  กิริยาท่าทางในการพูด
  -  ศิลปะการพูดในที่ประชุม
  -  การฝึกซ้อมการพูด
  -  วัตถุดิบสำหรับการพูด
  -  การพูดอย่างมีตรรกะ
  -  การพูดเชิงบวก
  -  วิธีการพูดชนะใจคน
  -  การเตรียมความพร้อมในการพูด
  -  พูดเหมือนผู้นำ
  -  การสื่อสารโดยการพูด...ภายในองค์กร
  -  บริหารเวลา กับ เป้าหมาย
  -  เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ
  -  การอ้างวาทะคนดังในการพูด
  -  ก้าวสู่นักพูดมืออาชีพ
  -  จังหวะในการพูด
  -  การเลือกวิทยากร
  -  พูดอย่างไรให้ขายได้
  -  เห็นไมค์แล้วไข้ขึ้น
  -  วิธีฝึกพูดของ เดล คาร์เนกี
  -  ศิลปะการโต้วาที
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  คุณธรรมนักพูด
  -  เทคนิคการพูดของ บารัค โอบามา
  -  จงพูดอย่างกระตือรือร้น
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  มโนภาพกับการพูด
  -  การเขียนสคิปในการพูด
  -  การใช้มือประกอบการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  สอนอย่างไรให้ง่ายและสนุก
  -  เคล็ดลับในการเป็นนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  การสื่อสารสำหรรับข้าราชการ
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
  -  ภาษากายกับความสำเร็จ
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การสร้างวาทะสำหรับนักพูด
การสร้างวาทะสำหรับนักพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
“การปกครองแบบประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน” เป็นคำพูดของ อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ
“ถ้าท่านมีเงินหนึ่งรูปี และฉันมีเงินหนึ่งรูปี แล้วนำเงินนั้นมาแลกกัน ก็จะไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าคุณมีความเห็นหนึ่งความคิดเห็น ฉันมีหนึ่งความคิดเห็นและนำมาแลกกัน เราจะได้ความคิดเห็นเพิ่มเป็นสองความคิดเห็น”
เป็นคำพูดของนางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอินเดีย
“ขออย่าได้ถามว่าประเทศของท่านจะทำอะไรให้ท่านได้บ้าง แต่ขอให้ถามกันเถอะว่า ท่านจะทำอะไรได้บ้างสำหรับประเทศของท่าน” เป็นคำพูดของจอห์ เอฟ เคเนดี้ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ
คำพูดข้างต้น เป็นคำพูดที่มีความหมายที่กินใจผู้ฟัง เป็นคำพูดที่เป็น “วรรคทอง” ถือว่าเป็นวาทะสำคัญของโลกเลยทีเดียว ถามว่าบุคคลสำคัญเหล่านี้ สามารถสร้างคำพูด “ วรรคทอง ” ได้อย่างไร เขามีวิธีไหนในการสร้างคำพูดเหล่านี้ และถ้าหากเราต้องการสร้างเราจะสร้างได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ท่านสามารถสร้างคำพูด “ วรรคทอง” เหล่านี้ได้โดยการปฏิบัติดังนี้
1.จดบันทึกหรือจดจำคำพูดดีๆ อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวถึงการได้มาซึ่ง “วรรคทอง” ว่าเขาได้วาทะ เหล่านี้จากการที่เขาจดบันทึกในเศษกระดาษ หากมีโอกาสเมื่อใด เขาจะหยิบข้อความต่างๆ ขึ้นมาอ่าน ฉะนั้นท่านควรมีสมุดบันทึกเพื่อจดคำพูดดีๆ คำคม สุภาษิต ต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันท่านสามารถหาข้อมูล คำพูดดีๆ สุภาษิตดีๆ ได้จากหลายแหล่ง เช่น ในหนังสือ ในงานอบรม ในงานสัมมนา ในการดูโทรทัศน์ ในอินเตอร์เน็ต ฯลฯ เมื่อได้ข้อมูลแล้วท่านต้องจดบันทึก เมื่อมีเวลาท่านควรนำบันทึกเหล่านั้นมาอ่านทบทวนเป็นประจำ เพราะการทำความเข้าใจ คำคม วาทะ สุภาษิต ต่างๆจะทำให้ท่านเกิดความคิดวินิจฉัยและความคิดที่เฉียบแหลมขึ้น
2.ดัดแปลงแก้ไขจากวาทะหรือวรรคทองของผู้อื่น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะคนไทยเป็นชนชาติหนึ่งที่ชอบดัดแปลงแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องของการใช้ภาษาไทย บางครั้งก็ดัดแปลงแก้ไขออกมาแล้วดูดี แต่บางครั้งก็ดัดแปลงแก้ไขออกมาแล้วดูจะไม่ค่อยเข้าท่า เช่น สุภาษิตต่างๆ “น้ำลดตอผุด” มีคนไปดัดแปลงใหม่ว่า “ น้ำลดตอแหล” หรือ คำสอนที่ดีๆ ในอดีต “ นักเรียนดีเพราะถูกครูด่า มีคนไปดัดแปลงใหม่ว่า “ ครูตายห่าเพราะด่านักเรียน” หรือ “ คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ” มีคนดัดแปลงใหม่ว่า “ คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ ถ้าคบคนแก้ผ้า จะได้ดูทั้งหน้าและเนื้อ” หรือ ช่วงหนึ่งของ ลิลิตพระลอ เดิมเขียนเอาไว้ว่า “ ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือจะสู้เนื้อเมียได้” มีคนไปดัดแปลงใหม่ว่า “ ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือจะสู้ น้องเมียได้ ”
3.คิดขึ้นมาเอง ข้อนี้จะยากกว่าการจดจำ การบันทึกหรือการดัดแปลงวาทะของผู้อื่น แต่อย่างไรก็ตามก็คงไม่ยากเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ สำหรับหลักการสร้างวาทะหรือวรรคทองต่างๆ ควรมีลักษณะดังนี้
1.เป็นคำพูดสั้นๆ กระชับ แต่มีความลึกซึ้งกินใจ
2.เป็นคำพูดที่เฉียบแหลมคมคาย สามารถชวนให้คนคิดต่อไป ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นจริง
3.เป็นคำพูดที่ผู้ฟังฟังแล้วเกิดความหวั่นไหว คล้อยตาม
4.เป็นคำพูดที่สร้างความเชื่อถือศรัทธาให้แก่ผู้พูด
5.เป็นคำพูดที่มีความไพเราะ แต่มีความแจ่มแจ้งชัดเจน ผู้ฟังฟังแล้วเข้าใจได้ง่าย
โดยสรุป การสร้างวาทะท่านสามารถสร้างขึ้นเองได้โดยวิธีการจดจำ การจดบันทึกแล้วนำเอาไปใช้ , การดัดแปลงแก้ไขวาทะหรือวรรคทองของผู้อื่น และการคิดขึ้นมาเอง


...
  
