หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  ธรรมาภิบาล
  -  บทความที่ดี
  -  ขายเก่ง....รวยก่อน.....
  -  เทคนิคการประชุม
  -  ปัญหาของเด็ก
  -  การพูดของอาจารย์จตุพล ชมภูนิช
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  ลักษณะนักพูด
  -  หัวอกพ่อแม่
  -  พูดโอกาสต่างๆ
  -  สั่นเพราะไมค์
  -  ผู้บริหาร มนุษย์สัมพันธ์
  -  เทคนิคในการพูด
  -  IMC ของไทยรักไทย
  -  อาชีพ ผู้นำ องค์กร
  -  เอดส์ วัยรุ่น สังคมไทย
  -  นักเขียน
  -  เหล้ากับเด็ก
  -  สู่ผู้นำ
  -  อาหารปลอดภัย
  -  ทำไมคนดีๆ จึงลาออก
  -  อารมณ์ขันกับนักพูด
  -  ฝึกพูด
  -  น้ำเมารอบสถานศึกษา
  -  การมีมนุษย์สัมพันธ์
  -  เหล้า เบียร์ วัยรุ่น
  -  องค์กรกับผู้บริหาร
  -  ศิลปะในการบริหาร
  -  คนตกงานกับปัญหาสัึงคม
  -  สื่อลามกกับวัยรุ่น
  -  คนคือทรัพย์สิน
  -  การเผาป่า
  -  ผู้บริหารกับการตลาด
  -  ศิลปะการฟัง
  -  เพศกับวัยรุ่น
  -  ทีม
  -  เตรียมพูด
  -  กล้าล้มเหลวจึงสำเร็จ
  -  ทัศนคติกับการขาย
  -  เอดส์ สังคมไทย
  -  เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด
  -  ธรรมชาติการขาย
  -  หัวใจงานบริหาร
  -  ลิขสิทธิ์
  -  กิ๊ก
  -  จริยธรรมของไทย
  -  แฟชั่น นักศึกษา
  -  น้ำมันลอยติดลมบน
  -  อดทนเพื่อชนะ
  -  พจนานุกรมวัยรุ่น
  -  เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
  -  โลกร้อน
  -  สื่ออนาคต
  -  ปัญหามากมายสังคมไทย
  -  ยาเสพติด
  -  เลิกเหล้า เลิกจน
  -  ขยะเป็นทอง
  -  ผู้นำ
  -  สนุกกับงาน
  -  คิด พูด ทำ ความสำเร็จ
  -  หมวก 6 ใบ
  -  ยกระดับบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ
  -  คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย
  -  พ่อแม่ รังแกฉัน
  -  หลักการเขียนบทความ
  -  สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
  -  หลักการนำเสนอ
  -  ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
  -  ความคิดสร้างสรรค์
  -  U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
  -  มึงสู้จริงหรือเปล่า
  -  การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
  -  นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
  -  จริยธรรม คุณธรรม ความรับผิดชอบ
  -  การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ทำไมคนดีๆ จึงลาออก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

ทำไมคนดีๆ จึงไม่ยอมอยู่ในองค์กร


ถามว่าทุกองค์กรต้องการคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนมีฝีมือ และคนมีคุณภาพ มาอยู่ในองค์กรหรือไม่

ขอตอบว่า ทุกองค์กร อยากที่จะมีคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนมีฝีมือ และ คนมีคุณภาพ เข้ามาอยู่ในองค์กรทั้งสิ้น บางองค์กร ถึงขนาดจ้างหรือให้เงินเดือน คนเหล่านี้ สูงมากๆ เพื่อจูงใจให้คนเหล่านี้อยู่ในองค์กร

แต่ทำไม เมื่อคนเหล่านี้ เข้ามาอยู่ในองค์กรแล้ว แค่ระยะเวลาหนึ่งคนเหล่านี้ก็ขอ ลาออกไป สาเหตุที่คนมีคุณภาพเหล่านี้ ต้องออกไป อาจมีอยู่หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักของคนทำงานให้องค์กรไม่นานก็คือ เรื่องของคนนั่นเอง และปัญหาโดยมากที่เกิดมักเกิดจากหัวหน้างานนั่นเอง ในวันนี้ เราจะมาพูดลักษณะที่ไม่ดีของหัวหน้างานที่ทำให้ลูกน้องไม่อยากอยู่ร่วมองค์กร มีดังนี้

1.ขาดความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คำพูด การกระทำและหน้าที่การงาน


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน คำพูดสำคัญมากครับ ดังนั้น ก่อนที่จะสัญญากับลูกน้องเรื่องอะไรต้องมั่นใจว่าทำได้เสียก่อน เช่น การรับปากว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ แล้วไม่เลื่อนจึงถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบทางการพูด หรือ รับปากว่าจะให้ผลประโยชน์ต่างๆ แล้วไม่ให้ (โบนัส ขึ้นเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง) แล้วไม่ให้ จึงถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบทางคำพูดอย่างยิ่ง แล้วในที่สุดจะไม่มีลูกน้องเชื่อถือ


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน ต้องมีความรับผิดชอบทางการกระทำ แต่หัวหน้างานที่ไม่ดีมักจะรับแต่ชอบแต่ไม่ชอบรับผิด คือ สิ่งไหนดีตัวเองบอกว่าเป็นผลงานของตนเอง แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็จะโยนให้ลูกน้อง นี่เป็นลักษณะที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งของหัวหน้างาน


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน เราจะเห็นว่าผู้เป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคนที่ดี ต้องรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างสูง บางครั้งเราจะเห็นว่าถ้างานไม่เสร็จ เขาจะทำจนเสร็จบางครั้ง ทำงานจน ตี 1-ตี 2 เลยก็มีเพื่อให้งานนั้นเสร็จ


2.หัวหน้างานที่ดี ต้องมีความสามารถในการบริหาร คือ ต้องมีความรู้ความสามารถในด้านการบริหารงาน ไม่โยนให้ลูกน้องทำแต่ตัวเองไม่ยอมทำ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารคน การบริหารงาน และการบริหารเงิน


3.หัวหน้างานที่ดี ต้องรู้จักสอนงานลูกน้อง หัวหน้างานบางคนใจไม่กว้าง คับแคบ ไม่ยอมสอนงานลูกน้อง หรือ สอนงานให้ไม่หมด เนื่องจากกลัวลูกน้อง ได้ดีกว่า รู้มากกว่า การไม่สอนงานลูกน้อง ทำให้คนองค์กรไม่มีคุณภาพ หรือพัฒนา จึงไม่สามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นได้


4.หัวหน้างานที่ดีไม่ควรสร้างความแตกแยกในองค์กร เพราะ ผู้บริหารหรือหัวหน้างาน บางคนเชื่อว่าการสร้างความแตกแยก จะทำให้การบริหารงานนั้นง่ายขึ้น เพราะลูกน้องจะไม่รวมตัวกันกดดัน หัวหน้างาน


5.หัวหน้างานที่ดีต้องรู้จักพัฒนาตนเองไม่ว่าทั้ง การงานและความรู้ อีกทั้งต้องกระตุ้นให้ลูกน้องพัฒนาตนเองด้วยทั้งการงานและความรู้ ดังนั้น หัวหน้างานต้องเป็นแบบอย่างที่ดี


สุดท้ายก็ขอฝากแง่คิดเกี่ยวกับคนไว้ดังนี้ครับ


ฉลาดและขยัน เป็นนายคน


ฉลาดและขี้เกียจ เป็นที่ปรึกษา


โง่และขี้เกียจ เป็นคนรับใช้


โง่และขยัน เป็นอะไรก็ไม่ได้





























...
  
