หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  บทความที่ดี
  -  เทคนิคการประชุม
  -  ปัญหาของเด็ก
  -  จูงใจคน
  -  ประวัติของอาจารย์จตุพล ชมภูนิช
  -  การพูดของอาจารย์จตุพล ชมภูนิช
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  ผู้นำกับทีม
  -  ลักษณะนักพูด
  -  ผู้นำพูด
  -  พูดโอกาสต่างๆ
  -  สั่นเพราะไมค์
  -  ผู้บริหาร มนุษย์สัมพันธ์
  -  เทคนิคในการพูด
  -  IMC ของไทยรักไทย
  -  เอดส์ วัยรุ่น สังคมไทย
  -  นักเขียน
  -  เด็กขายตัว
  -  สู่ผู้นำ
  -  อาหารปลอดภัย
  -  ทำไมคนดีๆ จึงลาออก
  -  การพูดหน้าชุมชน
  -  เลิกเหล้าเข้าพรรษา
  -  ฝึกพูด
  -  การมีมนุษย์สัมพันธ์
  -  ยาเสพติดประเทศไทย
  -  เหล้า เบียร์ วัยรุ่น
  -  องค์กรกับผู้บริหาร
  -  ศิลปะในการบริหาร
  -  คนตกงานกับปัญหาสัึงคม
  -  สื่อลามกกับวัยรุ่น
  -  คนคือทรัพย์สิน
  -  ผู้บริหารกับการตลาด
  -  มาเขียนกันเถอะ
  -  ศิลปะการฟัง
  -  เพศกับวัยรุ่น
  -  ทีม
  -  คำคม 3 ก๊ก
  -  กล้าล้มเหลวจึงสำเร็จ
  -  เป้าหมายกับความสำเร็จ
  -  ธรรมชาติการขาย
  -  เมืองไทยเมืองเซ็กส์
  -  จริยธรรมของไทย
  -  ปัญหาสิ่งแวดล้อม
  -  ปัจจัยในการบริหาร
  -  การเปลี่ยนแปลงกับการบริหาร
  -  น้ำมันลอยติดลมบน
  -  ปัญหาเยาวชน
  -  อดทนเพื่อชนะ
  -  พจนานุกรมวัยรุ่น
  -  น้ำมันยังเป็นปัญหาใหญ่
  -  เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
  -  สื่ออนาคต
  -  พ่อแม่
  -  ปัญหามากมายสังคมไทย
  -  เลิกเหล้า เลิกจน
  -  ขยะเป็นทอง
  -  ผู้นำ
  -  สนุกกับงาน
  -  คิด พูด ทำ ความสำเร็จ
  -  คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย
  -  พ่อแม่ รังแกฉัน
  -  หลักการเขียนบทความ
  -  เด็กนอกระบบ
  -  หลักการนำเสนอ
  -  ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
  -  U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
  -  มึงสู้จริงหรือเปล่า
  -  การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
  -  นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
  -  จริยธรรม คุณธรรม ความรับผิดชอบ
  -  การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
น้ำมันยังเป็นปัญหาใหญ่
โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 10:27:00 วันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2551

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

โดย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ม.นเรศวร พะเยา)

คอลัมน์ : บ้านเมืองเรื่องวังจันทร์ : ปัญหาน้ำมัน ยังคงเป็นปัญหาใหญ่

ปัญหาน้ำมัน ยังคงเป็นปัญหาใหญ่

ปัญหาพลังงานยังคงมีการพูดอยู่อย่างต่อเนื่องไม่หยุด โดยเฉพาะปัญหาราคาน้ำมันแพงในยุคปัจจุบันและยังมีแนวโน้มแพงขึ้นอีกในอนาคต เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น ถ้าเกิดภาวะสงคราม, การไม่เพิ่มการผลิตของกลุ่มผู้ค้าน้ำมันโอเปก, การเก็งกำไรน้ำมัน, ความต้องการการใช้น้ำมันมีมากกว่าจำนวนน้ำมัน ฯลฯ

มีคนเคยถามกระผมว่ากลุ่มประเทศโอเปกคือใคร คำตอบคือ กลุ่มประเทศที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันใหญ่ๆ อันได้แก่ อิรัก คูเวต อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และเวเนซุเอลา เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2503 และมีสมาชิกเพิ่มในเวลาต่อมาอีก 6 ประเทศ รวมเป็น 11 ประเทศ อันได้แก่ ไนจีเรีย, กาตาร์, ลิเบีย, แอลจีเรีย, อินโดนีเซียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีสำนักงานใหญ่เป็นศูนย์ประสานที่ประเทศออสเตรีย ซึ่งประเทศส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม

สำหรับประเทศไทยเองไม่มีบ่อน้ำมันเป็นของตนเอง จึงต้องซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศกว่า 90% ทำให้ต้องเสียเงินกับการซื้อน้ำมันในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันโลกขึ้น จึงกระทบโดยตรงกับประเทศไทยของเรา และเมื่อรวมกับพลังงานอื่นๆ ปี พ.ศ.2550 ไทยเราใช้พลังงานรวมทั้งสิ้น 869,000 ล้านบาท แยกเป็นน้ำมันดิบ 702,637 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูป 50,140 ล้านบาท ก๊าซเอ็นจีวี 79,761 ล้านบาท ไฟฟ้าซื้อมาจากประเทศเพื่อนบ้าน 7,087 ล้านบาท และถ่านหิน 29,407 ล้านบาท

ตอนนี้รัฐบาลก็กำลังแก้ไขการใช้พลังงานโดยเฉพาะพลังงานน้ำมัน ในการรณรงค์ให้ใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ราคาน้ำมันพลังงานทดแทนที่ใช้แทนน้ำมัน ก็เริ่มมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน ไม่ทราบว่าหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า เช่น แอลพีจี, พลังงานจากพืช ฯลฯ

แต่ในความคิดกระผม เชื่อว่า ถ้าจะให้ดีควรที่จะต้องเริ่มวางแผนแก้ไขในระยะยาว ด้วยการสร้างระบบขนส่งมวลชนที่ดีมีมาตรฐาน เชื่อมโยงทั่วประเทศ เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง, ระบบขนส่งทางอากาศ, ระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน, ระบบขนส่งทางน้ำ ฯลฯ ถ้าทำได้ถูกและมีประสิทธิภาพก็จะทำให้คนหันมาใช้ แทนที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวที่มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน

ถ้าสมมุติว่าระบบขนส่งมวลชนที่ดี ราคาถูก กระผมเชื่อแน่ว่า คนทางภาคเหนือ, ภาคใต้, ภาคอีสาน ฯลฯ ก็จะหันมาใช้จะทำให้มีการบริโภคน้ำมันที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน เราจะสังเกตเห็นว่า ประเทศที่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดี ราคาถูก มักจะไม่มีปัญหาเรื่องราคาน้ำมันมากนัก เช่น ประเทศในยุโรป ประเทศที่เจริญแล้ว


ดังนั้น ก็ขอฝากรัฐบาลช่วยแก้ไขและดูแลด้วยครับ เพราะปัญหาน้ำมันแพงมีผลกระทบกับปัญหาอื่นๆ ด้วย เช่น ผลกระทบกับปัญหาเศรษฐกิจ, ผลกระทบกับปัญหาสังคม, ผลกระทบกับปัญหาการเมือง, ผลกระทบกับความมั่นคงของประเทศ ฯลฯ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน การขึ้นราคาน้ำมันแต่ละลิตรมีผลต่อการขึ้นราคาสินค้า เช่น การขึ้นราคาน้ำมันปาล์มอีกขวดละ 6.50 บาท การขึ้นราคานม-โยเกิร์ตอีก 2 บาท และยังมีสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม 40 รายการ จ่อคิวขึ้นราคา

สรุปปัญหาราคาน้ำมันยังคงต้องมีการพูดถึงกันอีกต่อไปในอนาคต เพราะน้ำมันคือทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด และเป็นที่ต้องการของแต่ละประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศไทยของเรา สำหรับการแก้ไขปัญหาจะต้องมองดูรอบด้าน ไม่ว่าการจะหาพลังงานอื่นมาทดแทน การทำโครงการขนส่งมวลชนที่ดี การประหยัด การควบคุมนโยบายของรัฐบาล





...
  
เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเรียนภาษาอังกฤษให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีความสำคัญมากต่อกระบวนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก ถามว่าคนไทยเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กอนุบาลยันถึงมหาวิทยาลัย แต่ถามว่าทำไมเราถึงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือแม้แต่ทักษะอื่นๆ คือ ฟัง อ่านและเขียน เราก็ไม่เก่งเท่าที่ควร
สาเหตุหนึ่ง เกิดการกระบวนการเรียนภาษาอังกฤษเรา ขาดการเรียนแบบให้นักเรียนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เราจะสังเกตว่า แบบเรียนหรือหนังสือเรียนภาษาอังกฤษที่ให้เด็กนักเรียนเรียน เด็กนักเรียนจะต้องเรียนแบบเรียนแต่ละชั่วโมงไม่ซ้ำกัน เช่น วันนี้เรียนบทที่ 1 พรุ่งนี้เรียนบทที่ 2 มะรืนนี้เรียนบทที่ 3 มะเรื่องนี้เรียนบทที่ 4 เป็นต้น
กล่าวคือเด็กนักเรียนจำเป็นจะต้องเรียนให้จบตามหลักสูตรหรือเรียนตามแผนการสอนที่ครูได้วางเอาไว้ ทำให้เด็กนักเรียนไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแบบเรียนอังกฤษแต่ละบท และเมื่อเลื่อนชั้นจาก ป.1 ขึ้น ป.2 ขึ้น ป.3 ก็ต้องเรียนแบบเรียนหรือหนังสือภาษาอังกฤษเล่มใหม่
ถ้าถามว่า “ แล้วจะทำให้อย่างไร ถ้าต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ” ผมขอตอบอย่างนี้ครับ เราจำเป็นจะต้องใช้กระบวนการเรียนซ้ำหรือทำซ้ำ เพราะการทำซ้ำเป็นหัวใจที่ทำให้เกิดทักษะหรือประสบการณ์ทางด้านภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ความเข้าใจภาษาอังกฤษฝังรากลึกไปยังจิตใต้สำนึก
สมัยกระผมเด็กๆ ผมก็เรียนภาษาอังกฤษแบบเด็กนักเรียนไทยทั่วไปกล่าวคือ เรียนภาษาอังกฤษแบบเข้าใจอย่างผิวเผิน เพราะต้องเรียนเรื่องใหม่ๆตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่กระผมเรียนรู้ก็พลอยลืมเลียนไปด้วย ต่อมาเมื่อกระผมรู้เทคนิคในการเรียนรู้แบบทำซ้ำ จึงทำให้ภาษาอังกฤษอยู่ติดตัวกระผมและสามารถดึงเอาออกมาใช้ได้ตลอดเวลา
ในบทความฉบับนี้เราจะมาพูดถึงเทคนิคนั้น วิธีการก็คือ จงเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากแบบเรียนที่ง่ายๆก่อน แล้วพยายามทำซ้ำ ไม่ว่าจะโดยการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน เมื่อทำซ้ำมากๆจนเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปเรียนแบบเรียนที่มีความยากขึ้นอีกนิดหนึ่ง แล้วทำซ้ำ จนเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเปลี่ยนไปเรียนแบบเรียนที่ยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง ถ้าท่านทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ภาษาอังกฤษของท่านจะพัฒนาไปทีละระดับ และที่สำคัญก็คือท่านจะไม่ลืม
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเริ่มหัดภาษาอังกฤษโดยต้องการพัฒนาทักษะทางด้านการฟัง ขอให้ท่านเริ่มจากการฟังนิทานของเด็ก โดยฟังซ้ำไปเรื่อยๆ เพราะการฟังครั้งแรกท่านอาจจะเข้าใจแค่ 30 % พอครั้งที่สอง อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 35% พอครั้งที่สาม อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 40% พอครั้งที่สี่ อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 45% พอครั้งที่ห้าอาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 50% พอครั้งที่หก อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 55% ครั้งที่เจ็ด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 60% ครั้งที่แปด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 65% ครั้งที่เก้า อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 70% ครั้งที่สิบ อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 75% ครั้งที่สิบเอ็ด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 80% ครั้งที่สิบสอง อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 85% ครั้งที่สิบสาม อาจจะเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็น 90% เป็นต้น
ส่วนตัว กระผมเองต้องขอบอกว่า กระผมเคยฟังนิทานหรือเรื่องราวบางเรื่องมากกว่า 100 ครั้งขึ้นไป จนกระทั่งจำและเข้าใจนิทานภาษาอังกฤษหรือเรื่องราวนั้นๆได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ดังนั้น ถ้าสมมุติว่าท่านต้องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านภาษาอังกฤษ ขอให้ท่านเริ่มหัดอ่านภาษาอังกฤษที่ง่ายๆก่อนแล้วไปหายากขึ้น โดยเริ่มจากการอ่านนิทานของเด็ก โดยการอ่านซ้ำไปเรื่อยๆ อาจจะอ่านเป็น 10 ครั้ง 20 ครั้ง 30 ครั้ง จนกระทั่งมีความเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปอ่านนิทานเรื่องใหม่ แล้วอ่านนิทานเรื่องใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอีก 10 ครั้ง 20 ครั้ง 30 ครั้ง จนกระทั่งมีความเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปอ่านนิทานเรื่องใหม่ที่มีความยากที่มากขึ้น
ถามว่าถ้าเราใช้เทคนิคในการเรียนซ้ำแบบนี้จะทำให้เรียนภาษาอังกฤษช้าไหม คำตอบก็คือ เรียนช้าครับ แต่มันทำให้ภาษาอังกฤษของเรามีความหนักแน่นและอยู่ติดตัวของเราอย่างยาวนาน อีกทั้งยังเข้าใจรูปแบบของแกรมม่า(Grammar)มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราเรียนแบบรวดเร็วอย่างในอดีตคือตอนที่เราเรียนอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย มันพิสูจน์มาแล้วว่าเราเรียนแบบผ่านๆ ถามว่าเราจำสิ่งที่เราเรียนไปในอดีตได้กี่เปอร์เซ็นต์
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนเรียนภาษาอังกฤษ ครูภาษาอังกฤษมักจะสอนประโยคเหล่านี้ให้แก่นักเรียนไทย โดยถามหลายๆรอบ จนเด็กนักเรียนของไทยเราจดจำได้ก็เพราะการถามซ้ำไปถามซ้ำมา คือประโยค Good morning . How are you? I am fine. Thank you and you? เป็นต้น
เช่นกันครับ เด็กชาวอเมริกา พ่อแม่ชาวอเมริกาพูดคำว่า Good morning,Thank you , How are you?กับลูกๆ เกือบทุกๆวัน หากนับได้อาจเป็น ร้อยครั้ง พันครั้ง จนกระทั่งเด็กมีความเข้าใจคำว่า Good morning , Thank you , . How are you? โดยไม่ต้องมีการแปล นี่ก็เพราะการพูดซ้ำและการฟังซ้ำนั่นเอง
ดังนั้น ถ้าเราต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ้าเราต้องการฝึกทักษะในด้านใด(ฟัง พูด อ่านและเขียน) เราควรฝึกทักษะด้านนั้นโดยการทำซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบจนเกิดทักษะ แล้วการเรียนภาษาอังกฤษของท่านจะพัฒนาขึ้นไปทีละระดับและที่สำคัญมันจะอยู่ติดตัวท่านตลอดไป
...
  
