หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  การตรึงอารมณ์ผู้ฟัง
  -  บัญญัติ 7 ประการ ทะยานสู่นักพูด
  -  พูดเก่ง...ด้วยปัญญา...
  -  คำคม เกี่ยวกับการพูด
  -  ถ้าอยากเป็นนักพูด...เชิญทางนี้....
  -  การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
  -  นักพูดผู้ยิ่งใหญ่
  -  การเตรียมเพื่อพูด
  -  อัตลักษณ์ของนักพูด...มีผลต่อการพูดจูงใจคน
  -  คุณสมบัติของนักพูดที่ดี
  -  จะพูดให้ดี...ต้องมีครู...
  -  พูดเก่ง...รวยก่อน...
  -  อยากเป็นนักพูด
  -  ลีลานักพูด
  -  ปาก
  -  การแต่งตัวกับนักพูด
  -  พูดเพื่อให้ได้
  -  นักพูดชั้นนำ
  -  พูดดีเป็นศรีแก่งาน
  -  องค์ประกอบของการพูด
  -  ถ้อยคำการพูด
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  บุคลิกภาพของนักพูด
  -  ควรพูดให้ได้ทั้งสาระและความบันเทิง
  -  ทำไมการพูดถึงล้มเหลว
  -  ผู้ฟังอันตราย
  -  ครบเครื่องนักพูด
  -  พูดเป็นเขียนเป็นอย่างนักพูดนักเขียน
  -  เส้นทางสู่วิทยากร
  -  การพูดกับการเป็นผู้นำ
  -  ศิลปะการพูดในงานบริการ
  -  ศิลปะการพูดแบบกะทันหัน
  -  การเปิดฉากการพูด
  -  การดำเนินเรื่องในการพูด
  -  การปิดฉากการพูด
  -  การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
  -  Actions Speak Lound Than Words (ท่าทางนั้นดังกว่าคำพูด)
  -  มาเป็นวิทยากรกันเถอะ
  -  วิทยากรสมัยใหม่
  -  วิธีการนำเสนอ
  -  เทคนิคการเป็นวิทยากรมืออาชีพ
  -  การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  สู่วิทยากรมืออาชีพ
  -  พูดโทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
  -  ศิลปะการพูดในที่ประชุม
  -  การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
  -  วัตถุดิบสำหรับการพูด
  -  การใช้สื่อต่างๆประกอบการพูด
  -  การออกเสียงและการพัฒนาพลังเสียงในการพูด
  -  วิธีการพูดชนะใจคน
  -  การสื่อสารโดยการพูด...ภายในองค์กร
  -  บริหารเวลา กับ เป้าหมาย
  -  การพูดเพื่อให้สัมภาษณ์
  -  การพูดหาเสียงเลือกตั้ง
  -  การอ้างวาทะคนดังในการพูด
  -  การพูดทางการเมือง
  -  การสร้างเสน่ห์ในการพูด
  -  ก้าวสู่นักพูดมืออาชีพ
  -  วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
  -  วิทยากรกับการเป็นวิทยากร
  -  การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
  -  วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
  -  การเลือกวิทยากร
  -  ประโยชน์ของการฝึกอบรม
  -  การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง(ศิลปะการโต้วาที)
  -  ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม
  -  การพูดในอาชีพสื่อมวลชน
  -  การสร้างอารมณ์ขันในการพูด
  -  พูดอย่างไรให้ขายได้
  -  เห็นไมค์แล้วไข้ขึ้น
  -  วิธีการฝึกพูดของ ดิสราเอลี
  -  วิธีฝึกพูดของ เดล คาร์เนกี
  -  ศิลปะการโต้วาที
  -  ศิลปะการพูดว่าความในศาล
  -  การเตรียมตัวก่อนสมัครเป็นนักการเมือง
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  คุณธรรมนักพูด
  -  การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
  -  จงพูดอย่างกระตือรือร้น
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  การเขียนสคิปในการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  การใช้โน๊ตย่อในการพูด
  -  การพูดโน้มน้าวใจ​