อารมณ์ขันกับนักพูด
ทำไมนักพูดจึงต้องมีอารมณ์ขัน

โดย..อาจารย์จตุพล ชมภูนิช

วงการนักพูดบ้านเราในขณะนี้ ถ้าเอ่ยชื่อ “จตุพล ชมภูนิช” หลายคนต้องร้องอ๋อ (แต่ไม่ใช่ อ๋อ…เหรอ) เพราะหลายคนบอกว่าเขาเป็นนักพูด นักเขียน นักฝึกอบรม และล่าสุดเป็นพิธีกร แต่เชื่อหรือไม่ว่า อาชีพทั้งหมดที่บอกไปนั้น เริ่มต้นจากการ “พูด” แทบทั้งสิ้น”

นักพูดไม่จำเป็นต้องพูดเก่งมาตั้งแต่เกิด และนักพูดก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้ใครรู้ว่าตัวเองพูดเก่ง เขาผู้นี้ก็เช่นกัน เขาเริ่มการพูดเป็นทางการครั้งแรกในชมรมโต้วาทีในมหาวิทยาลัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องเริ่มต้นจากความชอบก่อนเป็นอันดับแรก และจากนั้นเราจะมาดูว่าเขาเริ่มต้นเป็นนักพูดมืออาชีพได้อย่างไร

“…ก็ฝึกตัวเองก่อนนะ เวลาเดินเข้าบ้านก็พูดเสียงดัง ๆ ตะโกนไปเลย เพราะซอยแถวบ้านไม่ค่อยมีคน ก็เดินเข้าไปก็พูดไปด้วย พอสักพักก็ได้เริ่มฝึกฝนวิธีคิด วิธีการพูดโดยไม่ต้องเตรียมตัว มันก็ได้ประสบการณ์ขึ้นมาส่วนหนึ่ง…

…จากนั้นก็มาฝึกพูดในรั้วมหาวิทยาลัย ครั้งแรกนี่ไม่ประสบความสำเร็จ คือไม่มีคนฟัง ไม่มีคนชอบ อะไรก็ไม่รู้นะ (หัวเราะ)… นี่คือในช่วงแรก ๆ ทำไม่ได้ แต่ผมเป็นคนที่ถ้าทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งพยายามขึ้น ไม่ใช่ว่าเลิก ก็แสดงว่าความพยายามของเรายังไม่ถึง เรายังไม่ให้เวลาเต็มที่ ความสามารถเรายังไม่พอ ก็ต้องเพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไปให้มันด้วย เลยกลับมาฝึกใหม่…”

ตอนนั้นใครเป็นนักพูดในดวงใจ?

“…ตอนนั้นรุ่นพี่ ๆ ในมหาวิทยาลัยที่พูดเก่ง ๆ ก็มีหลายคน เราก็ดู ๆ แล้วก็ลองศึกษาว่าเขามีวิธีการพูดอย่างไร ทำไมคนถึงสนุก คนถึงฮาเฮ ก็มีหลายคนนะ แต่ว่าแต่ละคนก็หยิบมาอย่างละเล็กละน้อย อย่างคนนี้พูดเสียงหนักแน่นดี คนนี้มีลูกเล่นลูกฮาดีนะ…

…จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ผมก็คอยสังเกตการณ์ตลอด เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะหยิบยกของแต่ละคนมา บางคนมีไหวพริบปฏิภาณดี บางคนก็มีวิธีการพูดดี สำนวนดี ผมก็พยายามศึกษา เราจับเอามาอย่างละเล็กละน้อย ไม่ได้ถึงขนาดเลียนแบบหรือไปเอาของใครมาเป็นแบบอย่าง…”

ทุกวันนี้อาจารย์มีแบบฉบับในการพูดของตนเองอย่างไร?

“…ผมว่าเป็นตัวของผมเองนะ คือจะนำสิ่งร่วมสมัยมาใช้ เช่น เพลงโฆษณา ละคร อะไรต่าง ๆ เอามาประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ แล้วก็นำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันที่เราอาจมองข้ามไป มาหยิบยกให้เห็นเด่นชัดขึ้น คงจะเป็นอย่างนี้ คือให้มันทันสมัยมากขึ้น เข้ากับความสนใจของคนฟัง…”

อาจารย์เคยเบื่อการพูดบ้างไหม?

“…ถ้าพูดนี่ คงไม่เบื่อนะครับ เพราะปรกติอาชีพผมนี่ จริง ๆ คืออาชีพฝึกอบรม ต้องไปสอนคน ต้องไปบรรยายตามคอร์สต่าง ๆ ทีนี้คนมันเปลี่ยนตลอด พอบรรยายเรื่องนี้ไป สมมติว่า พูดเรื่องการทำงานอย่างไรให้มีความสุขสนุกกับงาน วิธีการบริหารอย่างเหนือชั้น วิธีการขายอย่างมืออาชีพ คนฟังจะเปลี่ยนเข้ามาเรื่อย ๆ ถ้าไม่เปลี่ยนคนฟัง เราก็เปลี่ยนหัวข้อ คือ เปลี่ยนข้อมูลในการบรรยายให้ผิดแผกแตกต่างกันออกไป ทีนี้ถ้าสอนในชั้นเรียน เจอนักเรียนหน้าเดิม มันก็มีโอกาสเบื่อ แต่ว่าอาชีพนี้มันเปลี่ยนเรื่อย ๆ มันสบายใจ ไม่มีโอกาสเบื่อ…”

มีการเตรียมตัวในการพูดแต่ละครั้งอย่างไร?

“…

จากวันนั้นถึงวันนี้ ๑๐ กว่าปีแล้ว อาจารย์มีพัฒนาการในการพูดอย่างไร?

“…ก็ทนทานขึ้นเยอะ (หัวเราะ)… ก็เมื่อก่อนพูดแล้วคนไม่ขำ เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ควรมีค่าแก่การอยู่ต่อ แต่หลัง ๆ นี่ไม่ฟังไม่เป็นไร จะแยกแยะดูว่าปัจจัยของการให้คนฟัง คนขำ นี่มันมีหลายอย่าง ไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว ถ้าเขาหิว เขาก็ไม่ขำแล้ว เขากินข้าวกันอุตลุด คุยกับเพื่อน เขาก็ไม่ฟังอย่างนี้… เราก็รู้ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ผมขึ้นไปพูด ผมจะวิเคราะห์ว่าวันนี้ต้องการขนาดไหน ถึงขนาดลงไปหัวเราะกลิ้งเกลือกลงกับพื้น มันกำหนดได้ บอกได้เลยนะ ถ้าเป็นบรรยายนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะเขาเตรียมกระดาษคนละแผ่นเตรียมจดสุดชีวิต แต่ที่ลำบากที่สุดคือ การทอล์คโชว์ อย่างดินเนอร์ทอล์ค กินโต๊ะจีนนี่ ถามว่าเขากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารข้างหน้า แล้วจะทำอย่างไรที่จะให้เขาทิ้งช้อนทิ้งตะเกียบหันมามองเรา หันมาฟังได้ ๔๐ นาที หรือ ๑ ชม. เป็นไปได้ยากมาก

เพราะฉะนั้นตรงนี้ผมต้องวิเคราะห์ทุกครั้งก่อนขึ้นพูดว่า เราควรจะต้องทำอย่าไรให้เขากลับมาฟังเรา แล้วงานนี้นะ โอ้โอ! คนจีนทั้งนั้น ฟังกันไม่รู้เรื่อง ก็ขอแค่หึหึก็พอ บางที่ขอแค่รอยยิ้ม บางที่ต้องเฮนะ ไม่เฮไม่ได้ กำหนดได้เลยครับ…”

ขณะพูดเคยหมดมุขบ้างไหม?

“…ไม่มีครับ ก็คือ เราจะสังเกตงานส่วนหนึ่งว่าควรจะหยิบอะไรมาเล่นบ้าง แบบฉากที่วิลิศมาหรา หรือไฟมันมืดตะคุ่ม ๆ ก็หยิบเอามาเล่นได้ เพื่อให้ใกล้ตัวเขา และเขาก็จะได้สนุกไปด้วย แล้วก็ถามสมมติไม่ไหวจริง ๆ มันก็จะมีที่เขาเรียกว่า ซูเปอร์แก๊ก คือ แก๊กที่โยนทีไร เฮทุกที ทุกที่เสมอมา แต่ต้องเอาไปปรับใช้ในแต่ละงานนะ จะใช้ในกรณีที่หินจริง ๆ ก็ต้องลองดูเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์…”

ในการพูดแต่ละครั้ง สิ่งที่นักพูดไม่ควรพูดคืออะไรบ้าง?

“…สิ่งที่ไม่ควรพูดคือ เกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องลามกอนาจาร ถ้ามันโจ่งแจ้งเกินไป ความจริงทุกคนชอบนะ แต่มันโจ๋งครึ่มเกินไป จนกระทั่งไม่เหลือไว้ให้คิด ถ้าเราไปทะลึ่งตึงตัง มันก็ไม่ถูกกาลเทศะ รวมไปถึงการพูดที่ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจหรือเอาปมด้วยคนอื่นมาเป็นอารมณ์ขัน อย่างหัวล้าน ตัวเตี้ย ตัวดำ ก็ไม่ควรพูด…”

มีความคิดเห็นอย่างไรที่นักพูดยืมมุขตลกมาใช้?

