หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  การตรึงอารมณ์ผู้ฟัง
  -  บัญญัติ 7 ประการ ทะยานสู่นักพูด
  -  พูดเก่ง...ด้วยปัญญา...
  -  คำคม เกี่ยวกับการพูด
  -  ถ้าอยากเป็นนักพูด...เชิญทางนี้....
  -  การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
  -  นักพูดผู้ยิ่งใหญ่
  -  การเตรียมเพื่อพูด
  -  อัตลักษณ์ของนักพูด...มีผลต่อการพูดจูงใจคน
  -  คุณสมบัติของนักพูดที่ดี
  -  จะพูดให้ดี...ต้องมีครู...
  -  พูดเก่ง...รวยก่อน...
  -  อยากเป็นนักพูด
  -  ลีลานักพูด
  -  ปาก
  -  การแต่งตัวกับนักพูด
  -  พูดเพื่อให้ได้
  -  นักพูดชั้นนำ
  -  พูดดีเป็นศรีแก่งาน
  -  องค์ประกอบของการพูด
  -  ถ้อยคำการพูด
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  บุคลิกภาพของนักพูด
  -  ควรพูดให้ได้ทั้งสาระและความบันเทิง
  -  ทำไมการพูดถึงล้มเหลว
  -  ผู้ฟังอันตราย
  -  ครบเครื่องนักพูด
  -  พูดเป็นเขียนเป็นอย่างนักพูดนักเขียน
  -  เส้นทางสู่วิทยากร
  -  การพูดกับการเป็นผู้นำ
  -  ศิลปะการพูดในงานบริการ
  -  ศิลปะการพูดแบบกะทันหัน
  -  การเปิดฉากการพูด
  -  การดำเนินเรื่องในการพูด
  -  การปิดฉากการพูด
  -  การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
  -  Actions Speak Lound Than Words (ท่าทางนั้นดังกว่าคำพูด)
  -  มาเป็นวิทยากรกันเถอะ
  -  วิทยากรสมัยใหม่
  -  วิธีการนำเสนอ
  -  เทคนิคการเป็นวิทยากรมืออาชีพ
  -  การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  สู่วิทยากรมืออาชีพ
  -  พูดโทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
  -  ศิลปะการพูดในที่ประชุม
  -  การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
  -  วัตถุดิบสำหรับการพูด
  -  การใช้สื่อต่างๆประกอบการพูด
  -  การออกเสียงและการพัฒนาพลังเสียงในการพูด
  -  วิธีการพูดชนะใจคน
  -  การสื่อสารโดยการพูด...ภายในองค์กร
  -  บริหารเวลา กับ เป้าหมาย
  -  การพูดเพื่อให้สัมภาษณ์
  -  การพูดหาเสียงเลือกตั้ง
  -  การอ้างวาทะคนดังในการพูด
  -  การพูดทางการเมือง
  -  การสร้างเสน่ห์ในการพูด
  -  ก้าวสู่นักพูดมืออาชีพ
  -  วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
  -  วิทยากรกับการเป็นวิทยากร
  -  การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
  -  วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
  -  การเลือกวิทยากร
  -  ประโยชน์ของการฝึกอบรม
  -  การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง(ศิลปะการโต้วาที)
  -  ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม
  -  การพูดในอาชีพสื่อมวลชน
  -  การสร้างอารมณ์ขันในการพูด
  -  เห็นไมค์แล้วไข้ขึ้น
  -  วิธีการฝึกพูดของ ดิสราเอลี
  -  วิธีฝึกพูดของ เดล คาร์เนกี
  -  ศิลปะการโต้วาที
  -  ศิลปะการพูดว่าความในศาล
  -  การเตรียมตัวก่อนสมัครเป็นนักการเมือง
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  คุณธรรมนักพูด
  -  การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
  -  จงพูดอย่างกระตือรือร้น
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  การเขียนสคิปในการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  การใช้โน๊ตย่อในการพูด
  -  การพูดโน้มน้าวใจ​
  -  ภาษากายไม่เคยโกหก
  -  สอนอย่างไรให้ง่ายและสนุก
  -  การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
  -  เคล็ดลับในการเป็นนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
  -  ภาษากายกับความสำเร็จ
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
วิธีการฝึกพูดของ ดิสราเอลี
วิธีการฝึกพูดของ ดิสราเอลี
จากคนพูดติดอ่าง กลายเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ดิสราเอลี เป็นชาวยิว มีความสามารถที่หลากหลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของดิสราเอลี คือการพูด จึงทำให้เขามีชื่อเสียงจนกระทั่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นก็ได้รับการยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษคนสำคัญของประเทศอังกฤษ
ดิสราเอลี เป็นคนพูดติดอ่างมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาอยากเด่น อยากดัง อยากเล่นการเมือง เขาจึงฝึกการพูด จนในที่สุด เขาแก้ไขการพูดที่ติดอ่างจนได้ หลังจากนั้นการพูดของ ดิสราเอลี ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งได้เป็น ผู้แทนราษฏรครั้งแรกขณะได้อายุ 32 ปี
ดิสราเอลี พูดครั้งแรกในรัฐสภา ประสบความล้มเหลว เป็นอันมาก ซึ่งพลตรีหลวงวิจิตรวาทการได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่” ว่า
“ เมื่อได้รับเลือกแล้ว ดิสราเอลีก็ได้นั่งข้างหลัง เซอร์โรเบิร์ตพีล ด้วยความใฝ่ฝันอยากที่จะได้พูดบ้าง ซึ่งเขารอมาช้านานแล้ว ในที่สุดวาระของเขาก็มาถึง และได้มีโอกาสพูดตามที่ใฝ่ฝัน ซึ่งเขาอยากพูดมานานแล้ว แต่พอได้พูดเข้าจริง ความฝันอันนั้น ก็กลายเป็นฝันร้าย ความเป็นเชื้อชาติยิว ซึ่งทำความลำบากมาให้เขาแต่เล็กแต่น้อยได้ติดตามมาทำความลำบาก ให้จนกระทั่งถึงเวลาที่ได้นั่งในสภาผู้แทนราษฎร เสียงหัวเราะ เสียงผิวปาก เสียงเย้นหยัน เสียงร้องให้หยุด ได้มีอยู่ตลอดเวลา ดิสราเอลี เขียนเล่าเรื่องของเขาไว้ว่า บางครั้งทำให้เขาเสียขวัญ แต่ก็พยายามสงบใจ ในที่สุดก็สงบต่อไปไม่ไหว พูดต่อไปอีกไม่ได้ ต้องหยุดพูด ก่อนที่จะนั่งลง เขาได้พูดว่า คราวนี้ข้าพเจ้าต้องนั่งลง แต่เวลายังจะมีมาข้างหน้า ที่ท่านจะต้องฟังข้าพเจ้าด้วยความตั้งอกตั้งใจ”
หลังจากนั้น ดิสราเอลี ก็ได้ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนการพูด ฝึกการใช้สำนวนโวหาร ฝึกคิดสำนวนโวหารที่เป็นของตนเอง รวมไปถึงการแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดยั้ง และที่สำคัญเขาเป็นคนที่ฉลาดมากในการใช้คำพูดให้ถูกต้องกับจังหวะและสถานการณ์ เช่น เมื่อประเทศอังกฤษประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เขาจะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ รวมไปถึงการแก้ไขปัญหา แล้วเขาก็ออกไปแสดงสุนทรพจน์ แสดงปาฐกถา แสดงความคิดในที่ต่างๆ รวมทั้งมีการพูดให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชน จนทำให้ประชาชนชาวอังกฤษสมัยนั้น คาดหวังว่าเขาจะช่วยแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจได้ ซึ่งต่อมาเขาก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญ เปรียบเสมือนเป็น แม่บ้าน ซึ่งต้องดูแลควบคุมเงินทองของประเทศ
สำหรับการแสดงสุนทรพจน์และการแสดงปาฐกถา แต่ละครั้ง ดิสราเอลี มักให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมตัว เขาต้องร่างบทพูดด้วยตนเอง เขาจะพิถีพิถันมาก อีกทั้งซ้อมพูดก่อนที่จะออกไปพูดจริงๆ จึงทำให้ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากเขา เป็นคำพูดที่ไพเราะ เต็มไปด้วยวาทศิลป์ ซึ่งคำพูดเหล่านั้น สามารถเป็นตัวอย่างให้แก่นักพูดรุ่นหลังได้
และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ ดิสราเอลี ประสบความสำเร็จในด้านการใช้คำพูด การใช้วาทศิลป์ก็คือ
ดิสราเอลี เป็นนักเขียนเขาแต่งหนังสือหรือเขียนหนังสือเป็นจำนวนมาก ซึ่งการเขียนหนังสือหรือการเขียนบทความลงตามสื่อต่างๆ ก็ถือว่าเป็นการเตรียมการพูดอยู่ตลอดเวลา เพราะการเขียนหนังสือจะต้องมีข้อมูล ความรู้ ต้องมีความคิด ต้องมีการวิเคราะห์ ต้องมีการเรียบเรียงคำพูดก่อนที่จะเขียน ดังนั้น ดิสราเอลี จึงมีความรู้ที่กว้างขวาง มีความรู้มากพอ ที่จะพูดตอบโต้ พูดโต้แย้ง ในรัฐสภาซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของการเป็นนักการเมืองที่ดีและนักพูดที่ดี

...
  