สื่ออนาคต
โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 10:09:00 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551

คอลัมน์ ; บ้านเมืองเรื่องวังจันทร์ : “สื่อสารมวลชนในอนาคต” (หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551)

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ สำนักวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์
ม.นเรศวร พะเยา

“สื่อสารมวลชนในอนาคต”

ทีวี 10,000 ช่อง วิทยุ 100,000 สถานี หนังสือพิมพ์ 1,000,000 หัวหนังสือพิมพ์ กำลังจะเป็นจริง โลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ทำให้สื่อสารมวลชนจำเป็นจะต้องมีการปรับตัวในอนาคต ในอดีตมีคำว่า “ใครคือผู้ครอบครองสื่อ คนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้” เพราะผู้ชมหรือผู้อ่าน มักเป็นฝ่ายที่ตั้งรับ โดยเจ้าของสื่อสารมวลชนสามารถกำหนดเนื้อหาของข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านสื่อได้

แต่ในโลกอนาคตอันใกล้ ทีวีหรือหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อสารมวลชนอื่นจะมีจำนวนมากมาย มหาศาล โดยผ่านทาง อินเตอร์เน็ต ทางทีวีก็จะเปลี่ยนเป็น “อินเตอร์เน็ตทีวี” (ไอพีทีวี)

หรือ Internet Protocol Television แล้วทางหนังสือพิมพ์ก็จะเป็น “อินเตอร์เน็ตหนังสือพิมพ์”

ปัจจุบันประเทศไทยเรามีทีวีจำนวนหลักสิบ โดยมีทีวีช่องหลักและทีวีผ่านทางดาวเทียม ซึ่งนับว่ามากกว่าในอดีตที่มีจำนวนหลักหน่วย คือ ช่อง 3, 5, 7, 9 แต่ถ้ารวมกันทั้งโลกในปัจจุบันเรามีสถานีโททัศน์ทั่วโลกอยู่ที่หลักร้อยช่อง แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของ “IPTV” จำนวนช่องทีวีจะมีมากถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว

นับจากที่มีอินเตอร์เน็ต เกิดขึ้นมาทำให้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้น คนรับรู้ข่าวสารข้อมูลมากขึ้น ทีวีหรือหนังสือพิมพ์ ที่ผ่านอินเตอร์เน็ตยังมีจุดเด่นอีกอย่างก็คือ นอกจากจะได้ดูรายการแบบเรียลไทม์เหมือนโทรทัศน์ทั่วไปแล้ว ยังสามารถเรียกดูย้อนหลังได้อีกด้วย หนังสือพิมพ์ทางอินเตอร์เน็ต วิทยุผ่านทางอินเตอร์เน็ต ก็เช่นกัน

จุดเด่นดังกล่าวทำให้บริษัทต่างๆ เริ่มพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งข้อมูลผ่าน ทีวีทางอินเตอร์เน็ต เช่น ค่ายกูเกิล หรือยาฮู บริษัทเมืองไทยก็เริ่มมีการขยับตัว ถ้ามีเวลาท่านผู้อ่านลองเข้าไปที่ เว็บไซต์ www.wakeupwakeupwakeup.com ท่านก็จะเห็นการพัฒนาทีวีอินเตอร์เน็ตของไทยเรา ซึ่งในเว็บไซต์มีทั้งหนังสั้นประมาณ 30 กว่าเรื่อง เพราะกำลังเปิดทำการมาประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้จัดทำทีวีอินเตอร์เน็ตทั่วโลก สามารถนำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์ได้มากขึ้นและสามารถมีขีดการรับรู้ได้กว้างทั่วโลก แต่ข้อเสียก็คือ เป็นการยากต่อการควบคุม

ถ้าหากทีวีอินเตอร์เน็ตบางช่องนำเสนอเรื่องราวที่ไม่มีความเป็นจริง และไปกระทบถึงบุคคลอื่น อาจจะถึงขั้นฟ้องร้องกันในเวลาต่อมา อีกทั้งยังอาจจะมีทีวีอินเตอร์เน็ตประเภท หนังโป๊ คลิปโป๊ และ สิ่งที่ไม่มีสาระปะปนมาได้เช่นกัน ซึ่ง เว็บไซต์ประเภทดังกล่าว บ้านเรานิยมกันเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคของไทยเรานิยมใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อความบันเทิงมากกว่าใช้เพื่อทำงานถึง 80% เลยทีเดียว

ถ้าสื่อสารมวลชนเปลี่ยนแปลงไป ดังกล่าว เราซึ่งหมายถึงผู้บริโภคหรือผู้ชมหรือผู้อ่าน อาจไม่ใช่ผู้ที่ตั้งรับอีกต่อไป เราอาจเป็นผู้รุก ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคหรือประชาชนก็เริ่มรุกมากขึ้นแล้ว เช่น ทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าวได้ เพียงแต่โพสต์เรื่องขึ้นมาแล้วก็จะกระจายไปโดยอัตโนมัติ

สำหรับประเทศไทยเรา การให้บริการทีวีผ่านอินเตอร์เน็ตจะต้องขอใบอนุญาตจาก กสช. ก่อน แต่ขณะนี้ กสช.ยังไม่ได้รับการอนุมัติแต่งตั้งจากวุฒิสภา แต่กระแสของสื่อสารมวลชนของโลกยุคใหม่กำลังแรง



...
  
พ่อแม่
พ่อแม่ รังแกฉัน

โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(โทนี่)


อันชนกชนนีนี้รักเจ้า เทียมเท่าชีวาก็ว่าได้


เมื่อสมัยเด็กๆ เมื่อตอนที่กระผมกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียน กระผมได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งมีเนื้อหาที่ดีและให้แง่คิดมาก กระผมคิดว่าคนรุ่นวัย 20 ปี ขึ้นไป หลายคนคงได้อ่านเช่นกัน หนังสือเล่มนั้นก็คือ หนังสือเรื่อง “ พ่อแม่ รังแกฉัน “ เนื้อเรื่อง เท่าที่จำได้ พอสรุปได้ว่า เป็นเรื่องราวความรักของพ่อแม่ที่ผิดพลาดโดยการ “ ตามใจ” เรื่องมีอยู่ว่าพ่อแม่ เป็นเศรษฐี รักลูกมากๆ มีอะไรก็หามาให้ ตามใจสารพัด ใครจะว่า กล่าวด่าลูกก็ไม่ได้ ลูกจะผิดจะถูกอย่างไรก็ไม่เคยเตือน สอนสั่ง เมื่อลูกไม่สนใจการเรียนก็ไม่เคยเตือน จนลูกเข้าสู่วัยรุ่น ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไม่เคยห้าม คบเพื่อนไม่ดี พากันไปเที่ยว พากันไปกินเหล้า พากันเที่ยวไม่ยอมเรียนหนังสือ พ่อแม่ก็ไม่ว่า ตามใจทุกอย่าง จนเมื่อลูกโตใหญ่และพ่อแม่ก็แก่ตามไปด้วย ปรากฏลูกเศรษฐี เอาไม่รอด ความประพฤติชั่วช้า จนพ่อแม่ตายไปชีวิตที่ร่ำรวยเงินทองจากพ่อแม่ก็กลับเป็นยากลำบาก เพราะหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ในที่สุดต้องกลายเป็นขอทาน ตอนเป็นขอทานกลับไม่สำนึก โทษพ่อแม่ว่าเป็นความผิดที่ตามใจ(รังแกฉัน) จนกระทั่งได้พบกับซินแส ได้เล่าเรียนจนประกอบอาชีพได้