  -  ภาษากายไม่เคยโกหก
  -  สอนอย่างไรให้ง่ายและสนุก
  -  การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
  -  เคล็ดลับในการเป็นนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
  -  ภาษากายกับความสำเร็จ
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
วิทยากรกับการเป็นวิทยากร
วิทยากรกับการเป็นวิทยากร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
วิทยากร หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวการสำคัญ ที่จะทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิดความรู้ความเข้าใจ เกิดทักษะ เกิดทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเรื่องที่อบรม จนกระทั่งผู้เข้ารับการอบรมเกิดการเรียนรู้และสามารถจุดประกายความคิด เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ หรือพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ของเรื่องหรือวิชานั้นๆ ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว วิทยากรจึงมีบทบาทที่สำคัญหลายประการเช่นอาจเป็นทั้งผู้บรรยาย ผู้สอน ผู้ฝึก พี่เลี้ยง ผู้กำกับการแสดง ตลอดจนผู้ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ เป็นต้น( สุวิทย์ มูลคำ,2543:24)
วิทยากร(Trainer) หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งมีความรู้ ความสามารถตลอดจนการพูด หรืออภิปรายและใช้เทคนิคต่างๆ ในเรื่องนั้นๆ อันจะทำให้ผู้รับการฝึกอบรมได้เกิดความรู้(Knowledge) ความเข้าใจ(Understanding) ทัศนคติ(Attitude) ความชำนาญ(Skill) จนสามารถทำให้ผู้รับการฝึกอบรมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ(นิพนธ์ ไทยพานิช.2535:251 อ้างถึงใน อ้อม ประนอม,2552:73)
วิทยากร หมายถึง คนที่จะต้องทำให้ผู้เข้ารับการอบรมได้มีความรู้ และเข้าใจในเนื้อหาที่เข้ารับการฝึกอบรม จนเกิดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะ ตลอดจนเกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ดีในการทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น(ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์,2555:10)
สำหรับผมแล้ว วิทยากรน่าจะหมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอดองค์ความรู้โดยอาศัยเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม เกิดความรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ เกิดการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีขึ้นตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการในการจัดการฝึกอบรม
คุณสมบัติของวิทยากร
ในการจัดการฝึกอบรมที่ดีมีองค์ประกอบหลายๆอย่างที่ทำให้การฝึกอบรมประสบความสำเร็จ เช่น ห้องฝึกอบรม ระบบเสียง หลักสูตร เนื้อหา อาหาร การจัดรูปแบบโต๊ะเก้าอี้ ขนาดของห้องฝึกอบรม แต่ความจริงแล้วองค์ประกอบที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆก็คือตัวของวิทยากร ฉะนั้นวิทยากรจึงควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.ต้องมีความรู้ วิทยากรที่ดีต้องมีองค์ความรู้เนื้อหา ทั้งลึกและกว้าง ในหัวข้อที่ตนเองบรรยายหรือให้ความรู้แก่ผู้ที่เข้ารับการอบรม วิทยากรต้องรู้จริง รู้ละเอียด อีกทั้งต้องตอบคำถามผู้เข้ารับการอบรมได้อย่างมีหลักฐาน มีเหตุผล อ้างอิง อีกด้วย