วิธีฝึกพูดของ เดล คาร์เนกี
วิธีฝึกการพูดของ เดล คาร์เนกี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เดล คาร์เนกี เกิดที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐมิสซูรี เขามีฐานะไม่สู้ดีนัก เมื่ออยู่ในวัยเด็กและวัยเรียน เขาต้องอับอายกับการใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่คับตึงและกางเกงขาสั้นเต่อ ซึ่งเขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อชุดใหม่ เขามีความรู้สึกเป็นปมด้อยอยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นเขาได้ศึกษาวิชาการพูดหรือวิชาแสดงปาฐกถาและโต้วาที เนื่องจากเขาเห็นว่า นักศึกษาที่เก่งวิชานี้มีชื่อเสียงมีหน้ามีตาไม่แพ้กับนักกีฬา หลังจากนั้นเขาก็สมัครเข้าแข่งขันการพูดปาฐกถา ซึ่งเขาได้ทุ่มเทกับการเตรียมตัวและการฝึกซ้อมเป็นอันมาก เขาซ้อมในขณะนั่งอยู่บนหลังม้า ขณะรีดนมวัว ขณะถอนหญ้า แต่ผลปรากฏว่า เขาต้องแพ้แล้วแพ้อีก เขาท้อจนขนาดถึงคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ต่อมาผลการแข่งขัน เขาเริ่มประสบชัยชนะในการแข่งขันและชื่อเสียงของเขาก็ดีขึ้น
เมื่อเขาจบการศึกษาแล้วทำงาน เขาทำงานหลายๆอย่าง เช่น เขาแสดงละครเร่ เขาเป็นพนักงานขายรถบรรทุก และสุดท้ายเขาฝันว่าจะมีเวลาเขียนหนังสือและศึกษาค้นคว้า เขาจึงไปสมัครเป็นอาจารย์สอนวิชาการพูดต่อหน้าที่ชุมชนกับมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ปรากฏว่าทั้งสองมหาวิทยาลัยปฏิเสธเขา แต่เขาก็พยายามต่อไปจนในที่สุด โรงเรียนกลางคืน ไว.เอ็ม.ซี.เอ รัฐนครนิวยอร์ก ตกลงทำสัญญาให้เขาสอน เมื่อเขาสอนไปได้ไม่นานชื่อเสียงของเขาก็เริ่มดังขึ้น จนในที่สุด เขาได้เปิดสาขาการศึกษาวิชาการพูดในที่ชุมชนขึ้นถึง 750 แห่งในสหรัฐและอีก 14 ประเทศ ในขณะนั้น สำหรับในปัจจุบันก็มีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นเกือบทุกประเทศทั่วโลก
เดล คาร์เนกี จึงถือได้ว่า เป็นปรมาจารย์ในวิชาการพูดในที่ชุมชนที่คนรู้จักเกือบทั่วโลก สำหรับวิธีการฝึกการพูดของเขา เขาได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ การพูดในที่ชุมชน โดยสรุปย่อๆได้ดังนี้
1.ตั้งต้นศึกษาด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าและไม่ลดละ จงตั้งเป้าหมาย จงคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการพูดในที่ชุมชน เช่น เมื่อท่านประสบความสำเร็จในด้านการพูดแล้ว ท่านจะได้รับเงินทอง ชื่อเสียง ตำแหน่งมากมาย
ศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม เยมส์ ได้กล่าวว่า “ ถ้าท่านอยากเป็นนักพูดในที่ชุมชน ท่านต้องมีความปรารถนาอย่างแท้จริง แล้วท่านก็จะได้เป็นนักพูดในที่ชุมชนในที่สุด ”
2.การเตรียมตัว เขาจะให้ความสำคัญกับการเตรียมตัว เขาแนะนำว่า เราจะไม่รู้สึกมั่นใจเว้นแต่เราจะรู้ว่าเรากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร เขาจะสอนลูกศิษย์ของเขาโดยให้ความสำคัญกับการเตรียมตัว กล่าวคือ เมื่อทราบว่าจะพูดเรื่องอะไร เขาแนะนำให้ไปหาหนังสือเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องที่จะพูดมาอ่าน แล้วรวบรวมวัตถุดิบให้มาก หรือหาความรู้ให้มากกว่าที่เราจะนำเอาไปใช้หลายๆเท่า การเตรียมตัวนั้น เขาให้ความสำคัญทั้งการเตรียมร่างกายด้วย เช่น เขาแนะนำว่า ไม่ควรพูดปาฐกถาในขณะที่ท่านกำลังเหน็ดเหนื่อย จงพักผ่อนหลับนอนก่อน อีกทั้งอย่าได้กินอาหารหนักๆก่อนไปแสดงปาฐกถาแต่ควรหาอาหารว่างที่เบาๆทาน
3.ทำกิริยาท่าทางแสดงความมั่นใจ เขาแนะนำให้ออกไปพูดในที่ชุมชนด้วยความกล้าหาญ จงยิ้มเข้าไว้ เพราะเมื่อเราแสดงความกล้าหาญ เราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้น อีกทั้ง เดล คาร์เนกี ยังได้แนะนำเรื่องของการใช้เสียงว่า เราควรพูดเสียงหนักที่คำที่มีความสำคัญและพูดเสียงลดลงในคำที่ไม่มีความสำคัญ ในการพูดควรใช้เสียงที่มีระดับเสียงสูงและเสียงลงบ้าง ในการพูดควรมีการหยุดพูดหรือหยุดเป็นจังหวะบ้าง กล่าวคือไม่ควรใช้เสียงที่ราบเรียบจนเกินไป
4.ฝึกหัด ฝึกหัด ฝึกหัด ข้อนี้ เดล คาร์เนกี ให้ความสำคัญมากที่สุด การขาดความมั่นใจเกิดจากการขาดความชำนาญ แต่ถ้าเราอยากจะชำนาญในเรื่องใด เราก็ต้องทำการฝึกหัด ฝึกหัด ฝึกหัด แล้วเราก็จะเกิดความชำนาญ เมื่อเกิดความชำนาญความมั่นใจก็จะเกิดขึ้นกับเรา
เนี่ยคือวิธีการฝึกการพูดของเดล คาร์เนกี และท่านก็ได้สอนการพูดในที่ชุมชนให้แก่คนเป็นจำนวนมาก ถ้าหากท่านผู้อ่านต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมท่านสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ การพูดในที่ชุมชน เขียนโดย เดล คาร์เนกี สำหรับฉบับภาษาไทยแปลโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์
...
  