“ถ้านักพูดยืมมุขตลกมาใช้ เข้าใจว่าเป็นการล้อเลียน ผมยังยืมมาเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเราต้องดึงสื่อที่มันร่วมสมัยมาใช้ในสไตล์การพูดของผม เช่นคำว่า ท้อแท้… ไม่สบาย ซึ่งหยิบมาแค่นั้นเอง ซึ่งไม่จำเป็นที่เป็นแค่ตลก นักร้อง ดารา ใครที่ดัง ๆ แม้แต่นักการเมืองที่ชี้นิ้ว ชี้อะไรต่างๆ เขาดังเราก็หยิบยกเข้ามาประกอบการพูด ตลอกกับนักพูดนี่คนละอย่างและห่างไกล สาเหตุเพราะว่าตลกเขาใช้โจ๊ก โจ๊กแปลว่าตลก ส่วนนักพูดจะมี Sense of Humor แปลว่ามีอารมณ์ขัน ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเอาถาดมาตี มาตบกัน เพียงแต่ใช้คำพูดของเราสร้างให้เกิดมุมมองที่สนุกสนานขึ้นมาได้ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องหัวเรากลิ้ง Sense of Humor แค่อมยิ้มก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว คือพูดแล้วไม่เครียด ฟังแล้วสบาย ๆ ๑ ชั่วโมงผ่านไปอย่างไม่รู้ตัวก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ต้องตลกโปกฮาแบบทะลึ่งตึงตัง แต่เป็น Sense of Humor ซึ่งนักพูดไม่ได้มีทุกคน แต่ว่านักพูดจะใช้แล้ว ต้องเป็น Sense of Humor ไม่ใช่ตลก ไม่ใช่โจ๊ก…”

ถ้าไม่มี Sense of Humor แล้ว เป็นนักพูดไม่ได้หรือ?

“…เป็นได้ครับ แต่นักพูดแบ่งเป็นนักพูดเชิงวิชาการ นักพูดเชิงสนุกสนาน จริง ๆ นักพูดเชิงวิชาการพูดง่าย คือเรามีวิชาการอยู่กับตัว เรามีความรู้เราก็ถ่ายทอดไปตามนั้น หนังสือว่าอย่างไร เขาว่ากันอย่างไร ว่าไปตามนั้นก็จบ แต่การพูดแล้วนั้นมีมุมมองแปลก ๆ มีแง่คิด มีความสนุกสนานเจือปนอยู่บ้าง ก็เป็นอีกขั้นที่ยาก คือคนฟังฟังแล้วได้อะไรและได้อย่างไม่รู้ตัวด้วย ได้แบบเพลิดเพลินด้วย…”

คุณสมบัติของนักพูดที่ดีควรจะเป็นอย่างไร?

“…นักพูดที่ดี ผมว่าต้องพูดให้จริง เรื่องไม่จริงไม่ควรพูด นับตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เพราะการพูดเรื่องไม่จริงเพื่อใช้วาทศิลป์แปลงให้ดูแล้วให้เกิดความเชื่อถือนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องเพราะบางทีบางคนใช้วิธีการพูดโน้มน้าว หว่านล้อม ชักจูงให้คนฟังมีความรู้สึกว่าอย่างนั้นจริง ๆ นี้ไม่ควร นี่คือข้อแรก…

ข้อสองคือ ต้องจริงจังกับการพูด ถ้าการพูดทุกครั้งหมายถึงการขาย เพราะฉะนั้นทุกครั้งเราต้องรับผิดชอบกับผลงานของตนเอง ต้องพูดให้ดี แล้วจริงใจด้วย ออกมาจากใจจริง ๆ คิดอย่างไรพูดออกมาอย่างนั้น…”

กับการที่นักพูดผันตัวเองเข้าสู่วงการแสดงหรือพิธีกร มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?

“…ถ้าเรื่องพิธีกรนะ ผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเลย เพราะนักพูดก็ต้องพูดอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของการเป็นนักพูด มีสูตรหนึ่งคือ เทคนิคการเป็นพิธีกร ซึ่งพิธีกรจริง ๆ อาจจะยังไม่เคยเรียน แต่นักพูดเรียนมาแล้วทุกคน เขาจะรู้ว่าการสยบม็อบหรือการปลุกคนฟังให้เขาวางช้อนวางตะเกียบฟังหน้าเวทีทำอย่างไร วิธีการถาม วิธีการจะตามมุข วิธีการหักแง่หักมุมที่ทำให้เกิดความสนุกสนานทำอย่างไรบ้าง

นักพูดทุกคนมีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าบางคนทำได้ดี บางคนทำได้ไม่ดี บางคนหน้าตาดี อะไรหลายอย่างที่เป็นส่วนประกอบในการเป็นพิธีกร รวมทั้งโอกาสด้วย ซึ่งผมถือว่าถ้าในกรณีที่นักพูดมาเป็นพิธีกร ธรรมดามากและควรเป็นด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นนักแสดงนี่บอกไม่ได้ เพราะทุกคนแสดงได้ไม่เหมือนกัน…”

แล้วชอบเป็นพิธีกรไหมคะ?

“…โอ้โฮ! ผมเป็นได้สบายมากเลยครับทั้งในทีวีและข้างนอก ข้างนอกนี่ถือว่าเป็นยากกว่าในทีวีเยอะ เพราะเราต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ถ้าบนเวทีต้องใช้ฝีมือเยอะ เช่น ช่วงนี้ใครยังไม่มาเราจะทำอย่างไร ผมสามารถยืนบรรยายได้ทั้งวันสบายอยู่แล้ว แต่เราสามารถจะทำอะไรได้มากกว่าโยนเข้าเพลง…”

เรื่องหน้าแตก?

“…มีครับ อย่างอ่านชื่อผิด ประเภทที่ไม่ควรเกิดเลยคือ ประเภทหลุด บางทีเคย มีอยู่ครั้งไปอัดรายการสดของช่อง ๙ นานแล้วละ ใช้คำพูดไม่สุภาพออกไป ผมพูดว่าม้วนหางซิลูก และเผอิญมันเพี้ยน เพราะข้างล่างเราเล่นหยอกล้อกันติดปาก และวันนั้นมันเป็นรายการสดด้วย ตัดก็ไม่ได้ ปรากฏว่าพลั้งปากออกไป แต่มันก็ไม่น่านะ…”

ความคิดเห็นเกี่ยวกับการพูดของเด็กไทย ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินรายการโต้คารมมัธยมศึกษา?

“…ยอมรับว่าเขาเก่งนะครับ เพราะเขามีเวลาเยอะ อย่างคนทำงานเช่นผมนี่ เวลาจะน้อยเพราะจะต้องแบ่งแยกความคิดไปอย่างอื่นอีกเยอะ ด้านธุรกิจ ด้านการงาน ด้านแก้ไขปัญหาชีวิตและสุขภาพ อะไรต่าง ๆ แต่เด็กนี่ ก็ผมเคยเป็นเด็กมาก่อน ตอนเป็นนักศึกษานี่สามารถแปลงเพลงได้วันหนึ่งตั้ง ๕-๖ เพลง เพื่อจะมาร้องในแซววาที แปลงกลอนแปลงสุภาษิต มานั่งคิดมุขได้เพียบเลย เพราะเวลาเยอะ เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจว่าคนที่เป็นนักเรียนนักศึกษานี่ ถ้าเก่งก็คือเก่งไปเลย มีความสามารถเยอะเพราะเขามีเวลาฝึกฝน…

ถ้าเราให้เวลากับอะไรมาก สิ่งนั้นก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เด็กสมัยนี้เก่ง ซึ่งผมชื่นชมและอยากให้เขามีโอกาสแสดงออกอย่างนี้ ไม่ใช่ไปยืนแย้ว ๆ อยู่ข้างเวที คอยไปซับเหงื่อซับน้ำลายให้ใครเขา มันไม่มีประโยชน์กับชีวิต ว่าไหม อย่างการพูดนี่มันยังได้ใช้กับการงานอาชีพส่วนตัวได้เยอะ

คำแนะนำสำหรับคนที่จะเป็นนักพูด?

“…คนที่จะเป็นนักพูดต้องมีความตั้งใจจริงที่จะเป็นจริง ๆ เพราะอุปสรรคมันเยอะกว่าจะไปถึงเส้นทางนั้น มันสะสมนานเพราะมันไม่ได้เป็นภายในวันเดียว บางทีเราพูดดี คนเขาก็นึกว่าฟลุคอยู่ ยังไม่คิดว่ามันเป็นผลงาน เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีความอดทนกับระยะทางอันยาวไกลเพื่อที่จะไปรอคอยความสำเร็จนั้น ต้องใจรักครับ…

สำหรับวงการนักพูดในปัจจุบันนี้ เนื่องจากการพูดเข้าไปอยู่ในวงการต่าง ๆ เยอะ เพราะว่าการพูดผมถือว่าเป็นศิลปะที่เยี่ยมเลยนะ คิดดูคน ๆ หนึ่งพูดแล้วทำให้คนเป็นร้อยเป็นพันฟังคน ๆ เดียวได้ หัวเราะตาม ร้องไห้ตาม คิดตามได้ เพราะฉะนั้นมันต้องมีอะไรมากกว่าเป็นเพียงเสียงที่เปล่งออกมา บางทีเสียงหัวเราอะไรต่าง ๆ ที่เป็นตลกจบแล้วคือจบ แต่การพูดมันไม่จบ จบแล้วยังไปนั่งคิดต่ออีกว่า เออ… มันจริงไหมที่เขาพูด เราน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันได้แง่คิดมุมมองไปช่วยผลักดันพลังในตัวเอง หรือว่าได้ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาได้เยอะ ดังนั้นทางที่ดีถ้ามีการพูดเข้าไปเจือปนในสิ่งต่าง ๆ ก็จะทำให้ดูมีสาระประโยชน์มากขึ้น…”