2.ต้องมีบุคลิกภาพที่ดี วิทยากรต้องมีบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ น่าศรัทธา มีความเป็นกันเอง รู้จักการวางตัว ซึ่งบุคลิกภาพนี้ตัวของวิทยากรต้องมีบุคลิกภาพที่ดีทั้งภายใน เช่น ความกระตือรือร้น ความเชื่อมั่นในตนเอง มีความมั่นคงทางด้านอารมณ์ ไหวพริบปฏิภาณ ฯลฯ และบุคลิกภาพภายนอก เช่น การแต่งตัว ท่าทาง การเดิน การยิ้ม ภาษากาย รูปร่างหน้าตา ฯลฯ
3.ต้องมีความสามารถหลายๆด้าน เช่น สามารถนำกิจกรรมเพื่อการศึกษาได้ มีความสามารถในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการนำเสนอ มีความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นต้น
4.ต้องมีประสบการณ์ วิทยากรที่ดีเมื่อไปบรรยายในหัวข้อใด ตัววิทยากรควรมีประสบการณ์ตรงในด้านนั้นด้วยถึงจะดี เพราะเวลาตอบคำถามหรือเวลาบรรยาย ก็สามารถนำเอาประสบการณ์จริงมาบอกเล่าได้ ไม่ใช่อ่านแต่ในหนังสือแล้วนำมาเล่า เพราะประสบการณ์ที่ตัววิทยากรได้สัมผัสของจริงจะทำให้ทั้งตัวของวิทยากรและผู้เข้ารับการอบรมเห็นภาพและเข้าใจถึงปัญหานั้นๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
5.ต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา การเตรียมความพร้อมมีความสำคัญมาก ดังเราจะเห็นได้ว่า นักมวยที่ต้องชกเพื่อชิงแชมป์โลก เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนัก บางคนใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อที่จะขึ้นไปชกชิงแชมป์โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งการเตรียมพร้อมนี้ ควรรวมไปถึง การอ่าน การฟัง การเรียนรู้ การศึกษา สิ่งใหม่ๆเพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการบรรยาย
6.ต้องมีใจรัก วิทยากรเป็นอาชีพ อาชีพหนึ่งที่สามารถทำเป็นอาชีพ หาเลี้ยงตนเอง และครอบครัวได้ อีกทั้งวิทยากรมืออาชีพหลายๆท่าน สามารถสร้างความร่ำรวยจากอาชีพนี้ได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ การประกอบอาชีพใดๆ สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ ผู้ประกอบอาชีพนั้นๆจะต้องมีใจรักในอาชีพของตนเองเสียก่อน เขาจึงจะประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะหากว่าเรามีใจรักในอาชีพวิทยากร เราจะมีความอดทน เราจะมีความตั้งใจ เราจะมีความพยายามและเราจะไม่เลิกล้มก่อนเวลาที่จะประสบความสำเร็จ ผู้เขียนก็เช่นกัน ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุกๆเวที ยิ่งช่วงเป็นวิทยากรใหม่ๆ ต้องประสบกับความล้มเหลวอยู่หลายเวที หากว่ามัวแต่ท้อแท้ เลิกล้ม ไม่กล้า บัดนี้ก็คงไม่ได้ประกอบอาชีพวิทยากร
7.ต้องมีจรรยาบรรณของวิทยากร อาชีพทุกๆอาชีพควรมีจรรยาบรรณ อาชีพวิทยากรก็เช่นกัน ควรมีจรรยาบรรณ เพราะการมีจรรยาบรรณจะทำให้เป็นที่เคารพ เป็นที่น่าเชื่อถือ ศรัทธา แก่ผู้พบเห็น สำหรับจรรยาบรรณของวิทยากรไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจนดังเช่นกฎหมาย แต่ก็ควรยึดหลักของความถูกต้อง ความมีศิลธรรม ความไม่เอาเปรียบ เช่น เมื่อรับงานบรรยายงานฝึกอบรมแล้วก็ควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ควรไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ , เมื่อรับงานบรรยายงานแรกแล้ว ก็ไม่ควรรับงานที่สองในช่วงวันเวลาเดียวกัน แต่มีวิทยากรบางท่านเมื่อเห็นว่างานที่สองได้รับเงินเป็นจำนวนมากกว่างานแรก จึงโทรศัพท์ไปขอยกเลิกงานแรก เช่นนี้ก็ไม่ควรปฏิบัติ , วิทยากรที่ดีไม่ควรกล่าวโจมตีคู่แข่งหรือวิทยากรด้วยกัน เป็นต้น

...