นี่คือ ยาพิษของการเลี้ยงลูกด้วยการตามใจ


หนังสือเล่มนี้ สอนให้รู้ว่า พ่อแม่ ที่รักลูกมากเกินไป ตามใจเกินไป ใครว่ากล่าว สั่งสอนไม่ได้ ในที่สุด เมื่อลูกโตใหญ่ขึ้น ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่เอาตัวไม่รอด


ฉะนั้น ความรักจึงเป็นเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งถูกใช้ในการถากถางในการดำเนินชีวิตและอีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นอาวุธที่ร้ายแรงคอยทิ่มแทงผู้ที่ใช้ความรักได้เช่นกัน


และถ้าจะให้ดี ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาก็ควรที่จะให้เด็กไทยรุ่นใหม่ได้มีโอกาสอ่าน วรรณกรรมประเภทเหล่านี้ให้มากๆ ในโรงเรียนถ้ากระผมจำไม่ผิด หนังสือเรื่อง “ พ่อแม่รังแกฉัน” น่าจะเป็นหนังสือคำประพันธ์บางเรื่องของ ท่านพระยาอุปกิตศิลปสาร


ในสังคมไทยเราปัจจุบันมีมากมาย ไม่ว่าเศรษฐี ไม่ว่าชาวไร่ชาวนา หาเช้ากินค่ำ ผู้หลักผู้ใหญ่บางคน ที่สอนลูกในลักษณะนี้ คือ ตามใจลูก ลูกผิดครูสั่งสอนก็ไม่ได้ ใครจะเตือนก็ไม่ได้ จึงทำให้เด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงมีนิสัย ที่ชั่วร้าย ไม่โต ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้


ในสังคมไทยเราปัจจุบันเราต้องยอมรับเลยว่า การเลี้ยงลูกในสมัยนี้ยากกว่าสมัยก่อน มาก เพราะ


สังคมปัจจุบันเรามีสิ่งเร้า สิ่งยั่วยุ สิ่งเสพติด สิ่งอบายมุข การพนัน เกมส์ และรวมทั้งสื่อลามกอนาจารเป็นจำนวนมาก


ดังนั้น วิธีการเลี้ยงดูลูกหลาน จึงต้องเปลี่ยนแปลงจากอดีต พ่อแม่ผู้ปกครองต้องดูแลให้เวลาลูกหลานเพิ่มมากขึ้น มีศาสตร์และมีศิลป์ในการสอน และต้องมีวิธีการดูปัญหา แก้ปัญหา เป็นระบบ


ไม่มองจุดเดียว เพราะปัญหาของเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน ค่อนข้างเชื่อมโยงกัน เช่น ปัญหาเด็กติดเกมส์ก็มักจะทำให้เด็กเสียการเรียน ร้านเกมส์บางร้านอาจเป็นแหล่งมั่วสุม ซึ่งเป็นที่มาของการขายยาเสพติด การล่อลวงเด็กไปมีเพศสัมพันธ์ เมื่อเด็กต้องการเล่นเกมส์ ต้องการหาเงินไปซื้อยาเสพติด ก็จะเกิดปัญหาลักขโมยตามมา เด็กบางคนอาจมีปัญหามากจนเกิดอาการซึมเศร้า จนกระทั่งต้องฆ่าตัวตายก็มี และยังมีปัญหาที่เชื่อมโยงกับปัญหาเหล่านี้อีกมากมาย


เราจะเห็นได้ว่าปัญหาเด็กและเยาวชน เป็นปัญหาที่ใหญ่ และถ้ายังไม่ช่วยกันแก้ อนาคตของประเทศไทยเราก็คงต้องแย่ เพราะ เด็กและเยาวชนก็คืออนาคตของชาติ (เด็กในวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า)


ความรักความห่วงใย คือ สายใยของครอบครัว

...
  
ปัญหามากมายสังคมไทย
ทุจริต ความปลอดภัย อันตรายจากสื่อ ปัญหามากมายในสังคมไทย
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
แฉปั้นนศ.ผี ถลุงงบหลวง เล่ห์ศูนย์การเรียนรู้ 100 คน สอบจริง 20 คน


น้ำมันพืชพิษ กินเป็นมะเร็ง ขายเกลื่อนภาคใต้ ใส่กรดเหมือนใหม่


ไฮไฟว์ ฉาวอีก “ สวิง “ โจ๋งครึ่ม ใช้เป็นแหล่งนัด โชว์รูปลามกหรา


เป็นหัวข้อข่าวที่พาดหน้าหนังสือพิมพ์ รายวันอยู่ในขณะนี้ เราจะเห็นได้ว่า สังคมไทยในปัจจุบันมีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาทุจริต ปัญหาเรื่องความปลอดภัย อันตรายจากการใช้สื่อ ฯลฯ


อาจจะเป็นได้ว่า สื่อมวลชนไทยต้องการขายข่าวจึง ต้องเสนอข่าวที่ตรงกับความต้องการของคนอ่าน เพราะฉะนั้น สื่อส่วนใหญ่จึงเสนอข่าวที่ร้ายมากกว่าข่าวดีๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย จนเป็นที่ได้ยินกันหนาหูว่า “ ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียเงิน “ เป็นคำพูดที่พูดกันมากในสังคมไทยในปัจจุบัน


แต่ทั้งนี้ การเสนอข่าวก็ต้องเป็นข่าวที่เกิดขึ้นจริง ทำให้เราได้รู้ว่า สังคมไทยในปัจจุบัน นับวันยิ่งไม่มีความปลอดภัย มีอันตรายทุกหนแห่ง


เช่น ข่าวการถลุงงบหลวง เล่ห์ศูนย์การเรียนรู้ ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยเรา ที่เกิดขึ้นหลายองค์กร โดยเฉพาะ องค์กรในระบบราชการไทยเรา เราคงเคยได้ยิน คำว่า


การจัดซื้อจัดจ้าง ผู้อนุมัติจะได้เปอร์เซ็นต์ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติ สร้างตึก สร้างถนน ซื้ออุปกรณ์สำนักงาน ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงทำให้ผู้มีอำนาจอนุมัติ รวยแบบเงียบๆ บางคนถึงกับรวยแบบดังๆ ก็มีให้เห็นกันในสังคมไทย แต่ถามว่ากระบวนการตรวจสอบได้ผลไหมครับ ทำไมคนที่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบ บางคนถึงกับรวยขึ้นแบบฉับพลัน ฉะนั้น เป็นสิ่งที่สังคมไทยเราจะต้องกันช่วยกันหาคำตอบ