มาเป็นวิทยากรกันเถอะ
มาเป็นวิทยากรกันเถอะ

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

ในปัจจุบันนี้กระผมประกอบอาชีพวิทยากรอิสระ ซึ่งอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ดีมากๆ กระผมหวังว่าผู้อ่านอีกหลายท่านคงมีความสนใจจะประกอบอาชีพนี้เช่นกัน ซึ่งข้อดีของอาชีพวิทยากรอิสระมีหลายอย่าง เช่น

1.เป็นอาชีพที่ท่านสามารถบริหารเวลาได้เอง เป็นอาชีพที่ไม่เหมือนกับการทำงานประจำซึ่งจะต้องมีการลงเวลาทำงาน อีกทั้งท่านไม่ต้องไปทำงานทุกวัน ท่านสามารถเลือกงาน เลือกวันทำงานได้ ว่าท่านจะรับไปบรรยายหรือไม่ไปก็ได้

2. เป็นอาชีพที่ทำให้มีโอกาสฝึกฝนและพัฒนาตนเองหลายๆด้าน คนที่จะเป็นวิทยากรต้องเรียนรู้มาก ต้องเข้ารับการอบรม ต้องอ่านหนังสือมาก อีกทั้งยังต้องฝึกฝนพัฒนาทักษะต่างๆ เช่น ทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน , ทักษะการนำเสนอ ,ทักษะในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ , ทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ

3.เป็นอาชีพที่ได้รู้จักคนเป็นจำนวนมาก รู้จักคนหลากหลายอาชีพ มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นจำนวนมากมาย ทำให้เป็นที่เคารพแก่บุคคลทั่วไป

4.เป็นอาชีพที่ได้ท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น กินฟรี เดินทางฟรี พักฟรี โดยมีคนออกค่าใช้จ่ายให้ อาชีพวิทยากรมักถูกเชิญให้ไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสานและภาคกลาง หรือเกือบทั่วทุกจังหวัด ท่านสามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ ในระหว่างเดินทาง หรือ หลังจากการบรรยายท่านสามารถใช้เวลาว่างไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยผู้จัดการอบรมออกค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง ค่าโรงแรมที่พัก และค่าอาหารให้แก่ท่าน

5.เป็นอาชีพที่ให้ความช่วยเหลือ อุทิศตน และช่วยพัฒนาประเทศชาติ อาชีพวิทยากรเป็นอาชีพที่ให้ความรู้ ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรขององค์กรต่างๆ เป็นอาชีพที่ส่งเสริมให้บุคลากรมีทักษะ มีศักยภาพในการทำงาน จึงเป็นอาชีพหนึ่งที่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือ อุทิศตนและช่วยพัฒนาประเทศชาติได้อีกอาชีพหนึ่ง

6.เป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ตามสมควร แต่หากว่าท่านสามารถพัฒนาตนเองจนเป็นที่ยอมรับของผู้คน ท่านก็สามารถสร้างรายได้อย่างมากมายมหาศาลจากอาชีพนี้ ฉะนั้น ชั่วโมงบินจึงมีความสำคัญมากสำหรับอาชีพนี้ ยิ่งมีเวทีมาก ยิ่งพูดได้ดี ยิ่งคนรู้จักมาก โอกาสสร้างรายได้ยิ่งมีมากขึ้น

7.เป็นอาชีพที่สามารถสร้างสายสัมพันธ์กับผู้คนต่างๆ ท่านสามารถคบหาบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างโอกาสในการทำธุรกิจได้ในอนาคต

8.เป็นอาชีพที่ไม่ต้องมีเจ้านาย มีลูกน้อง ท่านจึงไม่ต้องไปกระทบหรือมีความขัดแย้งกับใคร ทำให้เกิดความสบายใจในการทำงาน ท่านจึงสามารถสร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มที่

9.เป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก ทำให้ลดความเสี่ยงในการขาดทุนหรือล้มละลาย

10.เป็นอาชีพที่ขายองค์ความรู้ ซึ่งมีอยู่ในตัวของท่านเอง จึงเป็นสินค้าที่ไม่มีวันขายหมด แต่จะมีเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ หากว่าท่านได้อ่านมากขึ้น อบรมมากขึ้น หาความรู้มากขึ้น

เมื่อท่านได้อ่านข้อดีของอาชีพวิทยากรแล้ว กระผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านมีความสนใจ อยากที่จะประกอบอาชีพนี้ ซึ่งหากว่าท่านมีความสนใจ มีความรักในอาชีพนี้ และท่านมีการฝึกฝน พัฒนาตนเอง อย่างไม่หยุดยั้ง กระผมเชื่อแน่ว่าท่านสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพวิทยากรได้เหมือนวิทยากรที่เก่งๆ ในระดับประเทศ

...
  
ความเชื่อมั่นในการพูด
จะพูดให้ดี…ต้องรู้จักสร้างความเชื่อมั่น...
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
บุคคลไม่ว่าจะมีความรู้มากมายขนาดไหน มีการศึกษาสูงเพียงไร แต่หากขาดซึ่งความเชื่อมั่นแล้ว เขาก็ไม่สามารถนำเอาความรู้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง แก่ผู้อื่นและประเทศชาติได้ เข้าทำนองคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ”
ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ไม่มีการศึกษาสูง ไม่มีปริญญา มีการศึกษาน้อยนิด แต่เขาสามารถเป็นผู้นำและเปลี่ยนแปลงโลกได้ ดังเช่น ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำของเยอรมัน ไม่ได้เรียนจบปริญญา แต่ด้วยความเชื่อมั่น เขาสามารถพูดชนะใจ ประชาชนชาวเยอรมัน และสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปในแนวทางที่เขาวางไว้ได้
ซึ่งความเชื่อมั่นนี้ ผู้ที่ต้องการเป็นนักพูด จะต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความเชื่อมั่นในข้อมูลหรือความรู้ที่ตนเองได้เตรียมไว้ มีความเชื่อมั่นในความคิดความอ่านของตนเอง เพราะว่าหากท่านมีความเชื่อมั่นในตนเอง ท่านสามารถเป็นอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเป็นนักพูด
ความเชื่อมั่นนี้มีความสำคัญมากในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เพราะถ้าหากผู้พูดไม่เชื่อมั่นในตนเองแล้ว ผู้ฟังก็มักจะไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มีความศรัทธาในตัวของผู้พูด ความเชื่อมั่นนี้ยังรวมถึงการแสดงออกภายนอกของผู้พูดอีกด้วย เช่น ท่าทาง บุคลิกภาพ น้ำเสียงในการพูด สีหน้า ฯลฯ
ความประหม่า ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวทำลายความเชื่อมั่น ซึ่งวิธีแก้ความประหม่า เคยมีครูอาจารย์หลายท่านที่ได้แนะนำไว้ว่า ผู้พูดควรพูดเสียงดังกว่าปกติเพียงเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้น แล้วค่อยเบาเสียงลงให้อยู่ในภาวะปกติ หรือ ก่อนพูดควรดื่มน้ำเย็นเพียงสักเล็กน้อย ต้องขอย้ำนะครับว่า เพียงสักเล็กน้อย เพราะถ้าบางท่านนำคำแนะนำไปใช้แต่ดันดื่มมาก จะทำให้เกิดการปวดฉี่ได้ในเวลาพูดบนเวที หรือ ก่อนขึ้นพูดควรพูดปลุกกำลังใจตนเองในใจ เช่น สู้ตาย , การพูดในหัวข้อนี้ข้าพเจ้ารู้ดีที่สุด , ใครเต็มที่ไม่เต็มที่ไม่รู้เราเต็มที่ไว้ก่อน ฯลฯ
ฉะนั้น หากใครสามารถปฏิบัติได้ตามคำแนะนำข้างต้นนี้ ก็จะช่วยลดความประหม่าไปได้บางส่วน แต่ข้อแนะนำที่สำคัญที่สุด ในการแก้ความประหม่าก็คือ ท่านต้องขึ้นพูดบ่อยๆ นั้นเอง เพราะ ถ้าเรากลัวสิ่งไหนแล้วเราทำสิ่งนั้น ความกลัว ความประหม่า ก็จะลดน้อยลงไปเอง
และไม่ควรเชื่อคำแนะนำที่ผิดๆ เนื่องจากบางท่านมีอาการประหม่า จึงไปถามเพื่อนฝูงว่าจะแก้ไขอย่างไร เพื่อนฝูงบางท่านจึงแนะนำให้ไปดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ หรือ เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ซึ่ง หากท่านใดปฏิบัติตามอาจก่อให้เกิดปัญหาได้มากกว่าที่จะแก้ปัญหา เนื่องจากเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ เมื่อดื่มไปมากๆ มักทำให้ผู้พูด ขาดสติหรือมีสติลดน้อยลง อาจทำให้เกิดการผิดพลาดในการพูดได้
แต่ หากว่าเรามองโลกในแง่ดี ความจริงความประหม่า ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะเจ้าตัวประหม่านี้จะทำให้นักพูดท่านนั้น เกิดพัฒนาตนเองได้มากขึ้น เนื่องจากหากข้อมูลไม่พร้อม การเตรียมตัวไม่ดี ก็อาจจะทำให้เกิดความประหม่าหรือความกลัว ฉะนั้น เพื่อลดความประหม่าและลดความกลัว จึงทำให้เกิดการเตรียมข้อมูลมากขึ้น เตรียมการพูดมากขึ้น เมื่อเตรียมการพูดมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความมั่นใจในการพูดยิ่งขึ้น
ตรงกันข้าม หากผู้ใดไม่มีความประหม่า ไม่วิตกกังวลเลย ก็จะทำให้ผู้นั้นประมาท ซึ่งมีผลทำให้ขาดการเตรียมข้อมูล ขาดการเตรียมตัว ไม่ทำการบ้าน กล่าวคือมีความรู้แค่ไหนก็พูดแค่นั้น ทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ ไม่มีคุณภาพ ไม่มีข้อมูลใหม่ๆ มานำเสนอ ขาดตัวอย่างประกอบ