ศิลปะการโต้วาที
ศิลปะการโต้วาที
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาในยุคปัจจุบัน เราคงจะเห็นว่า เขาจะจัดให้มีการโต้วาที ถามว่า ทำไมต้องเอาคนที่จะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนต่อไป มีความจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องมาโต้วาทีให้ประชาชนและคนทั่วโลกเห็น
ซึ่งคงจะมีเหตุผลหลายประการ ที่ประเทศสหรัฐอมเริกาจะจัดให้มีการโต้วาที สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เพราะการโต้วาที ทำให้เห็นอะไรหลายๆอย่างในตัวของผู้โต้วาที เช่น ภาวะผู้นำ การตัดสินใจ ภูมิความรู้ บุคลิกภาพ ความเชื่อมั่นในตนเอง การมีวาทศิลป์ การมีไหวพริบปฏิภาณ การมีอารมณ์ขัน ตลอดจนกระทั่งถึงการควบคุมอารมณ์ของตนเอง ในการที่ถูกคู่แข่งขัน ตอบโต้ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ
ดังนั้น ประเทศอเมริกาจึงให้ความสำคัญกับการโต้วาที ในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งที่สำคัญๆของประเทศของเขา คราวนี้เราลองมาทำความรู้จักกับการโต้วาทีคืออะไร
การโต้วาที ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้ให้ความนิยามว่า “ การแสดงคารมโดยมีฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง”
ซึ่งจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการโต้วาทีคือ
1.เพื่อฝึกให้ผู้โต้วาที ได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาเสนอในการโต้วาที
2.เพื่อฝึกให้ผู้โต้วาที ได้ใช้ไหวพริบปฏิภาณ เชาว์ปัญญาในการแก้ไขปัญหาหรือตอบโต้ในการโต้วาที
3.เพื่อฝึกใช้เหตุผล สำหรับการหักล้าง โดยมีการนำข้อมูลหลักฐานต่างๆมาอ้างอิง ฉะนั้นจึงทำให้นักโต้วาทีไม่เป็นคนที่ไม่เชื่อคนง่าย
4.เพื่อฝึกใช้วาทศิลป์ การเลือกใช้ถ้อยคำ เพื่อนำมาโน้มน้าวใจ รวมไปถึงการใช้ท่าทางประกอบการพูด
5.เพื่อฝึกการทำงานให้เป็นทีม มีการวางแผนและทำงานร่วมกัน
6.เพื่อฝึกความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ซึ่งเป็นธรรมดาของการแข่งขันย่อมมีผู้แพ้ผู้ชนะ
คณะผู้โต้วาที
คณะผู้โต้วาที ประกอบไปด้วย
1.ประธานในการโต้วาที 1 คน จะทำหน้าที่กล่าวทักทาย กล่าวเปิด แจ้งให้ผู้ฟังทราบถึงความสำคัญของญัตติที่ใช้ในการโต้วาที กล่าวเชิญผู้โต้วาทีขึ้นมาบนเวทีทีละคน เป็นผู้แนะนำกรรมการและผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่าย เป็นผู้สร้างบรรยากาศ และมีหน้าที่สรุปรายงาน การประกาศผลและกล่าวปิดงาน
2.สมาชิกผู้โต้วาที ประกอบไปด้วยทีมทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะมีหัวหน้าฝ่าย 1 คนและผู้สนับสนุนฝ่ายแต่ละฝ่ายอีก 3 คน (แต่ในยุคปัจจุบัน บางแห่งอาจใช้แค่ 2 คน ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับความเหมาะสม) สำหรับเรื่องของเวลาในการโต้วาทีแต่ละครั้งมักให้เวลาคนละ 5-7 นาที หรือ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของผู้จัดกำหนดขึ้นเอง
ด้านหน้าที่ของหัวหน้าฝ่ายเสนอ มีหน้าที่ดังนี้ ขึ้นต้นควรกล่าวทักทาย แล้วจึงเริ่มเสนอญัตติ มีการแปรญัตติหรือความหมายหรือคำนิยามของญัตติ หาเหตุผลข้อมูลมาเสนอเพื่อสนับสนุนญัตติของตนเอง มีการสรุปประเด็นสำคัญๆ สำหรับรอบที่สอง เป็นรอบสรุป หัวหน้าฝ่ายเสนอต้องเก็บกวาดหรือโต้แย้ง คู่แข่งทุกประเด็นที่ตกค้าง กล่าวคือผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอยังไม่ได้มีการพูดหักล้าง แล้วจึงกล่าวสรุปปิดท้าย โดยประเพณีหัวหน้าฝ่ายเสนอจะเป็นผู้สรุปคนหลังสุด
ด้านหน้าที่ของหัวหน้าฝ่ายค้าน มีหน้าที่ดังนี้ กล่าวทักทาย มีการแปลญัตติที่ทำให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบ ต้องพยายามหาเหตุผลมาคัดค้าน การนำเสนอของหัวหน้าฝ่ายเสนอ มีการโต้แย้งเป็นประเด็นโดยมีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิง มีการเสนอแนะเหตุผลมาสนับสนุนฝ่ายตัวเอง สำหรับรอบที่สอง เป็นรอบสรุป หัวหน้าฝ่ายค้าน ต้องเก็บกวาดหรือโต้แย้ง คู่แข่งทุกประเด็นที่ตกค้าง กล่าวคือผู้สนับสนุนฝ่ายค้านยังไม่ได้มีการพูดหักล้าง แล้วจึงกล่าวสรุปปิดท้าย โดยประเพณีหัวหน้าฝ่ายค้านจะเป็นผู้สรุปก่อนหัวหน้าฝ่ายเสนอ
บทบาทหน้าที่ของฝ่ายสนับสนุนฝ่ายเสนอ กล่าวทักทายผู้ฟัง อธิบายให้การสนับสนุนฝ่ายเสนอ หาเหตุผล ข้ออ้างอิง หลักฐานต่างๆ สถิติ ข้อเท็จจริง เอกสาร ภาพถ่าย มาใช้ประกอบเพิ่มเติม มีหน้าที่โต้แย้ง หาประเด็นต่างๆมาคัดค้านฝ่ายค้าน สรุปประเด็นเน้นย้ำให้กับฝ่ายของตนเองได้เปรียบ แล้วจึงกล่าวลาผู้ฟัง
บทบาทหน้าที่ของฝ่ายสนับสนุนฝ่ายค้าน กล่าวทักทายผู้ฟัง อธิบายให้การสนับสนุนฝ่ายค้าน หาเหตุผล ข้ออ้างอิง หลักฐานต่างๆ สถิติ ข้อเท็จจริง เอกสาร ภาพถ่าย มาใช้ประกอบเพิ่มเติม มีหน้าที่พูดโต้แย้ง หาประเด็นต่างๆมาคัดค้ายฝ่ายเสนอ สรุปประเด็นเน้นย้ำให้กับฝ่ายของตนเองให้เกิดความได้เปรียบ แล้วจึงกล่าวลาผู้ฟัง
ขั้นตอนในการเตรียมตัว เตรียมความพร้อม ของผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่าย
1.ต้องเตรียมตัว เตรียมข้อมูล หาเอกสารต่างๆ รวมทั้งทำการศึกษา วิเคราะห์ญัตติในการโต้วาทีอย่างถ่องแท้ รวมทั้งจัดเตรียมเอกสาร หลักฐาน สื่อต่างๆเพื่อนำไปใช้ประกอบในการพูด
2.เตรียมต้นฉบับหรือสคิปในการพูด ว่าจะขึ้นต้นอย่างไร ตรงกลางจะพูดอะไร และสรุปจบจะพูดอะไร อีกทั้งควรเตรียม คำคม คำกลอน อารมณ์ขันในการสอดแทรกการพูด รวมไปถึง สุภาษิต คำพังเพยต่างๆ
3.เตรียมพร้อม เตรียมซ้อม ภาษากายที่ใช้ประกอบการพูด รวมไปถึง การแต่งกาย การใช้ท่าทางในการประกอบการพูด ทั้งนี้ควรมีการซ้อมพูดและฝึกการใช้ภาษากายหรือท่าทางประกอบการพูด
4.เตรียมข้อมูลของฝ่ายตรงกันข้าม นักโต้วาทีที่ดีต้อง รู้เขารู้เรา รู้เขาคือ ต้องรู้ว่าฝ่ายตรงกันข้ามจะพูดอะไร เตรียมข้อมูลอะไร แล้วคิดล่วงหน้าในการโต้ตอบฝ่ายตรงกันข้าม
5.การโต้วาทีที่ดี ไม่ควรเอ๋ยชื่อและควรเรียกชื่อ แต่ควรเอ่ยเป็น หัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้าน ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 1 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 2 และผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 2 เป็นต้น
6.หัวหน้าทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่ที่จะต้องสรุปประเด็นและสรุปญัตติ เพื่อเป็นการทิ้งท้ายให้ผู้ฟังประทับใจ ตอนสรุปถือว่าสำคัญมากๆ
7.สุดท้ายทีมผู้โต้วาที ควรซักซ้อม เตรียมตัว ปรึกษาหารือกันก่อน มีการตกลงกันว่าใครพูดก่อนหลัง ว่าใครมีข้อมูลอย่างไร เพื่อที่จะไม่ได้เกิดการพูดที่ซ้ำๆกันในเวลาที่ขึ้นเวทีจริง
สำหรับการจัดทีมการโต้วาทีที่ดี
1.หัวหน้าทีม(ต้องเก่งที่สุด)
2.ผู้สนับสนุนคนที่ 1 (ต้องเก่งลำดับ 4 )
3.ผู้สนับสนุนคนที่ 2 (ต้องเก่งลำดับ 3)
4.ผู้สนับสนุนคนที่ 3 (ต้องเก่งลำดับ 2)
คณะกรรมการจับเวลา มีหน้าที่จับเวลา มีการบันทึกเวลา มีการเตือนการใช้เวลาของสมาชิกที่โตวาที เมื่อใกล้หมดเวลาหรือหมดเวลา อาจใช้ภาษามือ กริ่ง เพื่อเตือนสมาชิกที่โต้วาทีให้รู้ว่าใช้เวลาไปเท่าไร เหลือเวลาเท่าไร
คณะกรรมการตัดสิน มีหน้าที่ให้คะแนนผู้โต้วาทีทั้ง 2 ฝ่าย คณะกรรมการควรเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในการโต้วาทีมาบ้าง มีหลักวิชา มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการพูดต่อหน้าที่ชุมชน มาร่วมกันตัดสิน ปกติกรรมการมักจะเป็นเลขคี่ คือ 3 คน และ 5 คน สำหรับการโต้วาทีในบางเวที หากไม่ได้มีการแข่งขันกันแบบเอาจริงเอาจัง บางแห่งอาจจะไม่มีกรรมการการตัดสินก็ได้ แต่อาจใช้เสียงปรบมือจากผู้ฟังเป็นตัววัดการแพ้ชนะ ทั้งนี้คณะผู้จัดการโต้วาทีอาจจะประกาศผลเสมอกันหรือไม่มีการตัดสินเลยก็ได้
ผู้เข้าฟังการโต้วาที เป็นผู้ฟังหรือผู้ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งผู้ฟังควรมีมารยาทในการฟัง ควรฟังอย่างตั้งใจ ควรให้ความร่วมมือโดยการปรบมือให้กำลังใจแก่ผู้โต้วาที เพื่อสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนุกสนานในการโต้วาที
ญัตติการโต้วาที ควรตั้งชื่อให้มีความน่าสนใจ มีความดึงดูด ญัตติการโต้วาทีควรเป็นญัตติแบบกลางๆ ที่ทุกฝ่ายยังหาข้อสรุปไม่ได้ อีกทั้งญัตติไม่เป็นญัตติที่ทำให้ฝ่ายได้ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ เป็นญัตติที่ทั้งสองฝ่ายสามารถหาเหตุผลมาโต้กันจนสามารถเอาชนะกันได้
ญัตติการโต้วาทีที่น่าสนใจคือ ดูทีวีดีกว่าอ่านหนังสือพิมพ์,เกิดเป็นผู้ชายดีกว่าเกิดเป็นผู้หญิง,เป็นนักแสดงดีกว่าเป็นนักเขียน,เด็กแน่กว่าคนแก่ เป็นต้น
ส่วนญัตติที่ไม่ควรนำเอามาโต้วาที คือ ญัตติที่แน่นอนซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ น้ำต้องไหลจากบนลงล่าง,พระจันทร์เกิดขึ้นในเวลากลางคืน,แผ่นน้ำมีมากกว่าแผ่นดิน เป็นต้น หรือเป็นญัตติที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ เช่น ไทยร่ำรวยกว่าประเทศญี่ปุ่น , คนไทยพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนอังกฤษ เป็นต้น
ข้อควรระวังในการตั้งญัตติไม่ควรตั้งญัตติที่มีความเกี่ยวพันถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
สำหรับการแปลญัตติหรือการตีญัตตินั้น เป็นหน้าที่ของหัวหน้าทั้งสองฝ่าย คือ หัวหน้าฝ่ายเสนอและหัวหน้าฝ่ายค้าน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องแปลญัตติหรือตีญัตติให้ฝ่ายของตนได้เปรียบ สำหรับผู้โต้วาทีบ่อยๆ หรือ มีประสบการณ์ในการโต้วาทีจะรู้ว่า การแปลญัตติหรือการตีญัตติมีความสำคัญถึงขนาดทำให้ได้รับชัยชนะเลยก็ได้
มารยาทในการอ้างอิง สำหรับการโต้วาทีของประเทศไทย คือ ผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่ายไม่ควรนำเอาพระราชดำรัสหรือพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาอ้างอิง เพราะจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำการโต้แย้งได้เลย
การให้คะแนน แต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน เช่น การให้คะแนนของสโมสรฝึกพูดลานนาไทย เชียงใหม่ 1.คะแนนเหตุผล 30 % 2. คะแนนวาทศิลป์ 20 % 3. คะแนนไหวพริบปฏิภาณ 20 %
4.คะแนนภาษาไทย 15 % 5.คะแนนมารยาท 10% 6.คะแนนภาษากาย 5 %
หรือการโต้วาทีบางแห่งอาจให้คะแนน เช่น 1.คะแนนเหตุผล 30 % 2. คะแนนหักล้าง 30 %
3. คะแนนวาทศิลป์ 20 % 4.คะแนนหลักฐานอ้างอิง 10 % 5.คะแนนมารยาท 10%
ทั้งนี้ ผู้โต้วาทีที่ดีและเก่ง ควรทำการวิเคราะห์และหาข้อมูลว่า คณะกรรมการใช้เกณฑ์ใดในการตัดสิน แล้วจึงให้ความสำคัญกับคะแนนที่สูง เพราะบางคนระวังเรื่องของมารยาทจนเองไปซึ่งมีคะแนนแค่ 10 % เลยเสียคะแนนเรื่องของวาทศิลป์ และการหักล้างซึ่งมีคะแนน 20-30 %
สำหรับคุณสมบัติของนักโต้วาทีที่ดีมีดังนี้
1.ต้องมีทักษะในการฟัง การจด การคิด รวมไปถึงการใช้วาทศิลป์ในการพูด นักโต้วาทีที่ดีต้องมีสมาธิในการฟังฝ่ายตรงกันพูด อีกทั้งต้องสามารถจับประเด็นที่สำคัญๆได้ การจดก็ควรจดด้วยความรวดเร็ว มีความคิดที่เป็นระบบมีเหตุมีผลและการนำเสนอควรนำเสนออย่างมีวาทศิลป์ด้วย
2.ต้องมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดีหรือทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ซึ่งควรเตรียมทั้งของเราและเตรียมของคู่แข่งคือต้องคิดล่วงหน้าว่าถ้าเราเป็นคู่แข่งขัน เราจะพูดอย่างไร เราจะคิดอย่างไร
3.ต้องมีไหวพริบปฏิภาณในการโต้วาที คือต้องสามารถตอบโต้สดๆ ในขณะปัจจุบันทันด่วนได้
4. ต้องไม่โกรธง่าย ต้องไม่หวั่นไหวง่าย ต้องมีใจคอหนักแน่น อดทนต่อคำเสียดสีจากฝ่ายตรงกันข้าม รวมไปถึงเรื่องของสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงด้วย
5.ต้องมีการทำงานเป็นทีม โดยมีการประชุมแล้ว แบ่งปันข้อมูล ต้องแบ่งหน้าที่ว่าใครเป็นหัวหน้าทีมและใครเป็นผู้พูดสนับสนุนคนที่ 1 คนที่ 2 และคนที่ 3
สำหรับการโต้วาทีในปัจจุบัน มีลักษณะดังนี้
1.มีลักษณะของการอ่อนเหตุผล
2.มีลักษณะของการใช้วาทศิลป์ที่ด้อยกว่าในอดีต รวมไปถึงการใช้ ภาษากาย
3.มีลักษณะของการใช้ภาษาที่ไม่ถูกต้อง ไม่สวยงามเหมือนในอดีต
4.มีลักษณะของการใช้ไหวพริบปฏิภาณที่ด้อยลง ไม่เหนือชั้น เนื่องจากว่ามีสนามฝึกฝนน้อย