  
การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ตอนก่อนกระผมได้เขียนเรื่องคุณสมบัติของวิทยากรในข้อที่ 5.ได้กล่าวไว้ว่า วิทยากรต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้กระผมอยากที่จะขยายเนื้อหาในส่วนนี้ กล่าวคือการเตรียมความพร้อมของวิทยากรที่ดี จะต้องมีการเตรียมตัวดังนี้
1.ต้องศึกษาหาความรู้ หาประสบการณ์อยู่เสมอ หมั่นอ่านหนังสือทุกวัน ไปฟังวิชาการ ไปเข้าร่วมอบรมสัมมนา ไปสนทนากับผู้ที่มีความรู้มากกว่า เพื่อที่จะได้เพิ่มพูนองค์ความรู้ของตนเองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเมื่อได้รับความรู้แล้ว ก็ควรลองหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง คือลองนำเอาความรู้นั้นๆไปใช้เพื่อที่จะทดสอบว่า เรานำไปใช้แล้วได้ผลเป็นเช่นไร
2.ต้องเก็บสะสม จดจำ ข้อมูลต่างๆ วิทยากรที่ดีเมื่อไปอบรม หรือ อ่านเจอสิ่งใหม่ๆ ก็ควรเก็บสะสมข้อมูลเอาไว้ หมั่นจดบันทึก ตัดเก็บข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ โดยจัดระบบการเก็บ มีการจัดข้อมูลเข้าแฟ้มให้เป็นหมวดหมู่ เช่น หมวดเกม หมวดนิทาน หมวดกลอน หมวดเพลง เป็นต้น
3.ต้องฝึกฝนการนำเสนออยู่เสมอ วิทยากรที่ดีควรหาเวทีให้แก่ตนเอง อย่าได้รังเกียจเวทีเล็ก เพราะวิทยากรมืออาชีพก็เริ่มต้นจากจุดเล็กๆมาก่อน ควรหาเวทีพูดบ่อยๆเพื่อฝึกฝนการพูด ฝึกฝนการนำเสนอ อีกทั้งการมีเวทีพูดมากๆจะทำให้ผู้พูดเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากยิ่งขึ้น
4.ต้องออกแบบหลักสูตรแปลกๆใหม่ๆ วิทยากรมืออาชีพและเป็นที่ต้องการของตลาดการฝึกอบรมมักจะนำเสนอหลักสูตรใหม่ๆออกมา ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ไม่ค่อยจะเหมือนกับวิทยากรท่านอื่น เพราะหากว่านำเสนอหลักสูตรที่เหมือนกันกับวิทยากรท่านอื่น จำนวนมากๆ โอกาสที่จะได้รับงานบรรยายก็จะน้อยลงเนื่องจากมีคู่แข่งขันมากนั้นเอง
5.ต้องทำการบ้านเป็นอย่างดี เมื่อได้รับงานบรรยายแล้ว วิทยากรมืออาชีพต้องมีการเตรียมข้อมูลในการนำเสนอให้ตรงกับปัญหาขององค์กรนั้น ต้องมีการสอบถามข้อมูลว่าองค์กรมีปัญหาอะไร ต้องการให้เน้นในเนื้อหาใดเป็นพิเศษ รวมไปถึงสอบถามขนาดของห้องฝึกอบรมว่ามีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เพื่อที่จะได้ออกแบบกิจกรรมต่างๆเพื่อนำไปใช้ในห้องฝึกอบรมนั้น
6.ต้องเตรียมพร้อมทางด้านร่างกาย หลายท่านอาจแปลกใจว่า ไปเป็นวิทยากรนะไม่ได้ไปแข่งขันกีฬาใดๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว การเป็นวิทยากรมืออาชีพ บางหลักสูตรต้องบรรยาย 3-5 วัน ซึ่งจะต้องยืน ต้องเดิน ต้องวิ่ง ต้องพูด ทั้งวัน ถ้าหากว่าร่างกายมีสภาพที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ก็จะทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น วิทยากรมืออาชีพจึงต้องรักษาสุขภาพร่างกาย ต้องมีการออกกำลังกายอยู่เสมอ ต้องมีการไปตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี


...