ดังนั้น หากท่านปรารถนาจะเป็นนักพูด ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ไม่มีใครหรืออิทธิพลอันใดที่จะช่วยท่านได้ นอกจากตัวของท่านเอง ตัวเราเองต่างหากที่กำหนดชะตาชีวิตของเราเอง ว่าเราจะเป็นนักพูด ตามที่เราใฝ่ฝันได้หรือไม่ ตัวเราเองต่างหากต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราจะเป็นนักพูดระดับธรรมดาสามัญ หรือ นักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและความปรารถนาอย่างแรงกล้าในตัวของเรา




...
  
การพูดเพื่อนำเสนอ
เทคนิคการพูดเพื่อนำเสนอ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดเพื่อนำเสนอ เป็นการพูดที่มีความสำคัญมากในปัจจุบัน เราทุกคนต่างก็เป็นนักนำเสนอ เพียงแต่ใครจะเป็นผู้นำเสนอได้ดีและมีประสิทธิภาพกว่ากัน เช่น เด็กๆ ต้องพูดนำเสนอเพื่อขอเงินผู้ปกครองไปซื้อสิ่งของที่ตนเองต้องการ , นักขายพูดนำเสนอขายสินค้าแก่ลูกค้า , ผู้ให้บริการต้องพูดนำเสนอการให้บริการที่ประทับใจแก่ผู้รับบริการ , นักการเมืองต้องพูดเพื่อนำเสนอนโยบายแก่ประชาชนเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกตนเข้าไปบริหารประเทศ , ผู้เผยแพร่ศาสนาต้องพูดนำเสนอเพื่อให้ผู้ฟังเชื่อถือ ศรัทธาและนำไปปฏิบัติ ฯลฯ
ในบทความนี้ใคร่ขอแนะนำเทคนิคบางประการที่จะทำให้การพูดเพื่อนำเสนอให้เป็นที่สนใจและดึงดูดใจผู้ฟัง ดังนี้
1.ต้องวิเคราะห์ผู้ฟัง การพูดนำเสนอที่ดีและประสบความสำเร็จ สิ่งที่ผู้พูดควรคำนึงถึงอันดับแรก คือ ต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง ต้องรู้ว่าผู้ฟังคือใคร มีเพศใด มีอายุเท่าไร สถานภาพของผู้ฟังเป็นอย่างไร ทำงานอาชีพอะไร ความรู้การศึกษาของผู้ฟังอยู่ระดับไหน ผู้ฟังนับถือ ศาสนา มีวัฒนธรรม มีประเพณีอะไร แล้วผู้ฟังมีความต้องการอะไร รักชอบอะไร การวิเคราะห์ผู้ฟังและการพูดในสิ่งที่ผู้ฟังมีความต้องการจะทำให้ผู้พูด สามารถพูดนำเสนอเพื่อเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ฟังได้ ทั้งนี้การวิเคราะห์ผู้ฟังยังรวมไปถึง เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้ฟังในขณะฟังผู้พูดพูดอีกด้วย
2.ต้องเตรียมเนื้อหาที่จะพูด ควรมีองค์ประกอบตามโครงสร้าง คือ คำขึ้นต้น เนื้อเรื่อง และสรุปจบ อีกทั้งต้องทำให้ทั้ง 3 ส่วน มีความสอดคล้อง กลมกลืนไปในทิศทางหรือเนื้อหาเดียวกัน ดังตัวอย่าง
2.1.การขึ้นต้นการพูดที่ดีเราต้องรู้จักสร้างความสนใจ สร้างความตื่นเต้น สร้างความอยากที่จะฟัง แก่ผู้ฟัง ซึ่งการขึ้นต้นมีเทคนิคหลายอย่าง เช่น
- การขึ้นต้นโดยตั้งคำถาม (ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังอยากมีเงินล้านภายใน 1 ปี หรือเปล่าครับ การขึ้นต้นประโยคดังกล่าว จะทำให้ผู้ฟังอยากที่จะฟังเรื่องราวของผู้พูด ว่าทำอย่างไรถึงจะมีเงินล้านภายใน 1 ปี ได้ )
- การขึ้นต้นด้วยการสร้างความสงสัย ( ท่านเชื่อไหมว่าเราสามารถอายุยืนนานถึง 110 ปี)
- การขึ้นต้นด้วยการพาดหัวข่าว( แม่แจ้งจับพระใช้ไฮไฟว์ลวง ม.3 เข้ากุฏิ)
- การขึ้นต้นด้วยการอ้างอิง ( มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า สมุนไพรไทยรักษาโรคได้เกือบทุกชนิด)
สำหรับการขึ้นต้นมีความสำคัญมากสำหรับการพูดนำเสนอ หากเราขึ้นต้นได้ดี ก็จะทำให้ผู้ฟังอยากติดตามเรื่องราวที่จะนำเสนอในส่วนของเนื้อเรื่อง แต่ถ้าหากขึ้นต้นไม่มี ไม่ดึงดูดใจผู้ฟัง ก็จะทำให้ผู้ฟังไม่อยากฟังเรื่องราวในส่วนของเนื้อหาต่อไป
2.2.เนื้อเรื่อง เป็นส่วนของเนื้อหาที่ต้องสอดคล้องกับคำขึ้นต้น เป็นส่วนที่มีเนื้อหามากกว่า ส่วนขึ้นต้นและสรุปจบ อาจพูดได้ว่ามีสัดส่วนดังนี้( คำขึ้นต้น 5-10 เปอร์เซ็นต์ เนื้อเรื่อง 80-90 เปอร์เซ็นต์และสรุปจบ 5-10 เปอร์เซ็นต์) เช่น
- เรียงตามลำดับ เวลา สถานที่ เช่น เรียงลำดับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต , เรียงจากจังหวัดเหนือสุดไปใต้สุด ฯลฯ
- ใช้ตัวอย่างประกอบ ตัวอย่างจะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เพราะเรื่องราวบางอย่างอาจจะเป็นนามธรรม แต่การยกตัวอย่างจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้มากขึ้น
- เน้นจุดมุ่งหมายเดียว การพูดในส่วนเนื้อหาที่ดี ควรให้อยู่ในจุดมุ่งหมายหรือประเด็นเดียว ไม่ควรพูดหลายประเด็น จนผู้ฟังฟังแล้วเกิดความสับสนว่าผู้พูดต้องการนำเสนออะไรกันแน่
2.3.สรุปจบ เป็นส่วนสุดท้าย ท้ายสุด การสรุปจบที่ดี ควรทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ ตรึงใจ เช่น
- ฝากแง่คิด เป็นการพูดเพื่อฝากให้ผู้ฟังนำไปคิดต่อไป
- เรียกร้อง เชิญชวน เป็นการสรุปจบแบบ ขอร้อง เชิญชวน ให้ผู้ฟังกระทำสิ่งที่ผู้พูดต้องการ เช่น เชิญชวนให้เลิกบุหรี่ สุรา ยาเสพติด เชิญชวนให้ผู้ฟังได้ออกกำลังกาย
3.หาประสบการณ์ เทคนิคข้อนี้มีความสำคัญเป็นอันมาก คนที่มักไม่มีความมั่นใจในการนำเสนอของตน ก็เนื่องจากขาดประสบการณ์ การหาประสบการณ์ในการพูดนำเสนอจะทำให้ ผู้พูดนำเสนอเกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น อีกทั้งจะทำให้รู้ว่าตนเองควร ปรับปรุง แก้ไข พัฒนาตนเองอย่างไรบ้าง
4.อย่าออกตัว การพูดนำเสนอที่ดี ผู้พูดไม่ควรออกตัว การออกตัวหรือกล่าวคำขอโทษผู้ฟัง จะทำให้ผู้ฟังเกิดความไม่มั่นใจ และทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ความเชื่อถือ ในตัวผู้พูด เช่น พูดว่าเรื่องที่จะนำเสนอนี้กระผมไม่ค่อยมีความรู้สักเท่าไร , การนำเสนอในครั้งนี้กระผมไม่ค่อยได้เตรียมตัวมาต้องขอโทษผู้ฟังด้วย ถ้าหากกระผมพูดอะไรผิดพลาด ฯลฯ
ดังนั้น การพูดเพื่อนำเสนอ จึงมีความสำคัญ สำหรับผู้ที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ ความก้าวหน้าในการทำงาน อีกทั้งยังทำให้ท่านเกิดความได้เปรียบกว่าคนที่ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ฝึกฝน ในการพูดนำเสนอ
...
  