ข่าวน้ำมันพืชพิษ เกิดขึ้นในภาคใต้ โดยการนำกรดผสมน้ำมันพืชใช้แล้ว ทำให้สภาพดูเหมือนของใหม่นำมาขายต่อ ทำให้ผู้บริโภคที่ทานไปก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อีกหน่อยก็คงขึ้นมาขายทั่วประเทศ เราคงได้กินน้ำมันพืชพิษ เนื่องจาก ผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็น แผงลอย ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด ฯลฯ อาจจะนำน้ำมันพืชพวกนี้มาขาย เพราะมันถูกกว่าน้ำมันพืชของใหม่เป็นเท่าตัว


ข่าวการใช้สื่ออินเตอร์เน็ต นับวันจะมีปัญหาทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก การควบคุมดูแลเป็นไปได้ยาก ล่าสุด เรื่อง ไฮไฟว์ฉาว มีการนำเสนอ ภาพลามก มีการนัดกันไปมีเพศสัมพันธ์ต่างๆ จนมีสมาชิกนับพันคน ให้ความสนใจในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์นี้ นี่ยังไม่นับ การเสนอเนื้อหาที่จ่อทำลายชื่อเสียงของบุคคลอื่นในสื่ออินเตอร์เน็ตนี้ ดังนั้น จึงขอให้ตำรวจ-เจ้าของเว็บไซต์ต่างๆ ร่วมกันตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้สื่อเหล่านี้มาทำลายเด็กและเยาวชน ซึ่ง เด็กและเยาวชน มีโอกาสที่จะถูกชักนำได้ง่ายๆ


จากการตั้งข้อสังเกตของกระผม เราจะเห็นว่า ปัญหาในสังคมไทย ในปัจจุบัน มีมากมาย เมื่อเทียบกับปัญหาในอดีต ถ้าท่านผู้อ่านลองไปเปิดหนังสือพิมพ์รายวันในอดีตก็พอที่จะเห็นได้ ปัญหาในสังคมไทยปัจจุบัน นับวันยิ่งซับซ้อน


มีความยุ่งยากในการแก้ไขมากขึ้น เหมือนเชือกที่มีปมอยู่หลายปม แก้ปมหนึ่งก็จะเกิดปมใหม่ตามมา และถ้าแก้ไขช้า


ก็จะเกิดปัญหาใหม่ตามมาเช่นกัน


ดังนั้นพวกเราทุกคนในสังคมไทยต้องช่วยกัน เช่น รัฐบาล องค์กรต่างๆ จำเป็นจะต้องปรับตัว มองปัญหาเป็นระบบมากขึ้น ไม่แก้จุดใดจุดหนึ่งแล้วทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาก ครอบครัวจะต้องช่วยกัน อบรมสั่งสอน ลูกหลานให้รู้จักปัญหา รู้จักวิธีแก้ปัญหา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับตน สถาบันการศึกษา ต้องช่วยกันอบรม ให้ความรู้ ในเชิงคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มากขึ้นเด็กและเยาวชน สื่อต้องนำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์มากขึ้น หาแบบอย่างที่ดีมากขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชน เอาไปเป็นแบบอย่าง









...
  
เลิกเหล้า เลิกจน
เข้าพรรษาบวชใจ 3 เดือน เลิกเหล้า เลิกจน

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


โครงการ “ บวชใจงดเหล้าเข้าพรรษา ทำความดีถวายในหลวง ” เป็นโครงการที่ดีมากโครงการหนึ่ง และรัฐบาลก็มีมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติอีกด้วย


การงดเหล้าเข้าพรรษาแค่เพียง 3 เดือน จากข้อมูลการงดเหล้าเข้าพรรษาปี 2549 มีผู้งดเหล้าเข้าพรรษา 5 ล้านคน ทำให้คนงดเหล้าเข้าพรรษามีเงินเพิ่มขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 1,188.97 บาท เท่ากับว่า 3 เดือนเข้าพรรษา จะมีเงินเก็บ 6,000 ล้านบาทเลยทีเดียว


ถ้าเราจะคิดง่ายๆ ถ้าเราตั้งสมมุติฐานว่า หากชาวบ้านจำนวน 100 คน ดื่มอย่างหนักวันละ 1 เป็ก ราคาเป็กละ 5 บาท จะสูญเงินลงขวดเท่ากับ 500 บาท ถ้า 30 วัน จะสูญเงินเท่ากับ 15,000 บาท


ถ้า 90 วันหรือ 3 เดือน จะสูญเงินเท่ากับ 45,000 บาท เลยทีเดียว เท่ากับซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่ได้ถึง 1 คัน


แถมการลด ละ เลิก 3 เดือนในช่วงเข้าพรรษา ยังทำให้ช่วยลดอุบัติเหตุต่างๆ รวมทั้งการทะเลาะวิวาท อีกด้วย


สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการดื่มสุราในปัจจุบัน ได้ลงไปถึงเด็กและเยาวชนจำนวนมาก จากงานวิจัยเรื่อง “ สุรากับพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน กรณีศึกษาในชุมชน จ.พะเยา ” ของ นางนันทนา ศิริสมบัติ พบว่า ปริมาณจำหน่ายสุราปี 2550 จำนวน 7.9 แสนลิตร จำหน่ายเบียร์ 5,326 ล้านลิตร สำหรับจังหวัดพะเยาได้ทำการสำรวจพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กพะเยา จากกลุ่มตัวอย่าง 3,240 ราย พบเด็กหญิงและเด็กชาย มีอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมาก มีความรุนแรงเกือบทุกพื้นที่ โดยเริ่มดื่มสุราครั้งแรกอายุประมาณ 13 ปี จากการเลียนแบบพ่อแม่ คนใกล้ตัว ส่วนเด็กหญิงเริ่มดื่มตามเพื่อนในงานวันเกิด


สำหรับพฤติกรรมการดื่มสุราในเยาวชนที่พบมี 3 รูปแบบ คือ 1.การดื่มสุราในโอกาสเทศกาลต่างๆ รวมทั้งเมื่อได้รับเงินกู้จากกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ก็จะหมุนเวียนเลี้ยงกัน และจะเลี้ยงใหญ่หากหลายคนใน


กลุ่มได้เงินมาพร้อมกัน ซึ่งน่าเป็นห่วงหน่วยงานที่รับผิดชอบควรเร่งศึกษาการใช้เงินของเด็ก 2. กลุ่มเด็ก ม.ต้นและม.ปลาย ที่ดื่ม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยเด็กยอมอดอาหารหรือหลอกพ่อแม่ว่าขอเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียน แต่นำเงินมาลงขันตั้งวงดื่มกัน และ กลุ่ม 3. ม.ต้น ที่เป็นเด็กเกเร หนีเรียน ก่อคดี ลักขโมย ยาเสพติด พฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม โดยจะดื่มสุราเกือบทุกวัน หรือ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ เกือบ 20 วันใน 1 เดือน ซึ่งนับเป็นกลุ่มติดสุราแล้ว


นางนันทนา ศิริสมบัติ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพะเยา กล่าวว่า การป้องกันคือพ่อแม่ ต้องช่วยอบรมดูแลชี้ให้เห็นถึงโทษการดื่มสุรา สอนให้เด็กรู้จักปฏิเสธ ส่วนสถานศึกษา ครูต้องใช้จิตวิทยาวัยรุ่นเข้าไปปรับพฤติกรรมเด็กให้ได้ (อ้างอิง หนังสือพิมพ์ไทยรํฐ 18 กค.51)


สำหรับ คุณนันทนา ศิริสมบัติ กระผมรู้จักเป็นการส่วนตัว สำหรับการวิจัยเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์มากครับ ทำให้เราได้รู้เห็นสภาพของสังคมพะเยา และกระผมคิดว่าในจังหวัดอื่นๆ ถ้ามีการวิจัยลักษณะดังกล่าว ผลที่ออกมาก็คงใกล้เคียงกัน


สำหรับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา สมัยก่อนไม่มีครับ พึ่งมามีไม่กี่ปี ข้อดีของเงินกู้เพื่อการศึกษาก็คือ ทำให้เด็กที่ต้องการศึกษาต่อมีโอกาสในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่ผลเสียก็อย่างที่มีคนกล่าวถึงก็คือ เด็กบางคนนำเงินไปซื้อ เหล้า เที่ยว ซื้อมือถือ ผ่อนรถจักรยานยนต์ ฯลฯ


และรัฐบาลปัจจุบันก็มีแนวคิดจะขยายเพดานรายได้ครอบครัวของผู้มีสิทธิ์กู้กองทุน กยศ.เป็น 2.5 แสนบาทต่อปี จากเดิม 2 แสนบาทต่อปี ในด้านหนึ่งกระผมคิดว่าเป็นการช่วยเหลือเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสเพิ่มมากขึ้น แต่รัฐบาลต้องมีภาระเพิ่มขึ้น เนื่องจากการกู้ กยศ.ไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่ปีเดียว


ท้ายนี้ ก็ต้องขอฝากเด็กที่มีสิทธิ์กู้กองทุน กยศ. เมื่อมีโอกาสก็ต้องใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์มากที่สุดไม่ควรนำเงินไปใช้ นอกวัตถุประสงค์ของผู้ให้กู้







...
  
ขยะเป็นทอง
รักษาสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนขยะให้เป็นทอง

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)


เมื่อพูดถึงคำว่า “ ขยะ ” มักเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่คอยชอบกันและถูกมองในทางลบ เพราะถ้าพื้นที่ไหนมีขยะมากๆ พื้นที่นั้นมักจะมีปัญหามากตามมา


ดังเช่น ขยะ เป็นปัญหาใหญ่อันดับหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร จากข้อมูลมีปริมาณขยะสูงถึง 8.5 พันตันต่อวัน หากคิดเฉลี่ยเป็นรายบุคคลแล้ว 1 คนจะก่อให้เกิดขยะในปริมาณ 0.8 - 1 กิโลกรัมต่อวัน จึงเป็นภาระหนักของ กทม. ในการกำจัดขยะเหล่านั้น ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นมากมายนี่เองส่งผลให้มีขยะตกค้างเป็นจำนวนมากในแต่ละวันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ในสังคมมากมาย ได้แก่


- บ้านเมืองสกปรกไม่น่ามอง เสียทัศนียภาพ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน


- เป็นแหล่งเพราะพันธุ์สัตว์และพาหนะนำโรคต่าง ๆ เช่น หนู แมลงสาบ แมลงวัน ทั้งยังเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคโดยตรง เช่น อหิวาตกโรค อุจจาระร่วง บิด โรคผิวหนัง บาดทะยัก โรคทางเดินหายใจ เป็นต้น


- ทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษ เช่น ตะกั่ว ปรอท ลงสู่พื้นดิน และแหล่งน้ำ


- ทำให้แหล่งน้ำเน่าเสีย


- ท่อระบายน้ำอุดตัน อันเป็นสาเหตุของปัญหาน้ำท่วม


- เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละออง เขม่า ควัน จากการเผาขยะ และเกิด ก๊าชมีเทนจากการฝังกลบขยะ


- ขยะบางชนิดไม่ย่อยสลาย และกำจัดได้ยาก เช่น โฟม พลาสติก ทำให้ตกค้างสู่สิ่งแวดล้อม


( ข้อมูล จาก http://www.bu.ac.th/hotnews/iso/isomain3.html)


แต่ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ถ้าเรารู้จักเปลี่ยนขยะมาเป็นรายได้ ก็จะทำให้พื้นที่นั้น ชุมชนนั้น มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากหลายหน่วยงานในปัจจุบันที่แปรเปลี่ยนขยะมาเป็นทองหรือรายได้ บางแห่งตั้งเป็นธนาคารขยะ บางแห่งตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้การกำจัดขยะ ฯลฯ


การคัดแยกขยะก่อนทิ้ง การรีไซเคิลขยะ ถ้าทำกันอย่างจริงจังแล้ว เราสามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลเลยที่เดียว เช่น พลาสติก ขวดแก้ว กระป๋องเครื่องดื่ม เศษเหล็ก เศษสังกะสี เศษกระดาษ เศษแก้ว ฯลฯ


จนบางแห่งสามารถทำเป็นรูปธุรกิจ แล้วขายแฟรนไชส์ได้อีกด้วย ดังเช่น แฟรนไชส์ วงษ์พาณิชย์


ส่วนที่เหลือ ยังสามารถทำเป็นปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์อีกด้วย ดังจะเห็นได้จากข้อมูล


นายเกษม ทองปาน รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมพัฒนาที่ดินจัดกิจกรรมรณรงค์การจัดการวัสดุเหลือใช้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมีในโครงการแปลงขยะเป็นทอง ด้วยการนำขยะหรือเศษอาหาร วัสดุเหลือใช้ในครัวเรือนและภาคเกษตรมาแปรรูปเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ สารบำบัดน้ำเสียและขจัดกลิ่นเหม็น โดยนำร่องใน 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ อุบลราชธานี กรุงเทพฯ และปริมณฑล ( นสพ.แนวหน้า 6 มิย.51)


และที่สำคัญ ขยะยังเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย จากการที่บริษัท Biffa ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัทอังกฤษ ได้ทดลองผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซที่เกิดจากการย่อยสลายของขยะได้สำเร็จ





นี่คือประโยชน์ของ ขยะ สิ่งปฏิกูล ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ และทุกคนรังเกียจมัน กำลังเป็นปัญหาก่อความเดือดร้อนให้กับชาวกรุงเทพ และชาวเมืองอุตสาหกรรมในขณะนี้ แต่ถ้าเรานำไปใช้ให้ถูกทางมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง

...
  
ผู้นำ
กองทัพลาโง่ที่มีราชสีห์เป็นผู้นำหรือกองทัพราชสีห์ แต่มีลาโง่เป็นผู้นำ

โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การเป็นผู้นำ(Leader) มีความสำคัญกับการอยู่รอด การเจริญก้าวหน้า การถดถอย การก้าวกระโดด ขององค์กร ถ้าองค์กรใด มีผู้นำที่เก่ง ดี องค์กรนั้นก็จะเจริญก้าวหน้าไปได้ด้วยดี


เราหลายคนคงเคยได้ยินสุภาษิตของอังกฤษที่กล่าวถึง “An Army of Stages led by lion would be better than an army of a lion bed by stages ”แปลเป็นไทยได้ความว่า “ กองทัพกวางที่นำโดยราชสีห์ ดีกว่ากองทัพราชสีห์ที่นำโดยกวาง ”


เพื่อให้เข้าใจง่าย ต่อสังคมไทยเนื่องจากเป็นสุภาษิตของอังกฤษ กระผมขอเปลี่ยนแปลงเป็น


“ กองทัพลาโง่ที่มีราชสีห์เป็นผู้นำ มีกว่ากองทัพราชสีห์ที่มีลาโง่เป็นผู้นำ ”