  
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการฝึกอบรมในยุคปัจจุบัน มีการใช้เทคนิคที่หลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง หรือ ใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้รับการอบรม ผู้เรียน นักเรียนเป็น ศูนย์กลาง และ เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง ซึ่งแต่ละเทคนิคมีรายละเอียดดังนี้
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง
1.การบรรยาย (Lecture) เป็นการพูด โดยเน้นสอนเรื่องทฤษฏี เนื้อหาต่างๆ ตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ อาจมีการใช้สื่อต่างๆประกอบ เช่น สไลด์ รูปภาพ คลิปภาพยนตร์ ฯลฯ
2.การอภิปรายเป็นคณะ(Panel Discussion) เป็นพูดอภิปรายโดยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนใหญ่มักจะมีจำนวน 3-5 คน เป็นการพูดแสดงข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง ปัญหา วิธีการแก้ไขปัญหา ตามหัวข้อที่กำหนดเอาไว้
3.การสาธิต(Demonstration) เป็นการแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างจริงๆ เช่น การสาธิตการประกอบอาหาร การสาธิตการว่ายน้ำ การสาธิตการพูดต่อหน้าที่ชุมชน การสาธิตการขายสินค้าต่างๆ เป็นต้น
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้ฝึกอบรม นักศึกษา นักเรียน เป็นศูนย์กลาง
1.กิจกรรมนันทนาการ(Recreational Activity) เป็นการจัดหากิจกรรมต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการสนุกสนาน เกิดการแข่งขันกัน หรือก่อให้เกิดการละลายพฤติกรรม ซึ่งเกมเพื่อการศึกษามีจำนวนมากและหลากหลาย ทั้งนี้ ควรเลือกเกมส์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม
2.การระดมสมอง(Brainstorming) เป็นกิจกรรมที่ให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ เสรี ไม่มีคำว่าผิด หรือ ถูก ไม่มีคำว่า ดี หรือไม่ดี เมื่อเปิดโอกาสให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นโดยทั่วถึงแล้ว ผู้สอนควรนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่บทสรุป
3.กรณีศึกษา(Case study) เป็นการนำเรื่องราวจริง มานำเสนอเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการแก้ไขปัญหาและเกิดการตัดสินใจ ซึ่งกรณีศึกษาที่ดีควรมีลักษณะคล้ายหรือสอดคล้องกับปัญหาต่างๆที่ผู้รับการอบรมประสบ
4.การแสดงบทบาทสมมติ(Role Playing) มีลักษณะคล้ายกับกรณีศึกษาแต่เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จึงให้ผู้เรียนได้มีการเล่นการแสดงบทบาทสมมติต่างๆ จากสถานการณ์ที่จำลองมาจากสถานการณ์จริงๆ
5.การสัมมนา(Seminar) เป็นการประชุมหรือพูดคุยกัน เกี่ยวกับปัญหาหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมมีความสนใจหรือประสบพบเจอกับปัญหาในเรื่องเดียวกัน
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง
1.สอนโดยภาพยนตร์(Instructional Film) เป็นการสอนโดยใช้ภาพยนตร์ เป็นหลักโดยผู้สอน เปิดภาพยนตร์ให้ผู้เรียนดูจนจบ แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่างๆ แล้วจึงหาข้อสรุป
2.สอนโดยใช้เทคโนโลยี เป็นการออกแบบเทคโนโลยีขึ้นมาให้เหมือนกับของจริงมากที่สุด แล้วให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เช่น เครื่องบินจำลอง F 16 ซึ่งภายในห้องทดลองมีการออกแบบที่เหมือนจริงกับเครื่องบิน F16 ทุกประการ
3.สอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI-Computer Aided Istruction) เนื่องจากยุคปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ มีความทันสมัยจึงสามารถทำอะไรได้อย่างมากมาย เช่น เราสามารถสอนผู้เรียนเรียนพิมพ์ดีด โดยการใช้โปรแกรมพิมพ์ดีด เข้าช่วย
ฉะนั้น การเป็นวิทยากรที่ประสบความสำเร็จ จึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักการผสมผสานเทคนิคต่างๆ เช่น มีการบรรยาย มีการระดมความคิดเห็น มีกิจกรรมนันทนาการ มีการใช้เทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้จัด วัตถุประสงค์ในการจัด เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพกับผู้เข้ารับการอบรมหรือผู้เรียนมากที่สุด ทั้งนี้การผสมผสานเทคนิคต่างๆ มากหรือน้อย บางเทคนิคก็ไม่สามารถนำเอาไปใช้ได้ทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่ของวิทยากรที่จะต้องวิเคราะห์แล้วตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคต่างๆ

...