6 W 1 H สำหรับการพูด
6 W 1 H สำหรับการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดการนำเสนอที่ดี ผู้พูดควรรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ และควรมีหลักการในการนำเสนอ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและนำไปประยุกต์ใช้ ในบทความนี้ กระผมขอนำเสนอในเรื่อง 6 W 1 H สำหรับการพูด มีดังนี้
1 What คือ เราต้องตอบคำถามก่อนว่า เราจะนำเสนอเรื่องอะไร การที่เราจะไปพูดในงานต่างๆ เราต้องทราบก่อนว่า เจ้าของงานต้องการให้เราพูดเรื่องอะไร ฉะนั้นเราต้องถามรายละเอียดต่างๆก่อนที่จะไปพูด เนื่องจากบางแห่ง ต้องการให้เราไปพูดเรื่องสัตว์ปีก แต่ในความเป็นจริงเรื่องสัตว์ปีกมีจำนวนมาก ผู้พูดจึงควรถามให้ลึกลงไปว่า ที่ว่าจะให้พูดเรื่องสัตว์ปีกจะให้พูดเน้นไปในสัตว์ปีกชนิดไหน เช่น ไก่ เป็ด ห่าน ฯลฯ เพราะในสมัยอดีต เคยมีเรื่องเล่ากันว่า ชาวบ้านหมู่บ้านแห่งหนึ่งต้องการให้อาจารย์ท่านหนึ่งไปพูดเรื่องสัตว์ปีก แต่อาจารย์ท่านนี้เคยมีประสบการณ์ทางด้านการพูดอยู่มาก จึงถามผู้เชิญไปพูดว่า ที่ต้องการให้พูดเรื่องสัตว์ปีกเป็นสัตว์ปีกประเภทไหน ปรากฏว่าชาวบ้านต้องการให้ผู้พูดพูดเกี่ยวกับสัตว์ปีกประเภท จิ้งหรีด แมงมัน เพราะชาวบ้านคิดว่า จิ้งหรีด แมงมันคือสัตว์ปีก ดังนั้น ผู้พูดต้องถามเจ้าของงานให้ชัดเจนถึงเรื่องที่จะให้พูด
2 Why คือ นำเสนอทำไม มีวัตถุประสงค์อย่างไร การพูดที่ดี เราควรรู้ว่างานที่ให้ไปพูดเขามีวัตถุประสงค์อย่างไร เช่น ต้องการได้รับความรู้จากผู้พูด หรือต้องการได้รับความบันเทิงสนุกสนานในการพูดหรือต้องการให้ผู้พูดพูดจูงใจให้ผู้ฟังคล้อยตามและนำไปปฏิบัติ หากว่าผู้พูดทราบวัตถุประสงค์ของเจ้าของงานแล้ว ก็จะทำให้ผู้พูดพูดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ยิ่งขึ้น
3 Whom นำเสนอต่อใคร ใครเป็นผู้ฟัง ในการพูดแต่ละครั้ง ผู้ฟังมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จในการพูด หากผู้พูดต้องการความสำเร็จในการพูด ผู้พูดควรวิเคราะห์ผู้ฟัง ว่าผู้ฟังเป็นใคร อายุ เพศ วัย การศึกษา การนับถือศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีอะไร
4 Who ผู้พูดต้องทราบว่าตนเองนำเสนอหรือพูดในฐานะใด เนื่องจากคนเราส่วนใหญ่มีบทบาทต่างๆ มากมาย เช่น เป็นผู้บริหาร เป็นนักขาย เป็นนักเขียน เป็นนักจัดรายการ เป็นนักศึกษา เป็นนักร้อง ฯลฯ ดังนั้น หากเราสวมบทบาทนักศึกษา การนำเสนอก็ต้องออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราสวมบทนักขายเราก็ต้องพูดนำเสนออีกรูปแบบหนึ่งแก่ลูกค้า เป็นต้น
5 Where นำเสนอการพูดที่ไหน สถานที่ สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น พูดในวัด พูดในห้องประชุม พูดกลางท้องสนามหลวง พูดในห้องอบรมบรรยาย ฯลฯ การวิเคราะห์สถานที่จะทำให้เราเตรียมการพูดให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถานที่นั้นๆ
6 When นำเสนอเมื่อไร สถานการณ์เป็นอย่างไร การพูดที่ดีต้องรู้จัก วิเคราะห์สถานการณ์ในการพูด ว่าเราควรพูดด้วยคำพูดอย่างไร ถึงจะเข้าถึงใจผู้ฟัง เช่น สถานการณ์การชุมชนทางการเมือง ควรพูดด้วยท่าทางที่จริงจัง เสียงดัง ฟังชัด ไม่ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา เนื่องจากการพูดทางด้านการเมืองต้องใช้ ท่าทาง น้ำเสียง ภาษา การอ้างอิง เพื่อที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือและยอมรับ
1 How เสนออย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จในการพูด การนำเสนอมีส่วนสำคัญมากต่อการพูด ยิ่งในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยช่วยในการนำเสนอ เช่น มีคลิปวีดีโอ มีเสียง มีคอมพิวเตอร์ มีโปรแกรมต่างๆ ที่จะทำให้การนำเสนอของเราเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น จงกล้าที่จะเรียนรู้ เทคโนโลยี เพื่อที่จะนำมาใช้ในการพูด
6 W 1 H จึงเป็นหลักการที่สามารถนำมาใช้หรือนำมาประยุกต์ใช้ในการพูดของท่านได้ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในการพูด ขอให้ท่านได้โปรดเรียนรู้ พัฒนา ตนเองเพิ่มเติม อีกทั้ง หลักการ 6 W 1 H ยังสามารถนำไปใช้ในศาสตร์ต่างๆ เช่น ศาสตร์ทางด้านการขาย 6 W 1 H สามารถนำไปประยุกต์ใช้วิเคราะห์ลูกค้า หรือ 6 W 1 H สามารถนำไปใช้สำหรับเป็นหลักในการเขียนหนังสือได้อีกด้วย