ทุกวันนี้ในวงการนักพูดก็ยังคงเปิดโอกาสให้นักพูดรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาทุกเมื่อ แต่ทว่าคุณจะมีพลังความสามารถเพียงพูดที่จะยืนอยู่ในระดับแนวหน้าได้หรือไม่เท่านั้น ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้กล้าท้าทาย แต่ความสามารถของคุณพิสูจน์ได้ เพราะประชาชนเป็นคนตัดสิน

และวันนี้ นอกจาก “จตุพล ชมภูนิช” ยังไม่เบื่อที่จะพูดแล้ว เขายังเปิดสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาธุรกิจ (Progress Business Training Institute) ขึ้นที่ลาดพร้าว ๗๑ เพื่อฝึกอบรมด้านธุรกิจและฝึกให้ทุกคนที่อยากพูดได้มีโอกาสพูด เพราะตราบใดที่คนเรายังพูดได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เราก็ควรที่จะรู้จักวิธีการพูดให้ดีมีสาระด้วยเช่นกัน…

นักพูดจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะพูด และต้องศึกษาหาความรู้ทุกวิถีทาง ผมอ่านหนังสือเยอะ อ่านเพียบเลย แล้วก็คุย ถาม เขียน คิด ฟัง แล้วจึงมาประยุกต์ ประมวล คือรวบรวม ประยุกต์ก็คือการปรับใช้ให้เกิดความน่าฟัง น่าคิด น่าเชื่อในสิ่งที่เราพูด เรานำเสนอไป หัวข้อเดียวกัน วิชาเดียวกัน คนอื่นพูดอาจเบื่อ แต่พอเราพูดคนอยากฟัง ติดตามฟังต่อ อย่างนี้มันก็คือการประยุกต์ปรับเปลี่ยนให้มันเกิดความทันสมัย…” ...
  
ฝึกพูด
มาฝึกพูดกันเถอะ


โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)


การพูดเก่งทำให้ท่านได้เปรียบผู้อื่น การพูดเก่งทำให้ท่านได้ชื่อเสียง เงินทอง การพูดเก่งทำให้ท่านได้รับตำแหน่งสูงกว่าผู้อื่น และการพูดเก่งทำให้ท่านได้รับสิ่งต่างๆอีกมากมาย


นี่คือข้อดีของการที่ท่านพูดดีและพูดเก่ง สำหรับท่านที่ต้องการจะเป็นนักพูดนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยในยุคปัจจุบัน เพราะในยุคนี้เรามีตัวอย่าง นักพูดที่เก่งๆ เราสามารถหาดูได้ไม่ยากนัก บางทีเราอาจหาดูได้จากห้องนอนด้วยซ้ำไป( ดูโทรศัพท์) ซึ่งยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เราสามารถหาข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายกว่าในอดีตเป็นอันมาก เรามีระบบอินเตอร์เน็ตซึ่งช่วยให้ผู้ที่ต้องการเป็นนักพูดได้


หาข้อมูลเพื่อมาประกอบการพูดได้ในเวลาอันรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย ในอดีต เราต้องไปหาตามห้องสมุด ซึ่งห้องสมุดหลายแห่งไม่มีหนังสือหรือข้อมูลที่เราต้องการ แต่ปัจจุบันเรามีห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ อินเตอร์เน็ตนั้นเอง


สำหรับคนที่ต้องการเป็นนักพูดจำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้


1.เป็นนักอ่านที่ดี ชอบอ่านหนังสือ หาข้อมูลเพื่อใช้ในงานพูดของตน เนื่องจากงานพูดจำเป็นจะต้องมีเนื้อหา มีสาระ มีศิลปะในการใช้ภาษา ดังนั้น ผู้ที่อ่านมาก ย่อมมีข้อมูลมากและมีความแตกฉานในเรื่องของการใช้ภาษา


สำหรับประเทศไทย มีข้อเท็จจริงในเชิงสถิติที่น่าห่วงใย ปัจจุบันอัตราการอ่านหนังสือของเด็กและเยาวชนไทยต่อปีอยู่ในระดับต่ำมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ ๕ เล่มต่อคนต่อปีเท่านั้น ต่ำกว่าประเทศเวียดนามที่กำลังเร่งพัฒนาประเทศไล่กวดไทยอยู่ในขณะนี้ หากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยอื่นๆ ปรากฏว่าคนสิงคโปร์มีอัตราการอ่านเฉลี่ย ๑๗ เล่มและมาเลเซีย ๔๐ เล่มต่อคนต่อปี ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีอัตราการอ่าน ๕๐ เล่มต่อคนต่อปี(ผู้จัดการรายสัปดาห์ 19 กพ.52)


2.เป็นนักจินตนาการและช่างฝัน การเป็นนักพูดที่ดีและประสบความสำเร็จจำเป็นที่ต้องมีจินตนาการเพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้อื่น เพราะถ้าไม่มีจินตนาการและการช่างฝัน นักพูดผู้นั้นก็มักจะพูดแนวทางเดียวกันกับนักพูดทั่วๆไป และเมื่อพูดในแนวทางเดียวกันกับนักพูดทั่วไปแล้ว ก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จ


3.ถ้าอยากเป็นนักพูด ก็จง พูด พูด และพูด จงหาเวทีให้กับตนเอง ท่านที่ต้องการว่ายน้ำเป็น ท่านต้องลงไปว่ายน้ำ ถ้าท่านอยากเป็นนักพูดไม่มีวิธีอื่น ท่านต้องหาเวทีพูดให้กับตัวเอง การพูดเป็นทักษะ ถ้าเราพูดบ่อยๆ เราก็จะเก่งไปเอง


สำหรับท่านที่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติของนักพูดที่ดีแล้ว แต่มีปัญหาว่าจะเข้าสู่วงการได้อย่างไร


สำหรับผมคิดว่า ท่านควรเริ่มเวทีเล็กๆก่อนหรือหาโอกาสพูด ในเวทีเล็ก เมื่อพูดได้ดี คนก็จะเชิญท่านพูดในเวทีระดับชาติเอง เมื่อถึงจุดนั้น เงิน ทอง ชื่อเสียงและตำแหน่งก็จะตามมาเองครับ





จงทำให้ผู้ฟังสนุกสนาน ในขณะเดียวกันก็สอนเขาไปด้วย

...
  
น้ำเมารอบสถานศึกษา
ปัญหาน้ำเมา โดยรอบสถานศึกษา


โดย ...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


เหล้าล้อมมหา'ลัย มอมเมานักศึกษา คลิปแฉขายให้นร.(ข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ)





จากกรณีการแฉคลิปเด็ดล่อซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าเหล้า เบียร์ บริเวณร้านค้าข้างรั้ว 10 มหาวิทยาลัยชื่อดัง โดยขายเหล้าเบียร์ให้เด็กนักเรียน นักศึกษา ในชุดนักเรียน นักศึกษาอย่างโจ๋งครึ่ม อีกทั้งยังมีขายตามในหอพักนักเรียน นิสิต นักศึกษา อีกด้วย


จากกรณีดังกล่าว เป็นข่าวที่น่าสนใจในสังคมไทยเรามาก ไม่ว่าจะปรากฏข่าวทางสื่อต่างๆ เช่นหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ


จากการดูคลิปทางโทรทัศน์ ดังกล่าว กระผมสังเกตว่า คลิปส่วนใหญ่เป็นภาพ เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ในชุดนักเรียน นักศึกษา ทั้ง ชายและหญิง ได้เข้าไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากร้านค้าที่ตั้งอยู่โดยรอบสถาบันการศึกษาชื่อดัง ซึ่งร้านค้าต่างๆ คนขายก็ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กที่อยู่ในชุดนักเรียนอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีกฎหมายห้ามขาย บางคลิปคนขายห่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็ก นักเรียน นักศึกษา ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ อีกด้วย


ความจริงการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ เด็กและเยาวชน โดยเฉพาะ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้มีมานานแล้ว ไม่ใช่เฉพาะบริเวณรอบสถานศึกษาในกรุงเทพฯ เท่านั้น ในต่างจังหวัดก็มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ เด็กและเยาวชน โดยเฉพาะ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ปรากฏเป็นข่าวเท่านั้นเอง


สำหรับข่าวปัญหาน้ำเมา โดยรอบสถานศึกษานี้ ถ้าไม่มีคลิปฉาวดังกล่าวออกมา ก็คงไม่มีหน่วยงานไหนอยากเข้ามายุ่งและดูแล อย่างแท้จริง เพราะปัญหาดังกล่าว แก้ไขได้ยากมาก