  
การเลือกวิทยากร
การเลือกวิทยากร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการฝึกอบรม การคัดเลือกวิทยากรมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอันมาก ซึ่งการคัดเลือกวิทยากรต้องมีความพิถีพิถัน เป็นอย่างยิ่ง หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกวิทยากร ควรมีหลักเกณฑ์ดังนี้
1.มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในหัวข้อหรือหลักสูตรที่จะให้บรรยาย ผู้จัดการฝึกอบรมควรที่จะมีการตรวจสอบ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ ของวิทยากรว่ามีความรู้และประสบการณ์ตรงกับหัวข้อนั้นๆหรือไม่
2.มีความสามารถในการถ่ายทอด สอนเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย สอนสนุก ผู้ฟังสนใจฟัง ไม่น่าเบื่อ
3.มีชื่อเสียงในวงการหรือมีชื่อเสียงในหัวข้อที่บรรยาย ซึ่งผู้จัดการฝึกอบรม สามารถดูผลงานที่เผยแพร่สู่สาธารณะ ในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ บทความ ตำรา เอกสารต่างๆ
4.มีการบรรยายหรือมีการนำเสนอเนื้อหาได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการอบรม เพราะวิทยากรหลายท่าน มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้น อีกทั้งมีการบรรยายที่สนุกสนาน ผู้ฟังชื่นชอบ แต่เนื้อหาที่บรรยายไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางเอาไว้
5.มีบุคลิกภาพที่ดี มีความน่าเชื่อถือ มีอายุ มีเพศ ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการให้บรรยาย
ทั้งนี้ ผู้จัดการฝึกอบรม ควรต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของวิทยากร โดยการสอบถามพรรคพวกเพื่อนฝูงที่อยู่ในวงการฝึกอบรมที่ตนเองรู้จักว่า คุณสมบัติและความสามารถของวิทยากรท่านนี้อยู่ในระดับใด อีกทั้งหากเป็นไปได้ควรขออนุญาตวิทยากรท่านนั้น ไปนั่งฟังการบรรยาย ไปสังเกตวิธีการสอน ก่อนที่จะเชิญไปสอนจริงๆ
...
  
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การฝึกอบรมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนา การฝึกอบรมที่ดีจึงต้องสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ หากว่าการฝึกอบรมไม่สามารถสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ การฝึกอบรมนั้นๆ จะได้รับประโยชน์ที่ลดน้อยลง ซึ่งการฝึกอบรมมีประโยชน์ทั้งต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร และการฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อทั้งตัวของบุคลากร ซึ่งผู้เขียนของขยายรายละเอียด ตามข้อความด้านล่างนี้
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร ดังต่อไปนี้
1.ช่วยเพิ่มผลผลิต รายได้ กำไร ให้แก่หน่วยงาน
2.ช่วยลดค่าใช้จ่าย เวลา ลดอุบัติเหตุ ลดการลาออกของบุคลากร
3.ช่วยให้เกิดความสามัคคี ช่วยให้เกิดมีทิศทางในการทำงานไปในทิศทางอย่างเดียวกัน
4.ช่วยให้หน่วยงาน ขยายงาน ขยายสาขาได้มากขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น
5.ช่วยให้หน่วยงาน มีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับตัวได้ทันต่อการแข่งขัน
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อบุคลากร ดังต่อไปนี้
1.เสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่บุคลากร
2.เป็นการลดความขัดแย้งและเพิ่มความสัมพันธ์อันดีของบุคลากร
3.ทำให้บุคลากรเกิดการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความกระตือรือร้นในงานที่ทำ
4.ลดการกำกับควบคุม การติดตามการทำงานของบุคลากร
5.เพิ่มศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดในการกล้าแสดงออกของบุคลากร

...