...
  
วิทยากรสมัยใหม่
วิทยากรยุคใหม่ควรเป็นอย่างไร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ความสำเร็จในการฝึกอบรมในแต่ละครั้ง เราคงไม่ปฏิเสธว่า วิทยากรเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้การฝึกอบรมในครั้งนั้นๆ เป็นไปด้วยดี มีประสิทธิภาพ หรือ เกิดความล้มเหลวในการฝึกอบรม ยุคอดีต การศึกษา สื่อต่างๆ เรามีโอกาสได้รับน้อยมาก แต่ในยุคปัจจุบัน คนจำนวนมากได้รับการศึกษา ได้รับการบริโภคสื่อต่างๆ อีกทั้งยังได้รับการอบรมในหลักสูตรต่างๆอีกมากมาย ฉะนั้น การคัดเลือกวิทยากรจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งวิทยากรยุคใหม่ ที่ได้รับการยอมรับในวงการฝึกอบรมควรมีคุณสมบัติดังนี้
1.มีการนำเสนอที่หลากหลาย วิทยากรยุคใหม่ควรนำเสนอในการอบรมด้วยความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายในการใช้สื่อ(การใช้คลิปภาพยนตร์ประกอบ , การใช้เพลงประกอบการฝึกอบรม , การใช้โปสเตอร์ในการประกอบการฝึกอบรม, การใช้อุปกรณ์ต่างๆในการประกอบการฝึกอบรม เป็นต้น) ความหลากหลายในเนื้อหา (มีการอ้างอิงวิชาการ มีการอ้างอิงตัวอย่างจริง มีการใช้มุขตลกมาสอดแทรก มีการใช้แง่มุมความคิดเห็นของตนเองในการนำเสนอ มีการแนะนำหนังสือหรือเนื้อหาอื่นๆ ให้ไปอ่านเพิ่มเติม เป็นต้น)
2.มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มาประยุกต์ใช้ในการบรรยาย นี่คือความแตกต่างระหว่าง วิทยากรสมัยใหม่กับวิทยากรในสมัยก่อน เลยทีเดียว เนื่องจากยุคนี้ เรามีการแข่งขันสูง การใช้เทคโนโลยี จึงมีการนำมาใช้ทุกวงการ ไม่ว่า วงการธุรกิจ วงการการเมือง วงการทหาร วงการตำรวจ ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่วงการวิทยากรเอง เราจะเห็นได้ว่า วิทยากรหนุ่มๆ มีความสามารถเป็นที่ดึงดูดใจ หรือผู้ฟังอยากฟัง มากกว่าวิทยากรสมัยเก่าบางท่าน ก็เนื่องมาจากปัจจัยหนึ่ง ก็คือ วิทยากรท่านนั้น มีการใช้เทคโนโลยีมาใช้ประกอบการฝึกอบรมนั่นเอง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยให้เกิดการได้เปรียบในการแข่งขันในวงการวิทยากร
3.มีการนำเสนอที่ชัดเจน เข้าใจง่าย สนุก ไม่สับสน การเป็นวิทยากรสมัยใหม่ มักจะต้องทำเรื่องยากๆ ให้ดูเป็นเรื่องง่าย เรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องที่สนุก ไม่เครียด ตัวอย่าง สดๆร้อนๆ เมื่อสักครู่นี้เอง ก่อนที่กระผมจะเขียนบทความฉบับนี้ ได้มี โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ติดต่อให้กระผมไปเป็นวิทยากร แล้วก็บอกว่า “ อาจารย์ ขอให้พูดแบบสนุกๆ ไม่เครียด ไม่ต้องเอาสาระก็ได้ เอาฮาอย่างเดียว” ผมก็เกือบถามไปว่า “ถ้าวันไปบรรยาย ก็ขอให้เตรียมถาดให้หน่อย จะได้ไปตีหัวและเล่นตลกให้ดูเลย ” 555)
4.มีการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อผู้เข้ารับการอบรมกลับไปทำงานตามปกติแล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงาน เช่น พนักงานขายเมื่อก่อนขายไม่เคยขายเข้าเป้าหมาย แต่เมื่ออบรมไปแล้ว พนักงานขายคนดังกล่าวมียอดขายเกินเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ หรือ พนักงานส่วนใหญ่มีความเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ในการทำงาน แต่เมื่อได้รับการอบรมไปแล้ว พนักงานส่วนใหญ่มีความขยันทำงาน มีความรับผิดชอบในการทำงานมากขึ้น เป็นต้น
5.มีความรู้กว้างและรู้ลึก วิทยากรสมัยใหม่ ต้องมีความรู้ที่รอบด้าน รู้กว้างและรู้ลึก ในเรื่องราวต่างๆ เนื่องจาก สังคมยุคปัจจุบัน เป็นสังคมเปิด เป็นสังคมแห่งการแข่งขัน เป็นสังคมข่าวสาร หากว่า วิทยากรมีความรู้น้อยกว่าผู้เข้ารับการอบรม อีกทั้งไม่สามารถตอบคำถาม หรือ แก้ปัญหาให้เขาได้ วิทยากรท่านนั้นก็คงสำเร็จได้ยากในแวดวงวิทยากรสมัยใหม่
6.มีความรู้ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ยุคสมัยใหม่ หรือยุคสมัยนี้ เราคงได้ฟังได้ยินว่า มีวิทยากรระดับโลก ได้มาบรรยายในหัวข้อต่างๆ ให้กับนักธุรกิจไทย หรือ ผู้สนใจฟัง ซึ่งวิทยากรระดับโลกได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ในการอบรมบางหัวข้ออาจมีคนไทยแปลให้ จึงทำให้เราทราบว่า การที่ท่านจะเป็นวิทยากรยุคใหม่ ท่านจะต้องมีความสามารถในการสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ ท่านจึงจะได้เปรียบกว่าวิทยากรรุ่นเก่าๆ ที่ไม่สามารถสื่อภาษาต่างประเทศได้ เพราะท่านอย่าลืมว่า ประเทศไทยเราได้ไปทำสัญญาการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศต่างๆ ภาษาอังกฤษจึงเป็นสื่อกลางที่มีความสำคัญมาก ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้งหากท่านเป็นวิทยากรที่เก่งภาษาต่างประเทศ ท่านก็อาจจะได้มีโอกาสไปบรรยายในต่างประเทศ
สรุปคือ วิทยากรยุคใหม่ต้องมีการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะเรื่องของการใช้ความคิดในการนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลาย , การเรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการฝึกอบรม , มีการดัดแปลง ประยุกต์ เนื้อหาเพื่อให้เกิดความชัดเจน เข้าใจง่าย สนุกไม่สับสนในเนื้อหาที่บรรยาย , มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้อบรมในทางที่ดีขึ้นในการทำงาน , ต้องเรียนรู้ให้มากและหนัก ต้องรู้ลึก รู้กว้าง ในหัวข้อต่างๆ และต้องมีความรู้ภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาอังกฤษเพื่อที่จะนำไปใช้ในการบรรยายหากท่านได้มีโอกาสไปบรรยายในต่างประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
...
  