ขั้นตอนในการโต้วาที
1.ประธานมีหน้าที่กล่าวเปิด กล่าวอารัมภบท สร้างบรรยากาศ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ กล่าวทักทายผู้มาฟังการโต้วาที ต่อจากนั้นประธานต้องแนะนำผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่าย แนะนำกรรมการจับเวลา แนะนำกรรมการตัดสิน จากนั้นจึงกล่าวเชิญผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่ายสลับขึ้นมาพูด โดยเริ่มจาก หัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้าน ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 1 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 2 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 2 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 3 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 3 หัวหน้าฝ่ายค้านขึ้นมาสรุป และหัวหน้าฝ่ายเสนอขึ้นมาสรุปเป็นคนสุดท้าย ตามลำดับ
2.หัวหน้าฝ่ายเสนอ มีหน้าที่ในการแปลญัตติหรือตีญัตติ และหาข้อมูล หลักฐาน มาสนับสนุนฝ่ายของตน
3.หัวหน้าฝ่ายค้าน มีหน้าที่ในการแปลญัตติหรือตีญัตติ เพื่อให้ฝ่ายตนเองเกิดความได้เปรียบ และหาข้อมูล หลักฐาน มาพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเกิดความคล้อยตาม
4.ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1 พูดค้านประเด็นที่สำคัญๆของหัวหน้าฝ่ายค้าน แล้วกล่าวสนับสนุนหัวหน้าฝ่ายเสนอ และนำเสนอประเด็นใหม่
5.ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 1 พูดค้านและหาเหตุผลมาหักล้าง หัวหน้าฝ่ายเสนอและผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1
6.ต่อจากนั้นจึงเชิญ ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 2 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 2 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 3 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 3 หัวหน้าฝ่ายค้านขึ้นมาสรุป และหัวหน้าฝ่ายเสนอขึ้นมาสรุปเป็นคนสุดท้าย ตามลำดับ
7.จากนั้นประธานเชิญ กรรมการผู้ตัดสินขึ้นมาวิจารณ์การโต้วาที ในขณะเดียวกัน ต้องรวบรวมคะแนนและการใช้เวลาของทั้งสองฝ่าย เพื่อรวมคะแนน หลังจากนั้นก็ประกาศผลการตัดสิน กล่าวขอบคุณทุกๆฝ่ายและกล่าวปิด
มารยาทในการโต้วาทีที่ดี
1.ไม่ควรอ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์
2.อย่าใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ หยาบคาย
3.อย่านำเรื่องส่วนตัวที่ไม่ดีของฝ่ายตรงกันข้ามมาพูด ยกเว้นเรื่องที่ดี
4.อย่าแสดงอารมณ์โกรธ แต่ต้องควบคุมอารมณ์ในการพูด ต้องแสดงความเป็นมิตรกับฝ่ายตรงกันข้าม
5.ไม่ควรเอ่ยชื่อ แต่ควรเอ่ยว่า หัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้าน ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ ผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน
6.อย่าใช้เวลาเกินหรือพูดเกินเวลาที่กำหนดมาให้ในการโต้วาที
การหักล้าง
1.ต้องตั้งใจฟังผู้โต้วาทีทุกคนพูด แล้วจับประเด็นข้อกล่าวหา และเขียนข้อกล่าว พร้อมทั้งคำพูดในการตอบโต้ลงไปในกระดาษ
2.ต้องหาเหตุผล หลักฐาน ข้อมูล เพื่อมาหักล้างข้อกล่าวหา โดยหักล้างคนที่ลงจากเวทีพูดก่อนแล้วจึงไปยังคนแรก เช่น หากว่าเราเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 1 เราต้องพูดหักล้างผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1 ก่อนแล้วจึงไปพูดหักล้างหัวหน้าฝ่ายเสนอเป็นคนต่อมา
3.ควรหาเหตุผลมาสนับสนุนข้อกล่าวหาโดยตอบโต้ฝ่ายตรงกันข้ามก่อนอย่างน้อยสัก 2-3 ประเด็น แล้วจึงหาข้อเสนอหาเหตุผลมาสนับสนุนฝ่ายตนเอง
4.หักล้างแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เช่น ฝ่ายตรงกันข้ามร้องเพลงมา ฝ่ายเราก็ต้องร้องเพลงแก้ ฝ่ายตรงกันข้ามยกกลอนมา เราก็ต้องยกกลอนแก้ ฝ่ายตรงกันข้ามยกคำคมมา ฝ่ายเราก็ต้องยกคำคมแก้ เป็นต้น
5.หักล้างแบบทำลายน้ำหนัก หากว่าฝ่ายตรงกันข้ามยกหนังสือมาอ้างอิง เราก็หักล้างว่า หนังสือนั้น ไม่มีคุณภาพ ไม่ควรยึดถือหรือไม่ควรนำมาใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง อีกทั้งควรนำเสนอข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้ในการตอบโต้ เช่น ยกพจนานุกรม , ยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ,ยกสารานุกรมไทย,ยกเอนไซโคลพีเดีย เป็นต้น
การค้าน
1.ผู้โต้วาทีควรหาเหตุผล หาหลักฐานที่เหนือกว่าคู่แข่งมาใช้ประกอบการโต้วาที เช่น ฝ่ายตรงกันข้ามอ้าง ปทานุกรม เราต้องอ้างพจนานุกรม ฝ่ายตรงกันข้ามอ้างพจนานุกรม เราต้องอ้างไซโคลปิเดีย
2.ผู้โต้วาทีต้องค้านให้ตก คือ ผู้โต้วาทีต้องพยายามค้านให้ได้ทุกประเด็น ต้องยืนยัน นั่งยืน นอนยืน ว่าฝ่ายเราถูกต้อง ไม่ควรใช้คำพูดในลักษณะ ว่า “ผมเห็นด้วย แต่...”
3.ผู้โต้วาทีควรต้องรู้จักค้านดักหน้า กล่าวคือ ผู้โต้วาทีไม่ต้องรอเขานำเสนอก่อนแล้วจึงค้าน แต่เราต้องค้านดักคอล่วงหน้า เพื่อทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบหรือทำให้อีกฝ่ายต้องแก้เกมส์อย่างกะทันหัน
...
  