  
การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง(ศิลปะการโต้วาที)
การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง...(ศิลปะการโต้วาที)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การโต้วาทีถือได้ว่าเป็นการใช้วาทศิลป์ขั้นสูง ถามว่า “ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” เพราะบุคคลที่จะโต้วาทีให้ได้ดี จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเกี่ยวกับการพูดหลายๆด้าน เช่น ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน , ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร,ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด,ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทางและศิลปะในการใช้วาทศิลป์ เป็นต้น
ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน ในยุคปัจจุบันมีหนังสืออยู่มากมาย ตามท้องตลาด ซึ่งภายในหนังสือจะมีทฤษฏี มีหลักการ มีคำแนะนำต่างๆ ที่ทำให้ผู้อ่าน สามารถนำไปใช้ นำไปปฏิบัติได้ ซึ่งจะพูดไปแล้ว การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์คือเราสามารถอ่าน สามารถฟัง และเข้ารับการอบรมเพื่อให้ได้ความรู้มา ศิลป์คือ การนำเอาศาสตร์ไปประยุกต์
ฉะนั้น บุคคลที่พูดเก่ง พูดเป็น มักจะมีศิลป์หรือมีศิลปะในการนำเอาคำพูดไปใช้ได้มากกว่า ดีกว่า เก่งกว่า บุคคลที่พูดไม่เป็น พูดไม่เก่ง
ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร บุคคลที่จะโต้วาทีได้ จำเป็นต้องมีไหวพริบ ปฏิภาณในการพูด ซึ่งบุคคลที่จะมีไหวพริบ ปฏิภาณได้จำเป็นจะต้องมีการฝึกฝน การพูดต่อหน้าที่ชุมชนและการโต้วาทีบ่อยๆจะเป็นการฝึก ไหวพริบ ปฏิภาณได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้บุคคลที่จะโต้วาทีให้ได้ดี จำเป็นจะต้องมีชั่วโมงบิน หรือมีประสบการณ์ในการทางการพูดต่อหน้าที่ชุมชนอยู่บ้าง
ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด ในการโต้วาที เราต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่อง ว่าขึ้นต้นเราจะขึ้นต้นอย่างไร ตอนกลางเราจะพูดอะไร และสรุปจบอย่างไร ถึงจะเป็นที่ประทับใจผู้ฟัง
ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทาง บุคคลที่มีบุคลิกภาพดีมักจะได้เปรียบบุคคลที่มีบุคลิกภาพไม่ดี นักโต้วาทีควรมีการฝึก การใช้ท่าทางประกอบการพูด เช่น การผายมือ , การชี้นิ้ว , การใช้เอกสารประกอบการพูด , การยืน ตลอดจนการใช้สีหน้า การเคลื่อนไหวต่าง เป็นต้น
ศิลปะในการใช้วาทศิลป์ การใช้คำพูด มีความสำคัญ การใช้คำพูดทำให้คนสนใจฟัง คำบางคำมีความหมายเหมือนกัน แต่ความเบา ความแรง ความสุภาพ ความเป็นกันเองต่างกัน และการใช้กับบุคคลมีความแตกต่างกัน เช่น กิน ทาน รับประทาน แดก ดื่ม ฉันท์ ฯลฯ
ตลอดการใช้ภาษาไทยควรให้มีความถูกต้องตามหลักภาษาไทย มีการออกเสียง ร,ล คำควบกล้ำให้ชัดเจน และควรงดเว้นคำฟุ่มเฟื่อย
ตลอดจนต้องรู้จักประเภทของการพูด ซึ่งประเภทของการพูดมี 3 ประเภทใหญ่ๆ 1.จูงใจ 2.บรรยายหรือบอกเล่า 3.บันเทิง สำหรับการพูดโต้วาทีจะอยู่ในการพูดประเภทที่ 1 คือการพูดจูงใจหรือพูดให้คล้อยตาม
เมื่อผู้พูด มีพื้นฐานข้างต้นแล้ว (ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน , ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร,ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด,ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทางและศิลปะในการใช้วาทศิลป์) ผู้พูดคนนั้นจะมีความสามารถในการพูดโต้วาทีได้เป็นอย่างดี


...
  
ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม
ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมมีความสำคัญมาก เพราะบ่อยครั้งในการจัดการฝึกอบรม ผู้ที่จะต้องทำหน้าที่เป็นพิธีกรในการ กล่าวทักทาย กล่าวแสดงความต้อนรับ แนะนำวัตถุประสงค์หลักสูตร แนะนำกำหนดการในการฝึกอบรม แนะนำสถานที่ อีกทั้งการจัดการฝึกอบรมบางแห่ง เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมมีหน้าที่ที่จะต้องทำหน้าที่ กล่าวรายงานในพิธีเปิด แนะนำวิทยากร กล่าวขอบคุณวิทยากร