การพูดให้น่าเชื่อถือ
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในการพูดแต่ละครั้ง ผู้ฟังมักจะมีความเชื่อถือ ศรัทธาผู้พูดมากน้อยเพียงใด มักขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทั้ง 3 ปัจจัย ดังนี้
1.ตัวผู้พูด ตัวผู้พูดสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้โดย
- .การสร้างบุคลิกภาพ บุคลิกภาพของผู้พูดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเหลื่อมใส ศรัทธา เชื่อถือหรือไม่ เช่น การแต่งกายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ , การใช้ท่าทางประกอบการพูด , การพูดให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ ตลอดจนการใช้สายตา น้ำเสียง การเดิน การทรงตัว การใช้ภาษา การแสดงสีหน้า การใช้ไมโครโฟน ฯลฯ
- เทคนิคการพูดที่นำเสนอ เช่น พูดให้ผู้ฟังกลัว เมื่อผู้ฟังกลัวผู้ฟังมักจะเชื่อแล้วยอมปฏิบัติตาม , พูดให้ผู้ฟังอยาก เมื่อผู้ฟังมีความอยากแล้วผู้ฟังก็มักจะเชื่อและยอมทำตาม , พูดด้วยความมั่นใจ หากผู้พูดพูดด้วยความไม่มั่นใจเสียแล้ว ผู้ฟังมักจะไม่เชื่อ ฯลฯ
2.เรื่องที่นำเสนอ เราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้จากเรื่องที่นำเสนอ ส่วนใหญ่แล้วผู้ฟังมักเชื่อเรื่องที่ผู้พูด พูดนำเสนอ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผู้ฟัง เช่น เรื่องที่นำเสนอนั้น ผู้ฟังได้ประโยชน์อะไรบ้าง (หาเงินได้มากขึ้น,ประหยัดเวลา,ได้เลื่อนตำแหน่ง,ทำงานได้ดีขึ้น), เรื่องที่นำเสนอนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่(อ้างงานวิจัย ,อ้างกฎหมาย ,อ้างระเบียบ) , เรื่องที่นำเสนอนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ฯลฯ
3.เหตุผลที่นำมาประกอบการพูด ผู้พูดอาจชักจูงใจให้ผู้ฟังเชื่อถือได้ โดยการใช้หลักฐานประกอบ เช่น มีการอ้างอิงตำรา , มีการอ้างอิงสุภาษิต คำพังเพย , มีการอ้างอิงบุคคลสำคัญๆ (พระพุทธเจ้า , นักปราชญ์ , พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว , พระเยซู ฯลฯ) , มีการอ้างอิงวัฒนธรรม ประเพณีหรือสิ่งที่ทุกคนให้ความเคารพบูชา , มีการอ้างอิงผลได้ผลเสียของเรื่องที่นำมาพูด , มีการอ้างอิงประชามติหรือเสียงในที่ประชุม , มีการอ้างอิงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ฯลฯ
ทั้งการพูดให้ผู้ฟังเชื่ออาจจะต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ อีก เช่น การจะพูดให้คนอื่นเชื่อ ตัวผู้พูดต้องมีความเชื่อในเรื่องดังกล่าวก่อน , การจะพูดให้ผู้ฟังกลุ่มใหญ่ๆ เชื่อ เรื่องของจิตวิทยาฝูงชนมีความสำคัญซึ่งผู้พูดจำเป็นจะต้องไปศึกษาเพิ่มเติม , ผู้ฟังมักจะฟังหรือเชื่อถือ ผู้พูดที่มียศ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ เกี่ยวกับเรื่องที่พูด , ผู้พูดต้องพูดด้วยความจริงใจ พูดด้วยอารมณ์ พูดเข้าไปนั่งในหัวใจผู้ฟัง ฯลฯ
อีกทั้งยังต้องวิเคราะห์ว่าผู้ฟังคือใคร นักขาย เจ้าหน้าที่ อาจารย์ ครู นักเรียน นิสิต นักศึกษา ฯ,ฯ เพศของผู้ฟังคือใคร ผู้หญิงฟังหรือผู้ชายฟัง วัยไหน วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน วัยชรา , ความเชื่อของผู้ฟัง การนับถือศาสนา , การศึกษา ฐานะ อาชีพ ความสนใจ ของผู้ฟัง
ท้ายนี้ขอทิ้งท้ายด้วยบทกลอนของท่านอาจารย์วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ว่า
“ อันจูงวัว จูงควาย จูงล่อลา หรือจูงม้า จูงช้าง ช่างแสนง่าย
แค่เอาเชือก ร้อยวน สนตะพาย จูงสบาย จะไปไหน ก็ไปกัน
แต่จูงคน จูงยาก ลำบากเหลือ จูงให้เชื่อ ในวจี ที่เสกสรร
พูดจูงใจ ให้คล้อยตาม ลำบากครัน ต้องเหนือชั้น วิทยา วาทะการ ”
...
  
การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
นักการเมือง นักบริหาร นักปกครอง นักประชาสัมพันธ์ นักกฎหมาย ต้องเป็นนักพูด
การพูดต่อหน้าที่ชุมชนมีความสำคัญต่อความเป็นผู้นำและการประกอบอาชีพต่างๆ “หากท่านปรารถนาจะเป็นผู้นำ ท่านต้องลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้” เป็นคำพูดของหลวงวิจิตราวาทการที่ได้กล่าวมาอย่างยาวนานและเป็นอมตะวาจาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
“ ลิ้นเพียงสองนิ้ว ขงเบ้งยกเมืองให้เล่าปี่ได้” เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินความจริงทีเดียว ในการทำสงครามฝ่ายที่มีกำลังมากย่อมได้เปรียบกว่าฝ่ายที่อ่อนแอ แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่มีมันสมองบวกกับการรู้จักใช้คำพูดให้เป็นประโยชน์ ย่อมสร้างชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ได้ นักการทูตที่สำคัญๆ ของโลก ได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศของตนเองอย่างมหาศาลก็ด้วยการใช้ลิ้นหรือคำพูดที่ก่อประโยชน์ในการเจรจาต่อรองตกลง ขอความช่วยเหลือฝ่ายต่างๆเพื่อให้ประเทศของตนเองอยู่รอดปลอดภัย
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านหลายท่านอาจมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อนหรือเข้าใจผิดคิดว่า นักพูดจะต้องคุยเก่ง พูดคล่อง พูดมาก หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่นักพูดหมายถึง คนที่สามารถใช้คำพูดให้เกิดประโยชน์ เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์ พูดแล้วคนเชื่อถือ พูดแล้วสามารถโน้มน้าว ใจคนได้
เคยมีคนโทรศัพท์มาถามผมหลายคนว่า แล้วถ้าอยากจะเป็นนักพูดที่ดีต้องทำอย่างไร คำตอบคือ ท่านจำเป็นจะต้องเป็นนักอ่าน นักค้นคว้า นักคิด นักฟัง และก็หมั่นฝึกฝน พร้อมกับต้องมีการปรับปรุง พัฒนาการพูดของตนเองอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งต้องเชื่อว่า การพูดนั้นสามารถศึกษา เรียนรู้และฝึกฝนได้ จงเชื่อเรื่องของพรแสวงมากกว่าเรื่องของพรสวรรค์ ที่สำคัญนักพูดที่ดีต้องมีลักษณะดังนี้
1. ต้องมีความปรารถนาอยากที่จะเป็นนักพูด เพราะ ความรัก ความชอบ จะทำให้ทำเรื่องที่รัก ที่ชอบได้ดีกว่า หากว่าเราไม่รัก ไม่ชอบ สิ่งนั้น อีกทั้งเมื่อถูกเชิญให้ไปพูดเรื่องอะไร ตัวผู้พูดจะต้องมีประสบการณ์ในเรื่องที่จะพูดอยู่พอสมควร หรือ ศึกษาเรียนรู้เรื่องนั้นมานานพอสมควร แต่หากไม่รู้เรื่องนั้นก็ควรเตรียมตัวไปให้ดี ต้องอ่านให้มาก ต้องฟังให้มาก ต้องมีการวางแผนการพูดเป็นอย่างดี ว่าจะขึ้นต้นอย่างไร ช่วงกลางจะพูดอย่างไรและสรุปจบอย่างไร ควรมีตัวอย่างหรืออุปกรณ์ หลักฐาน ประกอบหรือใช้อ้างอิงในการพูดแต่ละครั้ง
2. ต้องมีความสามารถในการสื่อสาร นักพูดที่ได้รับการยอมรับ มักมีเทคนิคในการพูดที่เป็นที่น่าสนใจของผู้ฟัง บางคนมีมุขตลก บางคนมีแง่คิด บางคนพูดแล้วคนฟังเชื่อถือคล้อยตาม โดยมากมักต้องมีวิธีเล่าที่ง่าย น่าสนใจ ไม่ทำเรื่องง่ายให้ยาก แต่จะทำเรื่องยากให้ง่าย และเรื่องง่ายให้เป็นของสนุก
3. ต้องมีการฝึกซ้อมการพูดอยู่เสมอ นักพูดที่ยิ่งใหญ่ มักเคยผ่านการพูดเวทีสำคัญๆ และมีชั่วโมงบินในการพูดที่สูงกว่านักพูดธรรมดาสามัญ เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ คำว่า “ศาสตร์” อาจเรียนรู้กันได้ แต่คำว่า “ ศิลปะ” คงต้องขึ้นอยู่ตัวบุคคลนั้น จงพัฒนาและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ
4. ต้องมีการสอดใส่อารมณ์ในการพูด การพูดเป็นการสื่อสารชนิดหนึ่ง กล่าวคือ หากผู้พูดมีความรู้สึกถึงเรื่องที่พูดอย่างไร ผู้ฟังมักจะรู้สึกและสัมผัสได้ว่าผู้พูดมีความรู้สึกถึงเรื่องนั้นอย่างนั้น กล่าวคือ หากว่าผู้พูดพูดเรื่องใด ผู้พูดต้องทำน้ำเสียง กริยา ท่าทาง สีหน้า ไปในทางเดียวกับเรื่องที่พูดด้วย
ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า การพูดต่อหน้าที่ชุมชน เป็นการสื่อสารที่มีอานุภาพมาก เป็นเครื่องมือ
ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จและล้มเหลวได้พอๆกัน ฉะนั้น หากท่านต้องการความสำเร็จ ท่านจะต้องมีการฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน การพูดอยู่เสมอ
...
  
การสร้างอารมณ์ขันในการพูด
การสร้างอารมณ์ขันในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การสร้างอารมณ์ขันในการพูดมีความสำคัญและมีความจำเป็น เป็นอันมากต่อการพูดต่อหน้าที่ชุมชน อารมณ์ขันนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น
1.ช่วยให้บรรยากาศในการพูดเป็นกันเอง
2.ช่วยทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย และเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องสนุก
3.ช่วยในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี
4.ช่วยสร้างสีสัน สร้างเสน่ห์ในการพูด
ซึ่งการสร้างอารมณ์ขันเราสามารถสร้างได้หลายวิธี ดังนี้
1.อ่านหนังสือประเภทขำขัน เช่น หนังสือการ์ตูน หนังสือตลก หนังสือนิทาน
2. สังเกต จดจำ นำเอาคำพูด อารมณ์ขันของผู้อื่นมาดัดแปลง ปรับปรุง เพื่อใช้ในการพูด
3.ควรใช้ภาษา ท่าทาง น้ำเสียง อารมณ์ให้มีความสอดคล้องกับเรื่องที่พูด
4.หาเวทีในการพูดให้มากๆ เพื่อฝึกการพูดในการสร้างอารมณ์ขัน
สำหรับข้อควรระวังในการพูดอารมณ์ขัน คือ
1.ไม่บอกผู้ฟังว่าวันนี้จะมาพูดเรื่องตลกหรือเรื่องขำขัน
2.ผู้พูดไม่ควรหัวเราะเสียเองในเวลาที่พูดเรื่องราวขำขัน
3.ไม่ควรนำเอาเรื่องของ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ขนมธรรมเนียม หรือสิ่งที่ผู้คนเคารพมาพูดล้อเลียน
4.ไม่ควรพูดจา สองแง่สองง่าม ตลกใต้สะดือ มากจนเกินไป
ดังนั้น การสร้างอารมณ์ขันในการพูดจึงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของนักพูด ซึ่งนักพูดแต่ละท่านอาจอ่านตำราการสร้างอารมณ์ขันเล่มเดียวกัน แต่การนำไปใช้ได้ไม่เท่ากัน เพราะทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับการนำเอาทฤษฏีไปปรับใช้ให้เข้ากับ ลีลา ท่าทาง น้ำเสียง กริยา ภาษา บุคลิกและจังหวะในการพูดของแต่ละบุคคล
...
  
ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในอดีตกระผมเคยเป็นวิทยากรมือใหม่ ซึ่งบางครั้งเคยทำผิดพลาดมาบ้างในงานการฝึกอบรม ในบทความตอนนี้ จึงอยากที่จะมาบอกเล่าและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับท่านผู้อ่าน ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่ มีดังนี้
1.ท่านควรไปทำความรู้จักกับผู้บริหารหรือผู้ที่ดูแลงานด้านฝ่ายฝึกอบรมก่อน เพื่อรับทราบข้อมูลว่า ทางหน่วยงานมีปัญหาอะไร ถึงได้ต้องการจัดอบรมในเรื่องดังกล่าว การทำความรู้จักจะสร้างความคุ้นเคย หรือหากท่านไม่มีเวลามากพอ ท่านก็อาจจะต้องโทรศัพท์ไปซักถามความต้องการของผู้จัด หรือ หากให้เป็นทางการหน่อย ท่านก็ควรมีแบบฟอร์ม TRAINING NEEDS ANALYSIS ให้ทางผู้จัดได้กรอกข้อความที่ต้องการฝึกอบรม ว่าทางหน่วยงานมีปัญหาอะไร ความต้องการเป็นอย่างไร
2.ท่านควรเดินทางไปก่อนเวลาในการอบรม การเดินทางไปก่อนเวลาในการอบรม จะทำให้ผู้จัดมีความสบายใจ อีกทั้งตัววิทยากรเอง ก็สามารถที่จะเตรียมความพร้อมได้ดียิ่งขึ้น ก่อนเวลาฝึกอบรมควรไปตรวจสอบดู เรื่องของการทำงานของเครื่องฉาย เครื่องคอมพิวเตอร์ ไมโครโฟน เอกสารประกอบการบรรยาย ฯลฯ การไปถึงก่อนเวลายังจะทำให้ท่านสร้างความคุ้นเคยกับผู้เข้ารับการอบรมอีกด้วย
3.ท่านต้องมีความรู้มากกว่าผู้เข้ารับการอบรม การมีความรู้ในเรื่องที่จะบรรยายมากกว่าผู้เข้ารับการอบรมจะทำให้ท่านเกิดความเชื่อมั่น เกิดความมั่นใจในตัวเองในการบรรยายมากขึ้น หากท่านมีความรู้ที่น้อยกว่า เมื่อผู้เข้ารับการอบรมสักถาม ท่านตอบไม่ได้ ก็จะทำให้ผู้เข้ารับการอบรมขาดความศรัทธา และตัววิทยากรเองก็จะขาดความมั่นใจไปด้วย หากเรื่องที่เราจะไปบรรยายเรายังมีความรู้ไม่มากพอ ท่านก็ควรทำการบ้านโดยการ อ่านหนังสือ ฟังเทป ศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าวเพิ่มให้มากขึ้น
4.ท่านต้องรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ในการฝึกอบรมแต่ละแห่งมีปัจจัยแวดล้อมไม่เหมือนกัน เช่น จำนวนคนเข้าอบรม ขนาดของห้อง บรรยากาศของห้อง วัย อายุของผู้เข้าอบรม อุปกรณ์ที่ช่วยในการบรรยาย ฯลฯ ดังนั้น ผู้ที่จะเป็นวิทยากรมืออาชีพได้จะต้องรู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ตัวอย่าง หากว่าวิทยากรได้เตรียมทำการบ้านเป็นอย่างดีว่า เริ่มต้นการฝึกอบรมเราจะให้มีการทำกิจกรรมแต่การทำกิจกรรมนั้นต้องใช้พื้นที่มากเพื่อที่จะให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ใช้พื้นที่ในการเดิน ในการพูดคุย ในการทำความรู้จักกัน แต่พอไปถึงห้องฝึกอบรม ปรากฏว่า ห้องกับคับแคบ จนไม่สามารถมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมที่เตรียมไปได้ ฉะนั้น ผู้ที่เป็นวิทยากรมืออาชีพต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ว่า เราควรจะทำอย่างไร
5.ท่านควรวางแผนงานให้มีระบบมากขึ้น เช่น เวลาติดตามงานกับลูกค้า หน่วยงาน องค์กรที่จัดการฝึกอบรม ท่านควรมีแบบฟอร์มต่างๆ (ใบเสนอราคา , ใบตอบรับ , เอกสารแนะนำประวัติวิทยากร , ใบ TRAINING NEEDS ANALYSIS เป็นต้น) อีกทั้งเวลาติดต่อรับงาน ควรติดต่อผ่านเป็นรายลักษณ์อักษรจะผิดพลาดน้อยกว่าการติดต่อผ่านการพูดคุยทางโทรศัพท์ ซึ่งตัวกระผมเองก็เคยทำผิดพลาดมาแล้ว การรับงานวิทยากรครั้งหนึ่งในอดีต เนื่องจากเห็นว่าผู้ติดต่อเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จึงได้รับปากว่าจะไปเป็นวิทยากรให้ แต่ปรากฏว่า มีความเข้าใจผิดที่คลาดเคลื่อนในเรื่องของวัน เวลา กระผมเองไปถึงงาน จึงสงสัยว่าทำไมจึงเงียบไม่มีคนเข้ารับอบรมหรืออย่างไร ปรากฏว่า เขามีการจัดงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เกิดประสบการณ์ เมื่อมีการเชิญไปเป็นวิทยากรครั้งใด กระผมต้องขอจดหมายเชิญ และตัวกำหนดการทุกครั้ง เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้ในการทำงาน
ทั้งนี้ข้อแนะนำทั้ง 5 ข้อข้างต้นเป็นข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่ และยังมีอีกหลายปัจจัยที่วิทยากรมือใหม่ควรทำ เช่น การพัฒนาตนเองอยู่เสมอตลอดเวลา , มีการบรรยายที่ครบเครื่องมากขึ้น (มีอารมณ์ขันในการพูด,มีเนื้อหาสาระที่ใหม่ๆ ,มีการร้องเพลงประกอบการบรรยาย,มีกิจกรรมให้ทำร่วมกัน,มีคำคม คำกลอนประกอบการบรรยาย) อีกทั้งวิทยากรมือใหม่ควรรู้จักหาช่องทางการตลาด เพราะหากไม่มีลูกค้า ก็ไม่ถูกรับเชิญ เมื่อไม่ถูกรับเชิญก็ไม่มีโอกาสไปเป็นวิทยากร

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.