ศิลปะการพูดว่าความในศาล
ศิลปะการพูดว่าความในศาล
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ผู้ที่เป็นทนายความ มักมีโอกาสได้ใช้คำพูดในการว่าความมากกว่าบุคคลโดยทั่วไป ซึ่งตัวกระผมเองได้ประกอบอาชีพทนายความก็ได้มีโอกาสได้ใช้คำพูดในการว่าความ
ศิลปะการพูดว่าความในศาล จึงต้องสมควรเรียนรู้ สำหรับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพทนายความ หรือแม้แต่บุคคลโดยทั่วไป ก็ควรทำการศึกษาเพราะในชีวิตคนเราสักวันหนึ่งอาจจะต้องได้มีโอกาสเรียกตัวไปเป็นพยาน หรือ เป็นจำเลย เป็นโจทก์ ซึ่งก็ต้องใช้คำพูดในการตอบทนายความ
ทนายความ ที่จะการพูดว่าความในศาลได้ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
1.ต้องเป็นคนช่างถาม ช่างซัก เพราะทนายความจะต้องเป็นผู้ที่ ซักถาม ถามค้าน ถามติงและถามนำ พยานที่เบิกความต่อศาล
2.ต้องเป็นคนช่างเถียง ทนายความ ที่ว่าความเก่ง มักเป็นคนที่ชอบหาเหตุผลมาเถียงเพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงกันข้าม
3.ต้องมีไหวพริบปฏิภาณดี สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ เมื่อถูกศาลถาม หรือ เมื่อพยานตอบคำถามที่เป็นอันตรายและไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายของตนเอง ก็ยิ่งที่จะต้องรีบหาทางแก้ไข
4.ต้องมีความอดทน เพราะการพูดว่าความในศาลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ในการเรียนรู้ และต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้าวิชากฎหมายและวิชาอื่นๆ เพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ
การถาม ทนายความ ที่เก่งมักจะทำการบ้านมาเป็นอย่างดี กล่าวคือ เขาจะหัดตั้งคำถามไว้มากๆ อาจจะตั้งคำถามเตรียมไว้ซัก 100 คำถาม แต่อาจจะนำไปใช้จริงๆ สัก 30 คำถาม และเมื่ออยู่ในศาลเขาจะซักถามจนสุดความสามารถ แต่จะถามให้ได้ประโยชน์กับฝ่ายตนเองมากที่สุด คำถามไหนที่ทำให้ฝ่ายของตนเองเสียเปรียบก็จะไม่พยายามซักถาม อีกทั้งต้องมีการเตรียมการบ้านมาเป็นอย่างดี เขาจะเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้า ว่าคำถามนี้จะถามอย่างไร กับใคร
การถาม ทนายความ ควรคำนึงถึงว่า จะถามเรื่องอะไร จะถามอย่างไร จะถามไปทำไม จะถามแล้วได้รับประโยชน์อะไรจากคำถามที่ถาม และควรคำนึงถึงลำดับในการถามว่าจะถามคำถามใดก่อน คำถามใดมาทีหลัง และควรถามความด้วยความมั่นใจ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ อีกทั้งควรเว้นวรรค หรือ เว้นระยะหยุดเพื่อให้ศาลได้ทำการบันทึกคำตอบของพยาน
เทคนิค ในการถาม อีกประการหนึ่งก็คือ โดยมากมักจะไม่ใช้ คำถามว่า “ ทำไม” เพราะอาจจะเกิดความผิดพลาดหรือเสียท่าได้ อันเนื่องมาจากพยานได้อธิบายข้อพร่องที่ทำให้ฝ่ายของตนเองเสียเปรียบ แต่ควรจะตั้งคำถามในลักษณะปลายปิด เช่น ใช่หรือไม่ , มีคนอยู่ด้วยหรือไม่มีเลย , ใช่ไหม เป็นต้น
ตัวอย่างคำถาม
ถาม พยานรู้จักกับจำเลยมาประมาณ 20 ปี ใช่ไหม
ตอบ ใช่
ถาม พยานทราบไหมในวันจับกุมใครอยู่ในที่เกิดเหตุ
ตอบ ไม่ทราบ
ถาม วงไพ่ที่เล่นกันในวันที่ถูกจับกุมเป็นไพ่ป๊อกหรือไพ่ไทย
ตอบ ไพ่ไทย
ถาม พยานยืนอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร หรือ 20 เมตร
ตอบ ประมาณ 10 เมตร
ถาม ในวันเกิดเหตุจำเลยมากับเพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย
ตอล เพื่อนผู้ชาย
การซักถามพยานในศาล โดยมากมักจะมีในศาลชั้นต้น ส่วนศาลอุทธรณ์และศาลฏีกา มักจะไม่มีการซักพยาน ถึงแม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ซักถามได้แต่ก็ไม่ค่อยมีการซักถามกัน
สำหรับการซักถาม หม่อมหลวงสุพร อิศรเสนา ได้ให้ความหมาย และได้แบ่งการถามออกเป็น 3 วิธี อีกทั้งได้เขียนไว้ว่าการถามแบบไหนใช้คำถามนำได้หรือไม่ได้(จากตำราว่าความซักถาม ถามค้านหน้าที่ 19-21)
1.การซักถาม(ถามชั้นแรก)
2.การถามค้าน
3.การถามติง
การซักถาม คือ การถามโดยคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานนั้นเพื่อให้เบิกความตามประเด็นที่ผู้อ้างตั้งใจจะนำสืบเพื่อประโยชน์แก่คดีของตน
ห้ามใช้คำถามนำ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 118 เว้นแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมหรือได้รับอนุญาตจากศาล(เหตุผลเพราะเป็นการเอาเปรียบคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง)
การถามนำ คือ คำถามซึ่งแนะแนวทางหรือชี้แนวทางให้พยานตอบตามที่ผู้ถามต้องการให้ตอบ
การถามค้าน คือ การถามของคู่ความฝ่ายตรงกันข้ามกับฝ่ายที่อ้างพยาน
ส่วนคำถามค้าน ใช้คำถามนำได้
การถามติง คือ การที่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานถามพยานปากนั้นอีกครั้งหนึ่งภายหลังที่พยานนั้นถูกอีกฝ่ายหนึ่งถามค้านแล้ว
การถามติงนี้ จะใช้คำถามนำไม่ได้
สำหรับการถามนำนี้ กระผมขอยกตัวอย่างเพิ่มเติมให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น ถามว่า วันที่เกิดเหตุ คือวันที่ 20 มกราคม 2557 ใช่ไหม พยานก็ตอบว่า ใช่ คำถามลักษณะนี้เป็นคำถามที่ชี้นำให้พยานตอบ เพราะพยานไม่ต้องใช้ความจำหรือความคิดอะไร
ทั้งนี้ ศิลปะการพูดว่าความในศาล ยังควรคำนึงถึงมรรยาทในการถาม เช่นควรใช้คำพูดที่มีความสุภาพเรียบร้อย ถามแต่ประเด็นที่สำคัญจะทำให้ศาลเกิดความเชื่อถือทนายผู้ซักถาม ไม่ควรขู่กรรโชกหรือใช้ภาษาที่หยาบคายดุดันกับพยาน
ท่านที่ต้องการศึกษาการพูดว่าความในศาลเพิ่มเติมท่านสามารถอ่านได้จากหนังสือตำราว่าความซักถามถามค้านของหม่อมหลวงสุพร อิศรเสนา , หนังสือวิชาว่าความและมรรยาททนายความของศาสตราจารย์มารุต บุนนาค ,คู่มือการเป็นทนายว่าความ ของอุทัย ศุภนิตย์ และ ซักความ พิสดาร ฉบับศิลปในการซักถามของรชฎ เจริญฉ่ำ





...
  
การเตรียมตัวก่อนสมัครเป็นนักการเมือง
การเตรียมตัวก่อนสมัครเป็นนักการเมือง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเตรียมความพร้อมในการสมัครรับเลือกตั้ง มีความสำคัญมาก ไม่ว่าท่านจะเป็นการไปสอบแข่งขัน คนที่มีการเตรียมความพร้อมมากกว่า เช่น อ่านหนังสือมากกว่า , หัดทำข้อสอบเก่าๆมากกว่า มักจะมีโอกาสสอบแข่งขันได้คะแนนที่ดีๆมากกว่าคนที่ไม่ได้มีการเตรียมความพร้อม การเตรียมความพร้อมในการสมัครรับเลือกตั้ง ก็เช่นเดียวกัน
สำหรับการเตรียมความพร้อม ผู้ที่จะเป็นนักการเมืองควรจะต้องมีการวางแผน จะต้องมีการเตรียมการพอสมควร อีกทั้งจะต้องมีการพัฒนาตนเองหลายๆอย่าง ดังนี้
1.เตรียมจิตใจ ผู้ที่จะสมัครเป็นนักการเมืองควรสำรวจตนเองก่อนว่า ตนเองมีความชอบหรือมีความรักในการเป็นนักการเมืองมากน้อยเพียงใด เพราะการสมัครรับเลือกตั้ง จะต้องมีการแข่งขัน มีแพ้ มีชนะ ถ้าหากเรามีความชอบ ความรัก การสมัครรับเลือกตั้งในช่วงแรกๆ เราอาจแพ้หลายครั้งติดต่อกัน แต่ถ้าหากว่าเรามีความชอบ มีความรัก ที่อยากจะเป็น เราก็จะมีแรง มีกำลังใจ ที่จะต่อสู้ ตัวอย่าง อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ เขาแพ้การเลือกตั้งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติเมื่อปี 1832 เขาแพ้การเลือกตั้งในการเป็นโฆษกปี 1838 เขาแพ้การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรในปี 1840 เขาแพ้การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 1843 จนกระทั่งได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 1846 ต่อมาเขาสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ก็ได้รับการพ่ายแพ้เมื่อปี 1856 หลังจากนั้นเขาแพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาปี 1858 และสุดท้ายเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาในปี 1860
2.เตรียมร่างกาย คนที่จะสมัครรับเลือกตั้งจะต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง เพราะก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ที่จะเป็นนักการเมืองจะต้องเดินทางไปในที่ต่างๆ เพื่อสร้างสมบารมีก่อน เช่น ไปงานศพ ไปงานแต่งงาน ไปงานขึ้นบ้านใหม่ ไปงานวัด ไปงานบุญ ฯลฯ ซึ่งบางงานผู้สมัครที่ไม่กล้าปฏิเสธเมื่อถูกเชิญให้กินเหล้า กินเบียร์ ก็ยิ่งทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมได้ง่าย ยิ่งวันหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครที่ต้องการเป็นนักการเมือง จะต้องออกไปปราศรัยวันละหลายๆแห่ง อีกทั้งจะต้องเดินไปตามบ้านเรือนต่างๆเป็นจำนวนหลายๆกิโลเมตร เพื่อขอคะแนนเสียง ฉะนั้น ถ้าหากว่าสุขภาพร่างกายไม่มีความแข็งแรง ก็จะทำให้เกิดการป่วยเจ็บและเป็นโรคต่างๆได้ง่าย
3.เตรียมเงิน ถ้าหากว่าท่านต้องการเป็นนักการเมือง ท่านจำเป็นจะต้องมีเงิน เนื่องจากการเป็นนักการเมืองต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่ก่อนหาเสียง ท่านจะต้องไปร่วมงานกิจกรรมต่างๆ ซึ่งท่านจะต้องให้เงินในการช่วยเหลือการจัดงาน เช่น งานศพ งานแต่งงาน งานบุญ งานกุศล งานเลี้ยงต่างๆ ฯลฯ
อีกทั้งในช่วงเวลาหาเสียง ถึงแม้ท่านจะไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงก็จริง แต่ท่านต้องใช้เงินสำหรับ เติมน้ำมันรถ , ทำป้ายหาเสียง, ค่าสมัคร , ค่ารูปถ่าย , ค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับคนที่มาช่วยงานท่าน เป็นต้น
4.เตรียมความรู้ ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้ง จะต้องเตรียมความรู้ในด้านต่างๆ เช่น กฎหมายการเลือกตั้ง กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่จะต้องนำเอาไปใช้ในการบริหารงานเมื่อได้รับการเลือกตั้ง ตลอดจนข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งในพื้นที่และข่าวสารระดับประเทศ
5.เตรียมคนช่วยงาน ในการสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าจะสมัครเป็นทีมหรือเป็นบุคคล ผู้สมัครควรหาคนช่วยในการทำงาน เช่น ช่วงในการหาเสียงเลือกตั้ง ตัวผู้สมัครมักจะได้รับเชิญไปหลายๆงานพร้อมกัน เช่น ไปงานแต่งงาน 3 งานตอนกลางวัน , ไปงานศพ 2 งานในตอนกลางคืน ดังนั้น หากตัวผู้สมัครไม่สามารถเดินทางไปได้ทุกงาน ในเวลาพร้อมกัน ผู้สมัครควรหาตัวแทนไปร่วมงานแทนผู้สมัคร เพื่อให้เจ้าของงานเกิดความภูมิใจที่ผู้สมัครยังคงคิดถึงกันและไม่ลืมเจ้าของงาน
6.เตรียมการประชาสัมพันธ์ตนเอง การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญมาก บางคนไปร่วมงานต่างๆมากมายแต่ขาดเรื่องการประชาสัมพันธ์จึงทำให้คนรู้จักน้อยกว่าคนที่ทำประชาสัมพันธ์ตนเองเก่งๆ เช่นไปร่วมงาน 1 งาน แต่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นนำเอารูปของผู้สมัครท่านนั้นไปตีพิมพ์ถึง 1,000 ฉบับ เมื่อคนดูหนังสือพิมพ์จึงทำให้เป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น การใช้สื่อเพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์ตนเองจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสื่อ หนังสือพิมพ์ , วารสาร ,วิทยุ , โทรทัศน์ , อินเตอร์เน็ต ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ทำให้คนรู้จักผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งมากขึ้น
7.เตรียมหาต้นสังกัดหรือหาทีมงาน เมื่อท่านจะสมัครเป็นผู้แทนราษฏร ท่านควรที่จะเตรียมตัวหาพรรคการเมืองที่ตนเองต้องการสังกัด หรือ หากว่าท่านต้องการเป็นนักการเมืองท้องถิ่น อบจ. , อบต. ,เทศบาล ท่านควรที่จะเข้าร่วมทีมหรือหากท่านต้องการเป็นผู้บริหาร ท่านก็ควรหาทีมงานที่จะต้องมาทำงานร่วมกัน นอกเสียจากท่านจะลงสมัครคนเดียว
ดังนั้น หากท่านต้องการสมัครรับเลือกตั้งเพื่อเป็นนักการเมือง การเตรียมความพร้อมในข้างต้น จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่ท่านจะละเลยไปเสียมิได้


...
  