กองทัพลาโง่ที่มีราชสีห์เป็นผู้นำ หมายถึง การที่คนในองค์กร มีประสิทธิภาพประสิทธิผลที่ต่ำ มีคนในองค์กรที่ไม่เก่งมากๆ แต่กลับมี ผู้นำที่ชาญฉลาด หลักแหลม มีปัญญา รู้จักวางแผน แก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ มีทักษะการนำการจูงใจให้คนทำงาน ทำให้องค์กรนั้นเกิดการเจริญเติบโต ก้าวหน้า


กองทัพราชสีห์ที่มีลาโง่เป็นผู้นำ หมายถึง การที่คนในองค์กร มีความเก่ง ฉลาด มีความสามารถ แต่กลับมีผู้นำที่โง่ ไร้ปัญญา เมื่อมีปัญหาก็ตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ทำให้เกิดการผิดพลาด เกิดขึ้นกับองค์กร ไม่ยอมฟังลูกน้องที่เก่งกว่า ดีกว่า เพราะ มีอคติคิดว่าตัวเองเก่งกว่า ดีกว่าลูกน้อง


ยกตัวอย่างเช่น สามก๊ก ก๊กของเล่าปี่ กับ ขงเบ้ง มีกำลังพลน้อยกว่า ในการก่อสร้างก๊กใหม่


แต่ก็สามารถได้รับชัยชนะ เนื่องมาจากการมี ขุนศึกที่เก่ง เช่น กวนอู , เตียวหุย,จูล่ง ฯลฯ และก็มีกุนซุนที่เก่ง กว่า ก๊กอื่นๆ ก็เลยทำให้ก๊กของเล่าปี่กับขงเบ้ง ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดังเช่นคำว่า กองทัพลาโง่ที่มีราชสีห์เป็นผู้นำ


แต่บางก๊ก มีกำลังพลมาก แต่ก็พ่ายแพ้ เป็นผลมาจากการขาดผู้นำที่ดี ที่เก่ง ดังเช่นคำว่า กองทัพราชสีห์ที่มีลาโง่เป็นผู้นำ


เราอาจจะเปรียบเทียบถึงการศึกษาในโรงเรียนก็ได้ เช่นเด็กที่เรียนไม่เก่ง หัวสมองไม่ดี ไม่มีความขยันขันแข็ง ไม่มีความเอาใจใส่การเรียน แต่ถ้ามีครูที่เข้มงวดกวดขัน เด็กในห้องนั้น ก็จะเริ่มที่จะเรียนเก่งขึ้น หรือ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน


แต่ถ้า เด็กนักเรียนในห้องนั้น หัวสมองดี มีความรับผิดชอบ เรียนเก่ง ขยันขันแข็ง แต่กลับมีครูที่ ไม่เก่ง มันสมองไม่ดี ขาดการเอาใจใส่ ขาดความเข้มงวดกวดขัน ผลคือ เด็กที่เก่งก็จะกลายเป็นเด็กที่มีมันสมองที่ลดลงในที่สุด


สำหรับทักษะหรือสิ่งที่ผู้นำควรมี ได้แก่ การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน,วิสัยทัศน์ของผู้นำ,เทคนิคในการตัดสินใจ,การสื่อสารที่ดี , คุณธรรมของผู้นำ ฯลฯ


แล้วท่านคิดว่าในองค์กรของท่าน คนในองค์กร และ ผู้นำในองค์กร เปรียบดัง กองทัพลาโง่ที่มีราชสีห์เป็นผู้นำ หรือ กองทัพราชสีห์ที่มีลาโง่เป็นผู้นำ ?














































...
  
สนุกกับงาน
จงสนุกกับการทำงาน
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มักจะเลือกงานที่ตัวเองทำแล้วสนุก อีกทั้งยังตรงกับเป้าหมายในชีวิต ความสามารถในตัวเอง


การเลือกอาชีพในการทำงานจึงถือว่าสำคัญมากในการที่คนๆ นั้น จะประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือเป็นคนธรรมดา ดังนั้น การเลือกงานที่ชอบจึงสำคัญกว่าเลือกงานเพราะมีเงินเดือนมาก หรือได้เงินตอบแทนมาก โดยที่ตนเองอาจไม่ชอบงานนั้นๆ


การเลือกอาชีพเพราะเห็นว่ามีความมั่นคง ถึงเลือกก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ประสบความสำเร็จทำกัน


เช่น งานราชการ ผมไม่ได้กล่าวว่างานราชการไม่ดี งานราชการมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังเช่นงานอื่นๆ แต่งานราชการบางครั้งก็ทำให้ศักยภาพของคนที่ต้องการประสบความสำเร็จด้อยลง เพราะเคยมีคนกล่าวว่า ถ้าจะทำงานราชการให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องยึดหลัก 3 ข้อ คือ


1.เจ้านายไม่ผิด


2.ถ้าเจ้านายผิดก็ให้กลับไปดูข้อ 1. ใหม่


3.ห้ามทะเลาะกับเจ้านาย เพราะจะทำให้เกิดความหายนะ


แต่ถ้าอยากทำงานในหน่วยงานราชการ บางหน่วยงานราชการให้ประสบความสำเร็จ (กระผมบอกว่าบางหน่วยงานราชการนะครับ) คนๆนั้น จะต้องมีลักษณะดังนี้


สายโลหิต ศิษย์ข้างเคียง ส่งเสบียงหลังบ้าน กราบกรานสอพลอ ล่อไข่แดง คนนั้นจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว


สายโลหิต หมายถึง เรามีสายเลือดเดียวกันกับ เจ้านายหรือผู้บริหารคนนั้น อาจเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง


ลุง ป้า น้า อา ญาติห่างๆ ฯลฯ


ศิษย์ข้างเคียง หมายถึง เราเป็นลูกศิษย์ของเจ้านายหรือผู้บริหาร คนนั้น ทำให้เจ้านายหรือผู้บริหารเกิดความเอ็นดู รักชอบเรา มีอะไรก็เรียกใช้ เมื่อถึงเวลาพิจารณาเงินเดือนหรือตำแหน่ง มักจะได้มากกว่าหรือเลื่อนขั้นเร็วกว่า เพื่อนร่วมงาน


ส่งเสบียงหลังบ้าน หมายถึง เราต้องเอาของขวัญหรือมีของฝากเนื่องในโอกาสต่างๆ ให้เจ้านายหรือผู้บริหาร แต่ถ้าเจ้านายหรือผู้บริหารไม่รับ เราก็ต้องแอบให้แก่ภรรยาหรือเมียเจ้านายหรือผู้บริหารแทนแล้วภรรยาหรือเมียเจ้านายก็จะพูดถึงเราในแง่ดี


กราบกรานสอพลอ หมายถึง เราต้องพยายามประจบ สอพลอ เจ้านาย รู้จักพูด รู้จักชม เจ้านายหรือผู้บริหาร แต่เราต้องมีศิลปะในการพูด เพราะถ้าพูดผิดนิดหนึ่ง เขาอาจมองเราในแง่ไม่ดีได้เช่นกัน แล้วอาจเป็นภัยแก่ตัวเองได้


ล่อไข่แดง หมายถึง เอาตัวเข้าแลก หรือ เอาผู้หญิงเข้าล่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งและความก้าวหน้าในอาชีพการงาน


ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องวิเคราะห์ด้วยว่า เจ้านายหรือผู้บริหาร ของเรามีนิสัยหรือพฤติกรรมเช่นไรเราถึงตอบสนองถูก เช่น เจ้านายหรือผู้บริหารเป็นคนรักครอบครัว เราดันหาผู้หญิงให้นายหรือพยายามเอาตัวเข้าแลก


ปรากฏว่าการกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำลายความก้าวหน้าของตนเอง