โดยล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขเตรียมออกกฎกระทรวงห้ามขายเหล้าใกล้สถานศึกษาให้ชัดเจนขึ้น


นพ.สมาน กล่าวว่า สำหรับโทษของผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่ไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งที่อยู่ในชุดเครื่องแบบ มีความผิดตามมาตรา 29(1) พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ส่วนร้านเหล้าปั่นที่อยู่ในพื้นที่ต่อเนื่อง ติดกับสถานศึกษา มีความผิดตามมาตรา 17 เรื่องใบอนุญาตจำหน่ายสุรา และกฎกระทรวงการคลัง เรื่องข้อบังคับเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตขายสุราและการขายสุรา มีโทษปรับ หากเป็นสุราในประเทศ ปรับไม่เกิน 500 บาท สุรานำเข้า ปรับไม่เกิน 2,000 บาท.(อ้างอิงจาก สำนักข่าวไทย)


ซึ่งโดยส่วนตัวกระผมคิดว่า คงแก้ไขได้ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น เพราะ ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงนี้คงต้องระวังมากขึ้น แต่พอเรื่องเงียบไป ผู้ประกอบการด้านนี้ ก็คงต้องมีวิธีการขายกันต่อไป เพราะกฏกระทรวงของกระทรวงสาธารณสุขที่จะออกเป็นลักษณะการห้ามขายเหล้าใกล้สถานศึกษา แต่ไม่ได้เป็นการออกกฏกระทรวงห้ามให้ดื่มเหล้าใกล้สถานศึกษา เพราะฉะนั้น ก็คงห้ามเด็กและเยาวชน หรือ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ดื่มได้ เด็กและเยาวชน ก็คงต้องดื่มกันต่อไป


สำหรับการบังคับใช้กฎหมายคงต้องยอมรับกันว่า ในสังคมไทย การบังคับใช้กฎหมายค่อนข้างมีปัญหา


ดังเช่น กฎหมายหลายตัวที่บังคับใช้ไป ผู้ใช้ก็ไม่ได้ปฏิบัติกันอย่างแท้จริง และ ผู้บังคับใช้เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดูแลก็ไม่ได้ ตรวจจับอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ก็จะจับกุมหรือตรวจตรา เป็นช่วงๆไป โดยเฉพาะช่วงที่มีปัญหาเป็นข่าวขึ้นมาเช่น กรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว ถ้าไม่มีคลิปฉาวนี้ออกมา คนขายก็คงขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตามปกติ


ท้ายนี้อยากจะฝากรัฐบาลหรือผู้ดูแลด้านนี้ ว่า ความจริง เราไม่ใช่มีปัญหาเฉพาะการขายแอลกอฮอล์ให้แก่เด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในบริเวณใกล้สถานศึกษา เท่านั้น แต่ในบริเวณใกล้สถานศึกษา หลายแห่งยังมีร้านเหล้า ร้านเกมส์ ร้านคาราโอเกะ อาบอบนวด ล้อมรอบ อีกด้วย ไหนๆ ก็จะดูแลเรื่องห้ามขายแล้ว ก็ขอให้ลงมาดูแลเรื่องดังกล่าวด้วยครับ จะขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง








































...
  
การมีมนุษย์สัมพันธ์
มนุษยสัมพันธ์

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)






นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อนขึ้นสู่ที่สูงได้ยาก เป็น คำกล่าวที่พูดถึงคนที่ต้องการจะขึ้นสู่เป้าหมายอะไร บางอย่างเช่น การประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องใช้คนหรือรู้จักคนให้มาก โดยเฉพาะผู้บริหาร ซึ่งผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีปัจจัยหลายอย่าง หนึ่งในปัจจัยดังกล่าวก็คือ เรื่องของมนุษยสัมพันธ์ นั่นเอง เพราะการทำงานที่ประสบผลสำเร็จ ต้องอาศัย คนในการทำงานแทนตัวเอง ไม่มีผู้บริหารที่ดีและเก่งคนใดในโลกที่ทำคนเดียวหมดทุกอย่างในบทความฉบับนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง มนุษยสัมพันธ์ กัน


มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ในทางบวก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ การพูดคุย รวม ถึงการให้ความร่วมมือต่างๆระหว่างบุคคล มนุษยสัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์(Science)และศิลป์(Art) ศาสตร์ เป็นทฤษฏีหรือหลักการที่สามารถเรียนรู้ได้ ศิลป์ เป็นการนำศาสตร์ไปปฏิบัติได้

สำหรับการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทำได้ไม่ยากนัก ถ้ารู้จัก พัฒนา ปรับปรุง แก้ไข ตัวเองตลอดเวลา การสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ง่ายๆมีดังนี้ครับ

1.รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจของเรา คือ รู้จักเกรงใจเขา ถ้าเราไม่ชอบสิ่งไหน ถ้าเราทำต่อคนอื่นเขาก็คงไม่ชอบด้วย เช่น การส่งเสียงดังรบกวนเขาในขณะที่เขากำลังมีสมาธิหรือหลับนอน


2.ยิ้มและพยามเรียกชื่อของเขาให้ถูก คือ การยิ้มเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความประทับใจในแรกพบ รวมทั้งการเรียกชื่อของเขาให้ถูกต้องด้วย ไม่ใช่จะเรียกชื่อเขา กลายเป็นเรียกชื่อพ่อของเขา

3.การทักทายปราศรัยกับบุคคลทั่วไป ถ้าเรามีโอกาสเจอคนที่รู้จัก เราสามารถทักทายเขาก่อนเราจะสร้างความประทับใจเขาได้มาก การทักทายปราศรัยจะทำให้คนเป็นกันเองกับเรา ชอบเรามากยิ่งขึ้น

4.พูดและกระทำการต่างๆ อย่างจริงใจและเป็นกันเอง การพูด การกระทำอย่างเป็นกันเองและจริงใจ จะทำให้คนมีความรู้สึกที่ดียิ่งขึ้น เมื่อได้รู้จักเรา และต้องการสนิทสนมกับเรามากยิ่งขึ้นด้วย

5.มีเมตตาธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กับผู้อื่น การมีเมตตาธรรม ทำให้การทำงานร่วมกันดียิ่งขึ้น เมื่อมีอะไรผิดพลาดก็ให้อภัยกัน ช่วยเหลือกัน

6.พร้อมรับฟังคนอื่นและพยามสนใจฟังคนอื่นพูดให้มาก การฟังบางครั้งดีกว่าการพูด เพราะไม่มีใครชอบฟังคนอื่นพูดฝ่ายเดียว แต่ในทางกลับกัน คนเราส่วนใหญ่อยากพูดมากกว่าฟัง และอยากพูดในสิ่งที่ตนต้องการพูด บางครั้งคนฟังก็ไม่ต้องการฟัง ดังนั้น การฟังคนอื่นพูดหรือสนใจฟังคนอื่นพูด จึงเป็นศิลป์อย่างหนึ่งในการสร้างมิตร มากกว่าการก่อให้เกิดศัตรู ดังการพูด เพราะบางคนพูด ด่าคนอื่น ว่าให้คนอื่น ทำให้เกิดผลเสียขึ้น จากมิตรก็กลายเป็นศัตรูในที่สุด



ทั้งหมดที่กล่าวไปแล้วทั้ง 6 ข้อนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่ คนต้องการความสำเร็จควรมี เพราะมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เกิดความสุขกับตนเอง เพื่อนร่วมงาน ลูกน้องและคนทั่วไปที่ได้คบกับเรา




ท้ายนี้อยากจะฝากเรื่องของมนุษย์สัมพันธ์ นั้นคืออะไร ของท่านหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ดังนี้




เมตตา กรุณา ปรารถนาดี


จิต - วิถี ยอมรับเขา ต่างเราได้


คนเรานี้ มีคุณค่า ถ้าดูไป


ตัวตนไซร้ อย่ากล้ำ ล่ำหัวคน


รู้จักพูด รู้จักฟัง ทั้งสองอย่าง


ให้นำทาง สู่สัมพันธ์ อันเป็นผล


รู้ช่วยเหลือ เกื้อกูลไว้ ไม่อับจน


เกิดเป็นคน สัมพันธ์ดี ไม่มีพัง

...
  