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน หากท่านต้องการประสบความสำเร็จหรือได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การใช้เงินในการซื้อเสียง ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นปัจจัยแรกๆ ที่ส่งผลให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินในการซื้อเสียง ท่านอาจจะได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ก็ด้วยปัจจัยดังนี้
1.องค์กรของรัฐที่ดูแลการเลือกตั้ง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องต่อต้านการซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างเอาจริงเอาจัง อีกทั้งควรเพิ่มบทลงโทษให้หนักและรุนแรงมากขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้เงินในการซื้อเสียงเลือกตั้ง
2.เกิดกระแสฟีเวอร์ เช่น ในสมัยหนึ่ง มีกระแสนิยมในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนกระทั่งเกิดกระแส จำลองฟีเวอร์ ในขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ได้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมขึ้นมา แล้วก็ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่า มีประชาชนจำนวนมากได้ลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคพลังธรรม ก็เพราะด้วยความศรัทธาในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นต้น
3.ความเด่น ความดัง ความมีชื่อเสียง หลายๆคนประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง เช่น อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ นักแสดงดัง เขาแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง แต่ที่โด่งดังก็คือเรื่อง คนเหล็ก เขาชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2546 และ ปี 2549 สำหรับประเทศไทยเราก็มีคนเด่น คนดัง คนมีชื่อเสียงอีกจำนวนมากที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
4.การตื่นตัวของประชาชน เช่น หลังเหตุการณ์ วันมหาวิปโยค(14 ตุลาคม 2516) และ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 17-20 พฤษภาคม 2535 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียง แต่สามารถได้รับชัยชนะ ก็เนื่องมาจากประชาชนในพื้นที่เกิดการตื่นตัวอยากที่จะได้นักการเมืองที่มีคุณภาพมากกว่าต้องการอามิสสินจ้างใดๆ
5.ความโดดเด่นทางการพูด นักการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงก็เนื่องมาจากความสามารถในการพูด เช่น อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้มีฐานะการเงินที่ดี แต่เขามีความสามารถในการพูดการสื่อสาร , อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของชาวเยอรมัน ครอบครัวของเขามีฐานะที่ไม่สูงดีนัก เขาเคยไปเป็นกรรมกร เขาเคยเป็นจินตกรขายภาพวาดสีน้ำ แต่สุดท้ายเขาได้เป็นผู้นำของประเทศเยอรมันนี ก็ด้วยเพราะความสามารถในการพูดจูงใจคนของเขานั้นเอง ประเทศไทยของเราก็มีนักการเมืองหลายๆคนที่มีความสามารถในการพูด ซึ่งทำให้ได้รับชนะในการเลือกตั้งโดยที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
6.การสร้างผลงานและการสะสมผลงาน นักการเมืองหลายๆคน ได้รับชัยชนะโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองได้ สร้างผลงานฝากไว้ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดหลายๆคน ได้มีการพัฒนา ได้มีการปรับปรุง ได้มีการสร้างสิ่งแปลกๆใหม่ๆให้กับจังหวัดหรือในพื้นที่ ที่ตนไปอยู่ การฝากผลงานและการสะสมผลงาน ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมากๆ เมื่อเกษียณอายุแล้ว ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง
ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ประสบชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ซึ่งบุคคลที่ประสบชัยชนะไม่จำเป็นจะต้องมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทุกปัจจัย บางคนมีแค่ 1-2 ปัจจัยก็สามารถนำมาซึ่งชัยชนะในการเลือกตั้งโดยไม่ต้องใช้เงิน แต่สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือ ความรัก ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงจะต้องมีมากพอที่จะเอาชนะอำนาจเงินของนักเลือกตั้งที่ใช้เงินในการซื้อเสียงได้







...
  
คุณธรรมนักพูด
คุณธรรมนักพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คุณธรรม คือ การกระทำในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่มีความถูกต้อง คุณธรรมนักพูด จึงหมายถึง การพูดในสิ่งที่ดีงาม การพูดในเชิงสร้างสรรค์ พูดในสิ่งที่มีประโยชน์
ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงแต่ วงการพูด เท่านั้นที่จะต้องมีคุณธรรม แต่ ทุกอาชีพ ทุกวงการ จะต้องมีคุณธรรม เพราะคุณธรรมจะทำให้คนที่อยู่ในอาชีพ อยู่ในวงการ มีความเจริญก้าวหน้า แต่ตรงกันข้าม ผู้ใด อาชีพใด วงการใด ขาดซึ่งคุณธรรม จริยธรรม เสียแล้วก็จะนำมีซึ่งความเสื่อม ความถดถอย และอาจเสียชื่อเสียง เงินทอง ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ เช่น
อาชีพทนายความ สภาทนายความ จะให้ทนายความทุกคนได้เรียนและมีการทดสอบในรายวิชามารยาททนายความ
อาชีพขายประกันชีวิต ก็จะมีจรรยาบรรณของนักขายประกันชีวิต ที่จะต้องยึดถือปฏิบัติร่วมกัน
อาชีพครู อาจารย์ จะต้องมีกรอบของการปฏิบัติและประพฤติตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน นักศึกษา
อาชีพแพทย์ จะต้องมีจรรยาบรรณของแพทย์ เป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่า ทุกวงการ ทุกอาชีพ ต่างก็มีการวางกฎระเบียบในเรื่องของ จริยธรรม จรรยาบรรณ คุณธรรม มารยาท ให้คนในอาชีพ คนในวงการของตนเอง ได้ยึดถือและปฏิบัติร่วมกัน และถ้าผู้ใด ผิดจริยธรรม จรรยาบรรณ คุณธรรม มารยาท บางอาชีพ บางวงการ ถึงขั้นมีบทลงโทษถึงขั้นให้ออกจากวงการไปเลยทีเดียว
สำหรับคุณธรรมนักพูด กระผมขอแบ่งเป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ
1.ประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้คำพูด
2.ประเด็นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้คำพูด
1.ประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้คำพูด
1.1.ไม่ควรพูดปด พูดโกหก ซึ่งในทางพุทธศาสนาถือว่าผิดศิล 5 เลยทีเดียว อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวไว้ว่า “ ท่านอาจโกหกคนทุกคนได้บางเวลา ท่านอาจโกหกคนทุกคนได้บางเวลา แต่ท่านไม่สามารถโกหกคนทุกคนตลอดเวลาได้” ฉะนั้น นักพูดที่มีคุณธรรม ไม่ควรพูดปด พูดโกหก หลอกลวง เพราะถ้าเราพูดโกหกบ่อยๆ คนที่เขารู้ เขาก็จะไม่เคารพนับถือศรัทธาเรา
1.2.ไม่ควรพูดให้คนทะเลาะกันหรือพูดให้เกิดการแตกความสามัคคี เราต้องยอมรับว่า บ้านเมืองของเราในปัจจุบันและในยุคอดีต คำพูดมีส่วนเป็นอันมากที่ทำให้เกิดความสามัคคี เช่น แกนนำทางการเมืองมักใช้คำพูดไปทางที่ทำลายฝ่ายตรงกันข้าม พูดให้คนฝ่ายของตนเองเกลียดชังอีกฝ่ายหนึ่ง
1.3.ควรรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง เช่น สัญญากับใครแล้ว ควรที่จะปฏิบัติตามคำพูดของตนเอง สัญญาว่าจะไปพูดให้ก็ต้องไปตามนัด ไม่ควรขาดนัด หากมีธุรกิจ ติดงานสำคัญ ก็ควรโทรศัพท์ไปขอโทษ เพื่อผู้จัดจะได้จัดนักพูดท่านอื่นแทนตนเองได้
สำหรับคุณธรรมนักพูด ในทางพุทธศาสนายังได้กล่าวถึงเรื่องของการใช้คำพูด ซึ่งนักพูดท่านใดยึดถือก็ถือได้ว่า นักพูดท่านนั้นมีคุณธรรมที่ดีตามหลักพุทธศาสนา คือ
- ปิยวาจา ซึ่งอยู่ใน สังคหวัตถุ 4 ปิยวาจา หมายถึง การใช้คำพูดด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ไพเราะ อ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดก้าวร้าว หยาบคาย พูดให้ถูกต้องตามกาลเวลา กาลเทศะ ซึ่งมีหลักที่ยึดถือดังนี้ เว้นจากการพูดเท็จ , เว้นจากการพูดส่อเสียด ,เว้นจากการพูดคำหยาบและเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
- มุสาวาท คำว่า มุสา มีความหมายถึง เท็จ หรือเจตนาที่จะใช้คำพูดเท็จ การใช้คำพูดประเภท มุสาวาท จะทำให้เกิดวาจาที่โกง วาจาที่หลอกลวง เจตนาจะทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์
- ปิสุณวาจา คือ การพูดออกไปเพื่อเจตนาให้คนอื่นเกิดจิตที่เศร้าหมอง ไม่สบายใจ พูดให้ร้ายลับหลังผู้อื่น พูดแล้วมุ่งทำให้เกิดการแตกแยกขึ้น