การเลือกอาชีพ ตามกระแส คนบางคนอาจจะไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ว่าตนต้องการอะไร เหมือนกับเด็กๆ เห็น ภราดร ศรีชาพันธ์ ตีเทนนิส ประสบความสำเร็จ บางคนก็อยากให้ลูกตีเทนนิส บางคนเห็น ไทเกอร์วูด ตีกอล์ฟ ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง ก็อยากให้ลูกเป็นนักกอล์ฟบ้าง แต่หารู้ไม่ว่า คนเรามีความสามารถแตกต่างกันไป เราไม่อาจเลียนแบบคนอื่นแล้วประสบความสำเร็จตามคนๆนั้นได้


การเลือกอาชีพ ตามเวรตามกรรม บางคนซึ่งอาจเป็นคนส่วนใหญ่ก็ว่าได้ เลือกอาชีพ ตามเวรตามกรรม เห็นว่างานไหน มีตำแหน่งว่างก็สมัครไปก่อน เมื่อได้ทำแล้ว ก็ทำแบบสบายๆ ไม่กระตือรือร้น ไม่มีความสนุกในงาน เกิดอาการเบื่อหน่าย ดูสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของที่ทำงานก็เกิด อาการเซ็ง ถ้าเป็นอย่างนี้ กระผมขอแนะนำให้เปลี่ยนงานใหม่ที่ตรงกับความชอบ ความรัก และตรงกับความสามารถ รวมทั้งความฝันของตนเองด้วย


แต่แท้จริงแล้ว การเลือกอาชีพ หรือ เลือกงานนั้น มีความหมายมากๆ สำหรับการดำเนินชีวิตและผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต การทำงานที่ตนชอบจะทำให้ตนเองเกิดความสนุก การทำงานที่ตนชอบจะทำให้ผู้นั้นทำงานได้นานกว่าปกติ การทำงานที่ตนเองชอบจะทำให้คนนั้น มีความอดทนต่อความล้มเหลวได้มากกว่าคนธรรมดา การทำงานที่ตนเองชอบจะทำให้คนนั้นอดทนต่อการถูกด่าทอ อดทนต่อการดูถูก กว่าคนที่ไม่มีเป้าหมาย


ดังนั้น จงเลือกงานที่ตนเองชอบ เราจะมีความสุข เราจะมีความสนุก และเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต

...
  
คิด พูด ทำ ความสำเร็จ
ฟัง คิด พูด ทำ สู่ความสำเร็จของนักบริหาร


โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


ม.นเรศวร พะเยา


นักบริหารที่ต้องการประสบความสำเร็จในงานด้านบริหารจัดการ ควรมีหลักยึดของนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งหลักยึดในการปฏิบัตินั้นมีอยู่หลายทฤษฏี มีอยู่หลายแบบ แล้วแต่ว่าเราจะยึดหลักไหน แต่ในวันนี้กระผมขอนำเสนอ หลักยึดหนึ่งที่ทำให้ผู้บริหารประสบความสำเร็จก็คือ ฟัง คิด พูด ทำ


1.พึงฟัง เพื่อค้นหาความต้องการหรือปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในงาน นักบริหารที่ดี ต้องรู้จัก ฟัง ฟัง ฟัง ฟัง เพื่อหาความต้องการหรือปัญหาที่แท้จริง ตั้งใจฟังในปัญหาหรือความต้องการของลูกน้องหรือลูกค้า ไม่ควรพูดในขณะที่ลูกน้องหรือลูกค้า บอกหรือบรรยายเกี่ยวกับปัญหาเพราะจะทำให้เราไม่ทราบปัญหาที่แท้จริง


สำหรับศิลปะในการฟัง คือ เมื่อลูกน้องหรือลูกค้า เล่าเรื่องหรือปัญหาอะไร เราอาจมีการตอบรับบ้าง เช่น โอ้โฮ เหรอครับ เยี่ยมเลย ครับ ค่ะ ยอดไปเลย คือฟังแล้วได้อรรถรสได้บรรยากาศ มี Feedback (การตอบสนองกลับมาบ้าง) จะทำให้ลูกน้องหรือลูกค้า รู้สึกว่าเราให้ความสนใจในสิ่งที่เขาพูดมา


2.พึงคิด คิดเป็นระบบ คิดรอบด้าน คิดในการหาทางออกของปัญหา โดยอาจมีวิธีคิด เป็นระบบ คิดในเชิงกลยุทธ์ คิดในอนาคต คิดในเชิงเปรียบเทียบ คิดในการหาทางออกของปัญหาว่าจะแก้ไขอย่างไร จึงจะดีที่สุดในสถานการณ์ในขณะนั้น เพราะ ถ้าผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาด องค์กรนั้นอาจถึงขั้น ล้มละลายเลยก็ได้ ดังเช่น สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในอดีตและปัจจุบัน


ในบางครั้ง ผู้บริหารหรือผู้นำ อาจคิดมากจนเกินกว่าเหตุ ซึ่งสิ่งที่คิดอาจทำให้เกิดความเครียดในการทำงานได้ เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไม่มีประโยชน์ ดังคำพูดที่บอกว่า “ อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังคำพูด”


3.พึงพูด ระวังคำพูดในการพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา พูดในสิ่งที่ควรพูดเมื่อมีปัญหาหรือคนในองค์กร รวมทั้งลูกค้า เกิดความไม่พอใจ ไม่เข้าใจ ผู้บริหารที่ดีจึงเป็นผู้ที่ต้องรู้จักใช้คำพูด รู้ว่าเมื่อไร ควรพูด เมื่อไร ควรเงียบ เพราะการ ที่พูดออกไปโดยไม่ได้คิด ก็เหมือนกับการยิงกระสุนออกไปโดยไม่ได้เล็งเป้า และถ้าผู้บริหารหรือผู้นำ สื่อสารผิดก็จะทำให้คนในองค์การเกิดความไม่เข้าใจหรือสับสนได้


การพูดของผู้นำมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน จนเคยมีคนเคยกล่าวมาว่า “ ถ้าท่านไม่สามารถลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ ท่านอย่าปรารถนาเป็นผู้นำ ” ดังนั้นผู้ที่เป็นผู้นำหรือผู้บริหาร ทุกคนจำเป็นจะต้องลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ (ไม่ใช่ว่าผู้ที่ลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนจะเป็นผู้นำทุกคน )แต่ผู้นำหรือผู้บริหารทุกคนจะต้องลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้


4.พึงทำ ควรประพฤติตนให้สมกับเป็นผู้นำ ผู้บริหาร จะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี มีจริยธรรม มีคุณธรรม ถ้าผู้นำหรือผู้บริหาร ทุจริตต่อองค์กร ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์กร ลูกน้องก็จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ถ้าผู้นำหรือผู้บริหารเป็นคนดี ขยันขันแข็ง ลูกน้องก็จะเอาเยี่ยงอย่างเช่นกันคือ ประพฤติดี ขยันขันแข็งในการทำงาน


ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี พึงฟัง เพื่อหาความต้องการหรือปัญหาของลูกน้อง ลูกค้า


ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี พึงคิด คิดเพื่อที่จะนำไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น


ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี พึงพูด พูดเพื่อทำความเข้าใจกับคนในองค์กรหรือลูกค้า


ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี พึงทำ ทำตนให้เป็นแบบอย่าง ทำตนให้น่าเชื่อถือ





ความลับของความสำเร็จ คือ เตรียมตัวให้พร้อม พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรอโอกาสที่จะมาถึง ในวันข้างหน้า




...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.