เหล้า เบียร์ วัยรุ่น

การดื่ม สุรา เบียร์ ของเด็กวัยรุ่น


โดย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์




ถึงแม้รัฐบาลจะมีมติจากคณะรัฐมนตรีให้ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสุราแช่ประเภทเบียร์ และสุรากลั่นชนิดสุราขาว สุราผสมและสุราพิเศษ(บรั่นดี)โดยมีผลทันทีตั้งแต่เวลา 24.00 น.ของคืนวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 ก็ตาม


แต่ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่าตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการปรับขึ้นภาษีในช่วงที่กำลังซื้อของประชาชนลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการเมือง ทำให้มีแนวโน้มที่ประชาชนจะตัดสินใจชะลอหรือลดการบริโภคเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ลง แต่อาจเกิดปัญหาการผลิตและลักลอบนำเข้าสุราโดยไม่เสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน ทำให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจไม่เพิ่มขึ้นตามที่ตั้งเป้าไว้


แต่ถ้านับสถิติการดื่ม สุรา เบียร์ ของประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ในปัจจุบันมีมากกว่าในอดีตเป็นอันมาก เหตุผลน่าจะมาจากหลายปัจจัย เช่น การดื่ม สุรา เบียร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อต้องการเข้าสังคมและเป็นที่ยอมรับของบรรดาเพื่อน, ความอยากลอง, การดื่มเพื่อคลายเครียด ฯลฯ
ความจริงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของวัยรุ่น คงห้ามกันลำบากเนื่องจากกระแสโลก กระแสทุน กระแสบริโภคนิยม มีแนวโน้มจะไปในทิศทางนั้น เราสังเกตจากการดูโฆษณารวมทั้งสื่อในรายการบันเทิงต่างๆ เช่น ละครในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวมทั้งรายการเพลงต่างๆ
ปัจจุบันธุรกิจร้านสุรา เบียร์ ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากเดิม โดยบริษัท สุรา เบียร์ พยายามหาลูกค้ารายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น รวมถึงบริษัท บุหรี่ ก็เริ่มหากลุ่มลูกค้าวัยรุ่นเพิ่มขึ้นอีก จึงไม่แปลกใจเลย ทำไม ร้านขายสุรา เบียร์ จึงเกิดขึ้นในบริเวณ มหาวิทยาลัย สถานศึกษา มากขึ้นทุกวัน และเจ้าของธุรกิจขายสุรา เบียร์ ก็คิดว่าการขายสุรา เบียร์ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมเพราะเป็นการประกอบธุรกิจที่สุจริตอย่างหนึ่ง


ถึงแม้รัฐบาลจะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศ (มาตรการ ๑๒ จำกัดสถานที่จำหน่าย) ก็ตาม เพราะ กฎหมายเป็นกฎหมายจำกัดสถานที่จำหน่าย แต่ไม่ใช้กฎหมายห้ามดื่ม ดังนั้น ผู้ที่เป็นนักดื่มก็คงต้องหาดื่มกันต่อไปในสถานที่ซึ่งกฏหมายเปิดช่องให้จำหน่ายได้
วัยรุ่นที่อยู่ในวัยเรียน บางรายถึงกับนำค่าเทอม ค่ากิจกรรม ไปซื้อ สุรา เบียร์ จนหมด บางรายถึงขนาดขายตัวเพื่อแลกกับเงินแล้วนำเงินไปใช้ฟุ่มเฟือย รวมทั้งเลี้ยงสุรา เบียร์ แก่เพื่อนวัยรุ่น
ผลกระทบจากการดื่ม สุรา เบียร์ ของวัยรุ่นซึ่งอยู่ในวัยเรียน ส่วนมากมักทำให้การเรียนตกต่ำ เนื่องจากต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเที่ยวกลางคืน เมา เนื่องจากเวลาดื่มเหล้า เบียร์ไปมากๆ ติดต่อกันหลายวัน จะทำให้รู้สึกเบลอๆ มึนๆ ไม่สดชื่น รู้สึกเฉื่อยชา หลงๆ ลืมๆ ทำให้การศึกษาเล่าเรียนไม่มีประสิทธิภาพ เพราะสมองสั่งการช้าลง
การดื่ม เหล้า เบียร์ ของวัยรุ่นยังนำไปสู่การมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน บางรายเมาแล้วขับ ซึ่งนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุมากมาย
ถึงแม้รัฐบาลจะขึ้นภาษี สุรา เบียร์และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ตาม แต่การดื่มสุรา เบียร์ ของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นคงต้องมีต่อไป รัฐบาลจะใช้กฏหมายบังคับไม่ให้ดื่มก็คงทำได้ยาก แต่จะทำอย่างไร ให้ลดปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการดื่มสิ่งเหล่านี้ เช่น ลดการเกิดอุบัติเหตุอันเกิดจากการดื่ม และ ลดการทะเลาะวิวาทอันเกิดจากการดื่มกิน ฯลฯ






















...
  
องค์กรกับผู้บริหาร
ผู้จัดการกับองค์การ
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

เมื่อพูดถึงเรื่องของผู้จัดการที่จะเข้ามาจัดการกับองค์กร หน่วยงานหรือบริษัท ห้าง ร้าน


ผู้จัดการจะต้องมีความสามารถ หลากหลาย อาจกล่าวได้ดังนี้


1.เข้าใจพฤติกรรมของคน คนนับเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของผู้จัดการ เพราะคนเป็นผู้ควบคุมทรัพยากรอื่นที่ผู้จัดการต้องการ คือ เงิน พลังงาน วัตถุดิบ ที่ดิน เครื่องจักรและข่าวสาร คนจะเป็นผู้นำสิ่งเหล่านี้ประสานเข้าด้วยกัน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้จัดการที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนจะได้เปรียบผู้จัดการที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว


2.ทักษะในการติดต่อสื่อสาร การทำงานให้เสร็จโดยผู้อื่นเป็นผู้ทำนั้นต้องอาศัยการติดต่อสื่อสารที่ดีด้วยการใช้การพูดหรือการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในการสื่อข้อมูล ผู้จัดการที่ไม่รับฟังหรือไม่ได้ยินไม่ได้ฟังข่าวสารจากลูกค้า คู่แข่ง เพื่อนร่วมงาน ผู้จัดการเช่นนี้ มักจะประสบความล้มเหลวในการทำงาน โดยนัยเดียวกันผู้จัดการที่ไม่สามารถถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารไปสู่กลุ่มต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ก็มักจะประสบความล้มเหลวในการทำงานเช่นกัน


3.การใช้อิทธิพล ภาวะผู้นำและอำนาจ การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการผู้จัดการต้องใช้อิทธิพล (influence) อิทธิพล คือ กระบวนการของการทำให้คนอื่นประพฤติปฏิบัติตามที่ตนต้องการให้เป็นเช่นนั้น ในขณะที่ภาวะผู้นำ(leadership) เป็นรูปแบบพิเศษของการใช้อิทธิพลโดยมุ่งมีอิทธิพลเหนือกลุ่มมิใช่ปัจเจกบุคคล ส่วนอำนาจ (power) เป็นสมรรถนะในการใช้อิทธิพลซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำให้คนหนึ่งมีอิทธิพลเหนือคนอื่น


ในการทำงานทุกวัน ผู้จัดการจะใช้อิทธิพลและถูกอิทธิพลจาก ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ร่วมงานและผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปในแง่มุมต่างกัน เช่น กับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ กับผู้ร่วมงานให้มีการร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิดและกับผู้บังคับบัญชาให้รับฟังข้อมูลข่าวสารที่ตนเองเสนอเพื่อตัดสินใจ


4.การตัดสินใจ การบริหารได้รับการขนานนามว่าเป็นงานตัดสินใจ(decision-making job) ซึ่งความจริงแล้วการจัดการเป็นมากกว่านั้น ผู้จัดการเป็นผู้ใช้อิทธิพล เป็นผู้นำและผู้ใช้อำนาจ นอกจากนี้ยังเป็นผู้รวบรวมและกระจายข้อมูลข่าวสาร ตรวจตราและประเมินผลและเป็นตัวแทนของกลุ่ม หน่วยงานหรือองค์การด้วย อย่างไรก็ตามหน้าที่ด้านการบริหาร(การวางแผน การจัดองค์การ การบรรจุ และการจัดวางกำลังคน การสั่งการ การจูงใจ และการควบคุม) ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเกือบทั้งสิ้น


5.เทคนิคการบริหารการปฏิบัติงาน ความรู้เกี่ยวกับด้านเทคนิค หมายถึงความรู้เกี่ยวกับเรื่องเฉพาะอย่างที่องค์การมีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบ เทคนิคการบริหารการปฏิบัติงานเป็นเครื่องมือพิเศษที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาช่วยผู้จัดการรุ่นใหม่ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับการต้องตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวางและแวดล้อมไปด้วยข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมาย เทคนิคในการบริหารการปฏิบัติงานส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการและศาสตร์การจัดการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และตัวแบบทางคณิตศาสตร์ในฐานะที่เป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจ เป็นหัวใจของเทคนิคทั้งหลาย เรื่องราวทั้งหลายที่ผู้บริหารเผชิญอยู่สามารถจะแก้ไขด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ ตั้งแต่การวางแผน การคาดการณ์ การจัดสรรทรัพยากร การจัดกำหนดระยะเวลา การต่อรองและการเจรจา


กล่าวโดยสรุป การจัดการกับองค์การเปรียบเสมือนคนละด้านของเหรียญเดียวกัน โดยการจัดการจะเป็นตัวประสานเชื่อมโยงทรัพยากรต่างๆ ที่องค์การมีอยู่ให้บังเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่องค์การกำหนดไว้ล่วงหน้า ในทุกวันนี้การจัดการยิ่งมีความสำคัญต่อองค์การอย่างมาก เพราะสภาพแวดล้อมขององค์การได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในขณะที่องค์การก็มีขนาดใหญ่และสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นต้องมีการจัดการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการองค์การเพื่อความอยู่รอดและความก้าวหน้าขององค์การเอง





...
  