2.ประเด็นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้คำพูด
2.1.ต้องตรงต่อเวลา เวลานัด 9 โมงเช้า ก็ต้องไปตามนัด ถ้าจะให้ดีก็ควรไปก่อนเพียงเล็กน้อย เพื่อไปเตรียมตัวและเพื่อให้เจ้าภาพหรือผู้จัดเกิดความสบายใจ อีกทั้งเมื่อผู้จัดให้พูด 9 โมงเช้า ถึง เที่ยง(12 นาฬิกา) ก็ควรเลิกตามกำหนด ไม่ควร เลิกก่อนหรือเลิกเกินเวลามากจนเกินไป
2.2.มารยาทในการแต่งกาย นักพูดที่ดีมีคุณธรรม ควรแต่งกายให้เกียรติผู้ฟังและผู้จัด การแต่งกายที่ดีของนักพูดก็คือ ควรแต่งกายเสมอผู้ฟังหรือแต่งกายเหนือกว่าผู้ฟังหนึ่งขั้น แต่ไม่ควรแต่งกายให้ต่ำกว่าผู้ฟัง เช่น ผู้ฟังสวมเสื้อยืดคอเชิต กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ แต่ก็ควรแต่งตัวให้เหมือนผู้ฟังหรืออาจจะดีกว่าผู้ฟังสักเล็กน้อย เราอาจจะใส่เสื้อสูททับด้านนอก แต่ไม่ควรแต่งกายต่ำกว่าผู้ฟัง เช่นใส่เสื้อยืดคอกลม กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เป็นต้น
2.3.ไม่ควรเห็นแก่เงิน นักพูดในปัจจุบันมีความแตกต่างกับนักพูดในอดีต คือ ในอดีตการพูดมักจะไม่ได้สร้างรายได้ให้แก่ผู้พูดมากนัก แต่ในยุคปัจจุบัน การพูดเป็นเงินเป็นทอง นักพูดระดับแนวหน้าของประเทศ พูดครั้งหนึ่งหลักหมื่นหลักแสนกันเลยทีเดียว ฉะนั้น นักพูดที่ไม่มีคุณธรรมมักเห็นแก่รายได้ เมื่อรับงานแรกตกลงว่าจะไปพูดให้แล้ว โดยผู้จัดมีงบประมาณน้อยได้ค่าพูดชั่วโมงละ 500 บาท แต่พอต่อมามีคนมาติดต่อขอไปพูดให้โดยเสนอรายได้ 30,000 บาท นักพูดบางคนเห็นแก่เงิน จึงโทรศัพท์ไปปฏิเสธงานแรกที่รับกันเลยทีเดียว
2.4.ต้องพูดให้ตรงกับหัวข้อเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้พูด นักพูดบางท่าน เมื่อเขาเชิญไปให้พูดหัวข้อหนึ่ง แต่ตอนพูดกับไปพูดอีกหัวข้อหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงกับหัวข้อที่ผู้จัดมอบหมายให้ อย่างนี้ก็ถือว่าไม่รับผิดชอบต่อการพูด เพราะผู้ฟังส่วนใหญ่มักคาดหวังกับหัวข้อที่ผู้จัดตั้งไว้ จึงยอมเสียเวลา ยอมเสียเงินไปนั่งฟัง ฉะนั้นเมื่อได้รับมอบหมายให้พูด ก็ควรพูดให้ตรงกับหัวข้อที่ได้รับมอบหมายให้พูด
2.5.ต้องเตรียมการพูดมาเป็นอย่างดี นักพูดต้องรับผิดชอบกับงานพูดของตนเอง เราจะเห็นได้ว่า นักพูดหลายๆคน ตอนเข้าวงการใหม่ๆ มีการเตรียมการพูดอย่างดี แต่พอพูดไปนานๆ เริ่มที่จะไม่เตรียมการพูดแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้ว นักพูดที่มีคุณธรรมจะต้องมีการเตรียมตัว ทำการบ้าน สำหรับงานพูดของตน งานถึงจะออกมาดีและจะเกิดข้อผิดพลาดน้อยลง
ฉะนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการความก้าวหน้าในวิชาชีพทางด้านการพูด คุณธรรมนักพูด จึงเป็นสิ่งที่ท่านควรประพฤติปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้าในอาชีพทางด้านการพูด เพราะถ้าท่านขาดซึ่งคุณธรรมนักพูดเสียแล้ว ก็จะพาท่านไปสู่หนทางที่เสื่อมลง



...
  
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญต่อการทำการตลาด เพราะการประชาสัมพันธ์ ทำให้เกิดความเข้าใจ ทำให้เกิดการสร้างการยอมรับ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดการชื่มชม ยินดี ทำให้เกิดความร่วมมือ สร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียง แก่บริษัท แก่องค์กร แก่สินค้า

ในความคิดเห็นส่วนตัวของกระผม ถ้าหากบริษัท ห้างร้าน องค์กรใด มีเงินทุนที่จำกัด ถ้าให้เลือกระหว่าง การทำโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ กระผมจะเลือกทำการประชาสัมพันธ์ก่อน เพราะการประชาสัมพันธ์ จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และถ้าหากจะเทียบผลตอบแทนแล้ว ประชาสัมพันธ์จะได้รับผลตอบแทนที่มีความคุ้มค่ามากกว่าการโฆษณา

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นคนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ก็โดยการเป็นนักประชาสัมพันธ์ นักการตลาด ให้กับบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ จนได้รับฉายาว่าเป็นนักสร้างภาพชั้นเซียนของบริษัทโตโยต้า จนกระทั่งผู้บริหารของโตโยต้าที่ญี่ปุ่น ให้เขากระโดดจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายไปเป็นกรรมการบริหารโดยไม่ต้องเป็น กรรมการสมทบก่อน โดยการเป็นคนเก่งงานด้านการประชาสัมพันธ์และงานด้านการตลาด ต่อมา เขาได้ เป็น สส.พรรคเพื่อไทย หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท.จำกัด

นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของฉายา Image maker ซึ่งเขาก็เอาหลักการประชาสัมพันธ์และหลักการตลาด มาใช้กับบุคคลโดยการทำธุรกิจปั้นดารา ขึ้นมา เพราะเขาคิดว่า ขนาดรถหรือสินค้าต่างๆ สบู่ ยาสีฟัน รองเท้า เสื้อผ้า กางเกง ยังปั้นได้ ทำไม ดาราจะปั้นไม่ได้ ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปั้นดารา ดาราที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เขาปั้น เช่น วิลลี แมคอินทอช ,จอห์นนี่ แอนโฟเน่ , ดอม เหตระกูล , ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นต้น





ทำไมต้องมีการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด ก็สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้

1. ค่าใช้จ่ายในการใช้สื่อโฆษณามีราคาสูงขึ้น ในทางกลับกัน การประชาสัมพันธ์กลับเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อน้อยกว่า และส่วนใหญ่จะเป็นการขอความอนุเคราะห์ ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนมากกว่า

2. สื่อต่างๆในยุคปัจจุบัน มีหลายชนิด หลายประเภทมากขึ้นกว่าในอดีต จึงทำให้การใช้สื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์ จำเป็นจะต้องมีการวางแผนใช้สื่อที่แยกย่อยมากขึ้น และควรใช้สื่อให้ครบทุกประเภทเพื่อให้กลุ่มลูกค้าและประชาชนได้เห็น ข่าวสารที่เราต้องการสื่อได้มากที่สุด สรุปคือต้องใช้เครื่องมือสื่อสารแบบผสมผสานกัน

3.ทัศนคติ ความต้องการ รสนิยม ความชอบ กระแส ของกลุ่มเป้าหมายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่ง และมีการเปลี่ยนแปลงไวขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา

การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาดที่ดี เราอาจจะมีการแบ่งกลยุทธ์หรือวางแผนการประชาสัมพันธ์ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

1. แบบรุก เป็นการประชาสัมพันธ์แบบสร้างสรรค์ คือมุ่งสร้างสรรค์หาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆให้กับ บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเองมากกว่า ที่จะรอคอยให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วถึงจะมาแก้ไข ในภาวะปกติหรือภาวะที่มีการแข่งขันอย่างในปัจจุบัน การประชาสัมพันธ์แบบรุก จึงมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอันมาก

2. แบบรับ เป็นการประชาสัมพันธ์ที่มุ่งแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับ องค์กร บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเอง ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้น มักที่จะทำลายชื่อเสียง ภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าหรือบริษัท แนวทางในการประชาสัมพันธ์แบบตั้งรับ ก็คือ การเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีความถูกต้อง ชัดเจน เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา และ มีการตั้งทีมงานคอยควบคุมข่าวลือ ข่าวสารที่เป็นเท็จ มีการตั้งทีมงานการประชาสัมพันธ์เพื่อที่จะจัดการกับภาวะวิกฤตหรือวิกฤตต่างๆที่จะเกิดขึ้น เป็นต้น

ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำการตลาดให้กับสินค้า บริการ ในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลักในการทำการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ เราอาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยดังนี้

1.ต้องใช้มืออาชีพในการวางแผนการทำประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ที่ดีจะต้องมีนักวางแผนมืออาชีพช่วย ในการวางแผน วางกลุ่มเป้าหมาย วางแนวทางในการทำงาน วางเนื้อหา วางคนในการนำเสนอ วางจังหวะในการรุกและรับ เป็นอย่างดี

2.ต้องเชื่อในพลังแห่งการสื่อสาร มีนักวิชาการเคยกล่าวไว้ว่า “ ใครมีสื่อในมือคนนั้นมีอำนาจ ” หรือ “ สื่อเป็นที่มาของอำนาจ” เพราะหากใคร พูดเก่ง พูดได้ถูกจังหวะ เวลา และรู้ว่าควรพูดผ่านช่องทางไหน เขาย่อมกำชัยชนะ รวมไปถึงงานด้านการตลาดด้วย

3.ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ เช่น ต้องรู้ว่า ลูกค้ากลุ่มใด วัยใด อายุเท่าไร คือลูกค้าของเรา สินค้าใดมีความเหมาะสมกับ คนเพศใด วัยใด อายุเท่าไร เป็นต้น

4.ต้องมีงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ เงินคือปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลให้การประชาสัมพันธ์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว หรือมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน บริษัท ห้างร้าน จึงต้องจัดสรรเงินในการทำการประชาสัมพันธ์ของสินค้าของตนเอง

5.ต้องมีเครือข่ายสนับสนุน การทำงานประชาสัมพันธ์ให้ประสบความสำเร็จ การหาเครือข่ายต่างๆช่วยเหลือ มีความจำเป็น อย่างมาก เช่น มีสื่อมวลชนช่วย , มีดาราหรือมีบุคคลที่มีชื่อเสียงช่วย , มีนักวิชาการ รวมไปถึงมีมวลชนให้การช่วยเหลือ เป็นต้น

6.ต้องสร้างความถี่ในลูกค้าได้เห็น สินค้า หรือ เจ้าของสินค้า ต้องขยันออกสื่อ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำและสมควรทำ การเสนอหน้าต่อสื่อจะทำให้ลูกค้าเกิดความคุ้นเคย และรู้จักสินค้าของเรามากขึ้น

7.ต้องมีการจัดกิจกรรมพิเศษหรือมีการจัดเหตุการณ์พิเศษบ้าง เช่น การจัดงานแสดงต่างๆ งานแสดงการค้า การแสดงโชว์ การแสดงศิลปะ การแสดงโชว์รถ เป็นต้น

8.ต้องมีการประกาศ เผยแพร่ข้อมูลทางสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ นิตยสาร เอกสารแจกลูกค้า วิทยุ สื่อสมัยใหม่โดยผ่านช่องทางทางอินเตอร์เน็ต

9.ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง โดยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมปลูกป่า, กิจกรรมบริจาคหนังสือ , กิจกรรมพัฒนาชนบท ,กิจกรรมสร้างบ้านให้คนยากจน,กิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นต้น

ฉะนั้น การประชาสัมพันธ์จึงมีความสำคัญต่อการทำงานด้านการตลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าทำการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ก็จะทำให้ บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเอง ได้รับการยอมรับ ได้รับการสนับสนุน ได้รับผลประโยชน์ จากกลุ่มลูกค้าและประชาชน ตรงกันข้าม ถ้าหาก บริษัทใด ห้างร้านใด สินค้าใด ไม่มีการทำการตลาดผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ บริษัทนั้น ห้างร้านนั้น สินค้านั้น ก็จะขาดซึ่งการยอมรับ การสนับสนุน จากกลุ่มของลูกค้าและประชาชน ...
  