ศิลปะในการบริหาร
ศิลปะในการเป็นผู้บริหาร

โดย... ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

มีหนังสือและองค์ความรู้มากมายที่พูดถึงเรื่องของ ผู้บริหาร มีทั้งนักวิชาการ ผู้ปฏิบัติจริง ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งกระผมได้อ่าน ได้ศึกษา อาจสรุปได้เป็นประเด็นสำคัญๆดังนี้


1.ผู้บริหาร ต้องมีพันธะผูกพัน(Commitment) คือ ต้องมีความรับผิดชอบในคำพูด คำสัญญา การแสดงออก การกระทำ ต่อสิ่งที่ได้ทำไปหรือต่อบุคคลอื่น เช่น สัญญาว่าจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จภายในวันนี้ ผู้บริหาร ก็ต้องพยายามทำให้เสร็จถึงแม้จะทำถึง เที่ยงคืน ตี 1 ตี 2 หรือรุ่งเช้าก็ต้องทำ


2.ผู้บริหารที่ดี ต้องมีสติปัญญา และการตัดสินใจที่ถูกต้อง รวดเร็ว เด็ดขาด


แน่นอน การตัดสินใจย่อมต้องมีการผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าผู้บริหาร กลัวการที่จะตัดสินใจลงไปแล้ว อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ องค์กร หน่วยงาน รวมถึงประเทศชาติ ก็ได้ถ้าผู้บริหารคนนั้นบริหารประเทศ สำหรับหลักการตัดสินใจที่ดี เราควรแสวงหาข้อมูลให้มากที่สุดในเรื่องที่เราต้องตัดสินใจแล้ว มองอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ข้อมูล หาสาเหตุของปัญหา แนวทางแก้ปัญหาและจึงตัดสินใจ เมื่อ ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดก็ควรรับผิดชอบ


3.ผู้บริหารที่ดี ต้องสร้างความศรัทธา แก่ลูกน้อง ลูกค้า เจ้าของกิจการ รวมทั้งผู้พบเห็น ภาพพจน์(Image) ของผู้บริหารถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ การพัฒนาบุคลิกภาพ การพูดจา การแต่งกาย และการสร้างชื่อเสียง จึงเป็นส่วนสำคัญในเรื่องนี้ ทำอย่างไรให้คนเชื่อถือไว้วางใจ และเกิดการกระทำในสิ่งที่ผู้นำ จูงใจให้กระทำ


4.ผู้บริหาร ต้องเรียนรู้อย่างไม่หยุดหยั้ง เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นผู้บริหาร ต้องรู้จักเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าเทคโนโลยี การหาข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ใหม่ๆ ดังนั้นการไปดูงานต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญทำให้เห็นสิ่งใหม่ๆแล้วกลับนำมาใช้ในองค์กร ในหน่วยงาน ในประเทศของตน


5.ผู้บริหารที่ดี มักจะเลือกงานที่ตัวเองทำแล้วสนุก อีกทั้งยังตรงกับเป้าหมายในชีวิต ความสามารถในตัวเอง การเลือกอาชีพในการทำงานจึงถือว่าสำคัญมากในการที่คนๆ นั้น จะประสบความสำเร็จในการเป็นผู้บริหาร ดังนั้น การเลือกงานที่ชอบจึงสำคัญกว่าเลือกงานเพราะมีเงินเดือนมาก หรือได้เงินตอบแทนมาก โดยที่ตนเองอาจไม่ชอบงานนั้นๆ


6.ผู้บริหารต้องทำงานโดยใช้วิธีที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ลักษณะงานการบริหารในปัจจุบันมีความแตกต่างจากงานบริหารในอดีต อาจกล่าวได้ว่ามีความแตกต่าง ดังนี้


6.1.ผู้บริหารต้องทำงานหนัก เนื่องจากมีภาระความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น และต้องทำงานให้เสร็จ จึงทำให้ในแต่ละวัน ผู้บริหารต้องแก้ปัญหามากขึ้น มีความเครียดในการทำงานมากขึ้นกว่าผู้บริหารในอดีต


6.2.ผู้บริหารต้องมีความสามารถหลากหลาย เนื่องจากการทำงานในยุคปัจจุบันผู้บริหารต้องทำงานและทำกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเจรจาต่อรอง งานด้านเอกสาร การเป็นประธานในงานต่างๆ การประชุม การกล่าวปราศรัยในงานต่างๆ


6.3.ผู้บริหารต้องทำงานร่วมกับสื่อมวลชนทุกประเภทมากขึ้น การบริหารองค์การในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันสูง ผู้บริหารจึงต้องเป็นนักการตลาด นักประชาสัมพันธ์ บางสถานการณ์จะต้องถูกสัมภาษณ์จากสื่อสารมวลชน


6.4.ผู้บริหารต้องทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารมาก ในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร




สรุปแล้วการเป็น ผู้บริหาร เป็นทั้งศาสตร์ที่สามารถเรียนกันได้ เป็นทั้งศิลป์ คือ นำมาประยุกต์ได้


โดยไม่จำกัดว่าเกิดในสถานะภาพใด ไม่ว่า ยากดี มีจน เป็นลูกมหาเศรษฐี ไม่ว่ายากดี มีจน คนเราก็สามารถเป็น ผู้บริหารที่ดีได้

...
  
คนตกงานกับปัญหาสัึงคม
ห่วงใยคนตกงานจุดเสี่ยงปัญหาสังคม


โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


เมื่อวานนี้กระผมได้มีโอกาสไปทำธุระที่ศาลจังหวัดพะเยา เลยไปดูกระบวนการพิจารณาคดี จากการสังเกตคดีความต่างๆ มักเป็นคดีที่เกิดขึ้นจากปัญหาสังคมและมีผลกระทบที่ก่อให้เกิดปัญหาสังคมอีกมากมายตามมา เช่น คดีเสพและค้ายาเสพติด คดีฉ้อโกง คดีกู้ยืมเงิน คดีลักขโมย ฯลฯ


ซึ่งส่วนใหญ่ที่กระทำความผิด มักจะมีปัญหาเรื่องของเงิน คือ ไม่มีเงิน เงินไม่พอใช้ ถูกบีบจากเจ้าหนี้เลยต้องการกระทำความผิด หรือ ต้องการเงินไปเที่ยว ต้องการนำเงินไปให้ครอบครัว


เลยกระทำความผิด บางคนตกงานไม่มีงานทำ เลยไม่รู้จะไปทำอะไรเลยค้ายาบ้า ลักขโมย


ยิ่งภาวะปัจจุบันผมเป็นห่วงพี่น้องชาวไทยเราที่ตกงานเหลือเกิน เนื่องจากมีการพูดกันว่า


ปี 50-51 จะเผาหลอก แต่ปี 52 จะเผาจริง คนจะตกงานมากขึ้น ถูกลอยแพมากขึ้น จากตัวเลขผ่านสำนักงานประกันสังคม ตอนนี้คนงานที่ประกันตนที่ถูกลอยแพไปแล้ว 3.2 แสนคน เพียงแค่ 3 เดือนแรกของปี 52 และยังคงมีแรงงานที่ต้องรอตกงานอีกหลังประเพณีสงกรานต์ที่ผ่านพ้นไป


นี่ยังไม่รวมบัณฑิตใหม่ที่กำลังจบมาแล้วก็รอคิววิจัยฝุ่นอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้ารวมกับบัณฑิตที่จบไปออกจากสถานศึกษาแล้วยังไม่มีงานทำอีก ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้


จากการที่คนว่างงานมาก ก็ทำให้ตัวเลขของอาชญากรรมมากขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย ตัวเลขจาก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ที่เผยแพร่ บทวิเคราะห์


ปัญหาสังคมว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำเอาคนตกงานมากขึ้น ผสมกับค่าครองชีพสูงเป็นปัจจัย


สำคัญหนึ่ง ทำให้ธุรกิจค้ายาขยายตัว เนื่องจากผู้ที่หาทางออกไม่ได้บางรายหันไปเป็นผู้ค้ายารายย่อย