จงพูดอย่างกระตือรือร้น
จงพูดอย่างกระตือรือร้น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากว่า พวกเราได้มีโอกาสไปนั่งฟัง การพูดของนักพูดหรือผู้พูดแต่ละท่าน เวลาเราไปนั่งฟัง เราจะมีความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ เวลาเราฟังนักพูดหรือผู้พูด บางท่านพูด เราจะรู้สึกง่วงนอน ไม่อยากฟัง น่าเบื่อหน่าย ไม่สดชื่น แต่ในทางตรงกันข้าม เราไปนั่งฟัง นักพูดหรือผู้พูด บางท่านพูด เราจะรู้สึก อยากฟัง รู้สึกสดชื่น รู้สึกสนุก รู้สึกตื่นเต้น กระฉับกระเฉง ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ
นักพูดหรือผู้พูด หลายๆท่าน ลืมใส่ ความกระตือรือร้น เข้าไปในการพูด เพราะความกระตือรือร้น จะทำให้ผู้ฟังตื่นอยู่ตลอดเวลา แล้วเจ้าความกระตือรือร้น ดีอย่างไร สำหรับคนที่มีความกระตือรือร้นนั้น จะมีลักษณะดังนี้
1.มีความกล้าที่จะแสดงออก
2.มีความอยากได้มีความต้องการที่สูง
3.มีความเพียรมีความพยายาม มุ่งมั่น
4.มีความอดทน ไม่ยอมแพ้อุปสรรคอะไรอย่างง่ายๆ
5.มีความสดชื่น แจ่มใส โดยแสดงออกผ่านทางภาษากาย
แล้วนักพูดหรือผู้พูดที่พูดอย่างกระตือรือร้น เขาจะมีวิธีหรือมีลักษณะเช่นไร
1.อยากที่จะพูด เรื่องที่จะพูดอย่างแท้จริง นักพูดหรือผู้พูด มีความอยากพูดเรื่องนั้นอย่างแท้จริง อยากพูดด้วยหัวใจ ผู้ฟังจะเกิดความกระตือรือร้น มากกว่า นักพูดหรือผู้พูดที่พูดในหัวข้อที่ได้รับมอบหมายให้พูด เช่น บางคนถูกกดขี่ ข่มเหง ถูกเอาเปรียบ ถูกรังแก มาเป็นเวลา 20 ปี และต้องการที่จะระบายสิ่งที่อยู่ภายในใจ ว่าตนเองมีความรู้สึกอย่างไร เขาก็จะพูดด้วยหัวใจ เขาจะพูดอย่างกระตือรือร้น เนื่องจาก เขาอยากที่จะพูด อยากที่จะระบายนั้นเอง ตรงกันข้ามกับ นักพูดหรือผู้พูด อีกคนหนึ่ง ได้รับมอบหมายให้พูดเรื่องของการถูกกดขี่ ถูกเอาเปรียบ แต่ตนเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากมายนักกับเรื่องดังกล่าว เขาจึงพูดไปตามหน้าที่ ผู้ฟังก็ไม่อยากที่จะฟัง เพราะผู้พูดพูดตามความเป็นจริง ตามหลักการ ไม่มีประสบการณ์และไม่มีความปรารถนาที่จะพูดเรื่องนั้นอย่างแท้จริง
2.กิริยา อาการ การใช้ท่าทาง แสดงออกมาอย่างแรงกล้า หากพวกเรามีโอกาส เราลองไปดูการพูดของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โลก หรือ นักพูดคนสำคัญๆในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่า เขาจะแสดง กิริยา อาการ การใช้ท่าทาง ประกอบการพูด บางคนแสดงออกมาอย่างรุนแรง ดุเดือด เผ็ดร้อน เช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำของประเทศเยอรมันนี เขาใช้มือประกอบการพูดอยู่ตลอดเวลา บางครั้ง เขาพูดอย่างมีอารมณ์ เขาถึงกับบีบแก้วน้ำแตกในการพูดกับผู้ฟังและผู้คนเรือนแสน(แต่การพูดในครั้งนั้น เขาได้ใส่ถุงมือ)
3.น้ำเสียง ในการพูด น้ำเสียงมีความสำคัญมากในการทำให้ผู้ฟังเกิดความกระตือรือร้น น้ำเสียงหรือเสียงต้องหลากหลาย น้ำเสียงหรือเสียงต้อง ถ่ายทอดอารมณ์ของผู้พูดออกไปได้ ในบางครั้งเราก็ควรพูดให้ดังมากๆ ถ้าเราต้องการให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์โกรธแค้น เราลองสังเกตเวลาเราโหโม เราจะพูดออกมาดังมากๆ จึงทำให้คนฟังรับรู้ว่าเรามีอารมณ์ที่โกรธ เช่นกัน การพูดในเวทีการเมือง นักพูดทางการเมือง มักจะพูดเสียงดัง พูดด้วยอารมณ์โกรธแค้น ผู้ฟังก็จะเกิดอารมณ์โกรธแค้นตามไปกับผู้พูดด้วย
4.นักพูดหรือผู้พูด มีความสำคัญมากที่สุด ในการพูดแต่ละครั้ง เราควรกำหนดท่าทีของผู้ฟัง โดยผ่านท่าทีของผู้พูด เช่น ถ้าท่านเซื่องซึมในเวลาพูด ผู้ฟังก็จะเกิดความเซื่องซึม , ถ้าท่านมีอารมณ์ที่สนุกในเวลาพูด ผู้ฟังก็จะรับรู้ถึงอารมณ์ที่สนุก และเมื่อท่านพูดอย่างกระตือรือร้น ผู้ฟังก็จะเกิดอาการกระตือรือร้นไปกับท่านด้วย แล้วมีคำถามตามมาว่า แล้วจะทำอย่างไรให้ผู้พูดเกิดความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา มีคำแนะนำที่ดีที่สุดของนักพูดในอดีตท่านหนึ่ง เคยให้คำแนะนำว่า “ บอกให้เพื่อนๆหรือคนที่อยู่ข้างๆเราเวลาเราพูดให้ใช้ไม้แหลมๆ กระทุ้งเราเป็นระยะ เราจะได้ตื่นตลอดเวลา ”
...
  
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
ดร. สุทธิชัยปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
www.drsuthichai.com
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึงผู้ประกาศ ผู้โฆษณา เช่นโฆษณาสถานีวิทยุ ผู้แถลงข่าว แทนเช่นโฆษกพรรคการเมือง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึง ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา หรือผู้แถลงข่าวแทน
ดังนั้น ความหมายของโฆษก โดยรวมก็คือ ผู้เป็นปากเป็นเสียงแทน ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา ผู้ที่ทําหน้าที่ ส่งมอบข่าวสาร และข้อมูลต่างๆ ให้แก่สาธารณชน หรือประชาชนได้รับรู้
คุณลักษณะของการเป็นโฆษกที่ดีคือ
1 มีข้อมูลมีข่าวสารมีความรู้ มีความเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองพูด
2 มีความน่าไว้วางใจมีความน่าเชื่อถือ
3 เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นที่ชื่นชอบของสาธารณชนหรือสื่อมวลชน
4 มีความสามารถทางด้านการพูดการสื่อสาร
โฆษกควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดีดังนี้
1 การใช้คำ อย่างถูกต้อง เหมาะสม
2 การใช้น้ำเสียง การใช้เสียง ประกอบ การพูดให้ถูกต้องกับสถานการณ์ นั้นๆ
3 การใช้อวัจนภาษา การใช้ท่าทางประกอบการพูด อย่างสอดคล้องเหมาะสม
จากเนื้อเพลง ผู้ใหญ่ลี
พศ 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ทางการเขาสั่งมาว่า
ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดเลี้ยงสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรนั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด
สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา
หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา
จากเนื้อเพลงข้างต้น จะสะท้อนให้เห็นถึงการสื่อสารระหว่างข้าราชการหรือทางการกับชาวบ้าน ที่มีความผิดพลาด มีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน เราสามารถนำมาวิเคราะห์โดยผ่าน กระบวนการสื่อสาร ว่า เกิดความผิดพลาดตรงไหน อย่างไร
กระบวนการสื่อสาร มีดังนี้
1 ผู้ส่งสาร 2 สาร 3 ช่องทาง 4 ผู้รับสาร
1 ผู้ส่งสาร คือ ข้าราชการ ผู้รับนโยบาย จากรัฐบาล มาส่งต่อให้กับผู้นำชุมชน
2 สาร คือ การส่งเสริมให้ชาวนาและเกษตรกร เลี้ยงเป็ดและ สุกร(หมู)
3 ช่องทาง คือ การประชุม การใช้ไมโครโฟนพูดในที่ประชุม
4 ผู้รับสาร คือ ผู้ใหญ่ลี ที่เข้าใจผิด คิดว่า คำว่าสุกร หมายถึง หมาน้อย
จากกรณีศึกษาข้างนี้ เราจะแก้ไขอย่างไร...ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดหรือไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น...
ข้อที่ 1 ผู้ส่งสาร ควรเปิดโอกาสให้มีการซักถาม ปัญหา หรือความไม่เข้าใจต่างๆ จากผู้รับสาร
ข้อที่ 2 สาร ผู้ส่งสารได้ใช้ภาษาราชการ ซึ่งมาจากส่วนกลาง เพราะในยุคนั้นชาวบ้านหรือผู้นำท้องถิ่นมักจะ คุ้นเคยกับภาษาท้องถิ่น(หมู)มากกว่าภาษาจากส่วนกลาง(สุกร) เพื่อลดความผิดพลาด ควรใช้ภาษาท้องถิ่น หรือภาษาที่ชาวบ้านใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ สื่อสารจะเกิด ประสิทธิภาพ มากขึ้น
ข้อ 3 ผู้รับสาร คือผู้ใหญ่ลี เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ หรือข้อสงสัย ก็ควรสอบถาม ข้าราชการ หรือทางการ ที่ส่งสาร หรือข้อมูล
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.