เพราะเห็นว่าสร้างรายได้มากในเวลาระยะสั้น จึงคุ้มค่าต่อการเสี่ยง


ทั้งนี้พบว่าในเดือน มกราคม 2552 มีการจับกุมผู้กระทำความผิดคดียาเสพติด 18,989 ราย


สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 37.3 % โดย กรุงเทพฯ เป็นแหล่งใหญ่สุดของการซื้อขาย


เดือน กุมภาพันธ์ 2552 จับกุมคดียาเสพติด 18,764 ราย เพิ่ม 22.2 % ส่วนใหญ่เป็นการกวาดล้างในกระบวนการค้ายาในภาคเหนือ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ช่วงโรงเรียนเริ่มปิดเทอมอาจง่ายต่อการระบาดยาเสพติด


เพราะข้อมูลตัวเลขช่วงปิดเทอมปัญหายาเสพติดเพิ่มขึ้นทุกที


นอกจากนี้ยังเป็นห่วงการโจรกรรมข้อมูลบัตรเอทีเอ็ม โดยปัจจุบันปัญหาแก็งโจรไฮเทคฉกรหัสเอทีเอ็มได้ขยายวงกว้าง


กลุ่มอาชญกรได้พัฒนาวิธีการโจรกรรมโดยอาศัยเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลระบบไร้สาย “ บลูทูธ ” เพื่อสแกนและขโมยข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็ม แล้วนำข้อมูลบรรจุลงบัตรเอทีเอ็มที่เตรียมไว้ สามารถกดเงินได้ทันที


ตรงนี้ตำรวจภูเก็ตสามารถจับกุมชาวต่างชาติพร้อมของกลางบัตรเอทีเอ็มกว่า 2,000 ใบ(เดลินิวส์ 15 เมษายน 2552)


จากข้อมูลดังกล่าว เราจะเห็นว่า การว่างหรือการตกงาน มีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาสังคมและการก่ออาชญกรรมอย่างยิ่ง


และในภาวะปัจจุบัน กระผมเป็นห่วงเหลือเกิน สำหรับเรื่องของยาเสพติด ยาบ้า เนื่องจากเยาวชน คนรุ่นใหม่มีโอกาส เสี่ยงเหลือเกินครับ ในการที่จะถูกยั่วยุให้เสพ อาจเป็นเพราะกลุ่มค้ายาเสพติดก็ต้องการ กลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆ เพื่อขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้นนั้นเอง เมื่อ เสพแล้ว ก็คงจะต้องขาย เพื่อที่จะนำเงินที่ขายมาเสพอีก


อย่างไรเสีย ปัญหาคนว่างงานและคนตกงาน คงต้องฝากรัฐบาลและทุกฝ่ายต้องมาช่วยกัน ทั้งภาครัฐ


ภาคเอกชน และภาคสังคม เพราะถ้าคนตกงานมาก คงหนีไม่พ้นที่จะเกิดปัญหาสังคมตามมา




...
  
สื่อลามกกับวัยรุ่น
ปัญหาสื่อลามกกับวัยรุ่นไทย

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
นับวันปัญหาสื่อลามกกับวัยรุ่นไทย นับวันยิ่งมีมากขึ้น รุนแรงขึ้น กว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็น หนังสือลามก ภาพยนตร์ลามก เกมส์ลามก อินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ เรื่องลามก ฯลฯ


ถ้าจะให้กระผมเขียนถึงปัญหาสื่อลามกกับวัยรุ่นไทย คงต้องใช้เวลานานและไม่สามารถบรรยายได้ครอบคลุมทั้งหมด เนื่องจากปัญหาสื่อลามกกับวัยรุ่นไทย มันมีความเกี่ยวโยงกับอีกหลายปัญหาเหมือน เชือกที่มีปม หลายปม ติดกัน แก้ปมหนึ่ง ออกก็ติดอีกปมหนึ่ง


ปัญหาสื่อลามกกับวัยรุ่นไทย มันไปเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ เช่นปัญหาการเลี้ยงดู ปัญหาด้านการศึกษา ปัญหาเรื่องของบริโภคนิยม ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปัญหาเรื่องเพศ ฯลฯ


ดังจะเห็นได้จากหัวข้อข่าวต่างๆ ตามหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง และสื่อต่างๆ


-“ รวบ 3 นักศึกษาสาว ขายตัวทาง HI5 อ้างหลงผิด-ใช้เงินฟุ่มเฟือย ”


- รายการ คม ชัด ลึก ประจำวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ ตอน "ขายตัว สวิงกิ้ง-ความเหลวแหลกวัยรุ่น" ได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวมาพูดกันในรายการ เพื่อร่วมเสนอทางออกของปัญหา


-รวบแม่เล้าสาว ม.2พาเพื่อนส่งเสี่ยขายตัว จากหนังสือพิมพ์รายวัน เชียงใหม่นิวส์


และมีอีกหลากหลายข่าวตามสื่อต่างๆ


ปัญหาเหล่านี้ มีความเกี่ยวพันกับเรื่องของปัญหาสื่อลามก และมักทำให้ผู้ปกครองของเด็กวัยรุ่นโดยเฉพาะวัยรุ่นตอนต้น กังวลใจไม่ใช่น้อย เรามาพูดถึงเรื่องปัญหาสื่อลามกต่อดีกว่า


เราต้องยอมรับกันว่าวัยรุ่นไทยในปัจจุบันเรียนรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ทางสื่อลามกเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ทำให้กระผมอดเป็นห่วงไม่ได้เนื่องจากสื่อลามก ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดง ไม่ใช่ของจริง แต่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบ เลยทำให้เกิดการอยากลองขึ้น แล้วก่อให้เกิดการกระทำไปในทางก่อเหตุ ก่อคดีต่างๆขึ้นในสังคมไทย โดยเลียนแบบสื่อลามก เช่น สื่อหนัง x ปัจจุบัน มีประเภทข่มขืน การมีสัมพันธ์ทางเพศกันในครอบครัว การมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ ฯลฯ


จากการวิจัยของเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เรื่อง “ ความคิดเห็นต่อสื่อลามก : กรณีศึกษาประชาชนอายุระหว่าง 15-60 ปี ในเขต กทม. ”เมื่อวันที่ 3-7 พค.2550 พบว่า 47.5 % ติดตามสื่อลามกเมื่ออายุ 15-17 ปี ซึ่ง 33.8 บอกว่า อยากรู้อยากลองเรื่องเพศ โดย 92 % ระบุว่าสื่อลามกทำให้เยาวชนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และกว่า 87.6 % บอกว่าสื่อลามกส่งเสริมการคุกคามหรือล่วงเกินทางเพศ ขณะที่ 76.5 % เห็นภาพหรือการแสดงที่ไม่เหมาะสมทางเพศ โดยใช้สื่ออินเตอร์เน็ต ส่วนอีก 72.4 % เห็นจากการดูวิดิโอ/วีซีดี นอกจากนี้ 68.2 %


ยังบอกว่าสื่ออินเทอร์เน็ตเป็นสื่อทางเพศที่เป็นปัญหาต่อเยาวชนสูงที่สุด


สำหรับแนวทางในการแก้ไข คงต้องมีการร่วมมือกันหลายๆ หน่วยงาน เช่น


รัฐบาล ควรออกกฎหมายควบคุมสื่อลามก เช่น พระราชบัญญัติภาพยนตร์ พระราชบัญญัติสิ่งพิมพ์


พระราชบัญญัติโทรทัศน์ ฯลฯ พร้อมทั้งมีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ


ผู้ปกครอง ควรหาเวลาให้ลูก หากิจกรรมต่างๆ ที่มีประโยชน์ให้เด็กทำ ไม่ปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียวในบ้าน ตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องรับแขกไม่ไว้ในห้องนอนของเด็ก พร้อมทั้งเก็บสื่อลามกที่ผู้ปกครองบริโภคไว้ในที่มิดชิด


สถาบันการศึกษา ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา จัดกิจกรรมตามความสนใจของเด็กเช่นมีสโมสร ชมรมต่างๆ มากขึ้นสื่อมวลชนและร้านค้า สื่อมวลชนควรนำเสนอข่าวหรือข้อมูลในทางสร้างสรรค์ พยายามเซ็นเซอร์ภาพที่ส่อไปในทางลามก หรือไม่ลงภาพดังกล่าว ร้านค้า ไม่ขายหนังสือ vcd dvd หรือเกมส์ลามกให้แก่เด็กและเยาวชน สื่อเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ ถ้าบริโภคสื่อเป็นประจำในด้านใดเป็นประจำ คนนั้น ก็อาจถูกล้างสมองได้


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง ศาสนา เศรษฐกิจ แนวคิด รวมถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ดังนั้นสื่อลามก สามารถล้างสมองของวัยรุ่นไทยได้เช่นกัน

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.