ฉะนั้น ในการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม หากต้องการฝึกหรือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจึงจำเป็นจะต้องมี ทักษะในการเป็นพิธีกร และ มีทักษะในการพูดในโอกาสต่างๆ
ทักษะในการเป็นพิธีกร เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องดำเนินรายการในห้องฝึกอบรมตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปิดการฝึกอบรม ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องทำหน้าที่เป็นพิธีกร โดยพิธีกรที่ดีจะต้องมีทักษะต่างๆดังต่อไปนี้
1.ต้องทำการบ้านหรือเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี มีการเขียนสคิปในการพูด รวมไปถึงเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต้องมีการฝึกซ้อมการพูดตามสคิปมาบ้าง
2.ต้องมีทักษะในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนอยู่บ้าง เช่น การถือไมโครโฟน การยืน การแสดงท่าทางในการพูด
3.ต้องรู้ลำดับขั้นตอนของงานในการฝึกอบรม ว่ากำหนดการในการอบรมมีอะไรบ้าง ใครเป็นคนมาเปิดการฝึกอบรม ใครจะมาปิดการฝึกอบรม วิทยากรมีทั้งหมดด้วยกันกี่คน
4.ต้องมาถึงงานก่อนเวลา ทำไมต้องมาก่อนเวลา มาเพื่อเตรียมความพร้อมของตนเองและมาเพื่อตรวจสอบดูความพร้อมของแสง สี เสียง และดูความพร้อมของห้องฝึกอบรม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์ต่างๆ
5.ต้องสร้างความดึงดูดความสนใจบนเวทีตลอดการฝึกอบรม การพูดต้องพูดด้วยความกระตือรือร้น กระปรี้กระเปร่า มีลูกเล่นหรืออารมณ์ขันอยู่บ้าง
6.ต้องรู้จักแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดีหรือสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในการฝึกอบรม ในบางครั้ง พูดไป พูดมา ไฟฟ้าเกิดดับ หรือ งานไม่เป็นไปตามกำหนดการ เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะแก้ไขปัญหาอย่างไร
7.ต้องพยายามดำเนินรายการจนจบหรือต้องดำเนินรายการให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ทิ้งเวที
ทั้งหมดนี้คือ คุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมที่ได้รับบทบาทให้เป็นพิธีกรต้องมี สำหรับการพูดที่เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การพูดในโอกาสต่างๆ เพราะในการจัดการฝึกอบรม เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมบางงานมีความจำเป็นจะต้อง กล่าวต้อนรับ กล่าวรายงานในพิธีเปิด การแนะนำวิทยากรและกล่าวขอบคุณวิทยากร
1.การกล่าวต้อนรับ เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องมีหน้าที่ในการพูดกล่าวคำต้อนรับ ซึ่งจะต้องพูดรายละเอียดตามลำดับดังนี้ ต้องกล่าวทักทายผู้ที่เข้าร่วมฝึกอบรมและกล่าวยินดีต้อนรับ ต้องพูดแนะนำวัตถุประสงค์ของการจัดงานหรือของหลักสูตรที่จัด ต้องพูดแนะนำกำหนดการฝึกอบรมและต้องแนะนำสถานที่ในการฝึกอบรมรวมไปถึงห้องน้ำ ห้องรับประทานอาหารว่าง ห้องรับประทานอาหารกลางวัน
2.การกล่าวรายงานในพิธีเปิด ซึ่งมีรายละเอียดที่จะต้องพูดดังนี้ คำขึ้นต้น(เรียน,กราบเรียน) ,ขอบคุณประธานในพิธี , ชี้แจงวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม, ชี้แจงความสำคัญในการฝึกอบรม,พูดรายละเอียดของหลักสูตรที่สำคัญๆ, พูดถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในการฝึกอบรมและสุดท้ายเชิญประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรม
3.การแนะนำวิทยากร เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องทำหน้าที่แนะนำวิทยากรในการฝึกการอบรม โดยเริ่มต้นกล่าวคำทักทายผู้เข้ารับการอบรมที่เข้ามาร่วมการฝึกอบรม กล่าวแนะนำวิทยากรเป็นรายบุคคลว่าเป็นใคร มาจากไหน ปัจจุบันมีหน้าที่ทำงานในตำแหน่งอะไร มีความรู้ความสามารถพิเศษหรือเชี่ยวชาญงานทางด้านไหน ซึ่งต้องกล่าวตามความเป็นจริง ไม่ควรให้คลาดเคลื่อน สิ่งที่สำคัญไม่ควรยกย่องวิทยากรจนเลิศลอยเกินไป และอย่าแนะนำเรื่องส่วนตัวที่ไม่ดีหรือทำให้วิทยากรไม่สบายใจ
4.การกล่าวขอบคุณวิทยากร มีหลักในการพูดดังนี้ กล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับจากวิทยากร กล่าวย้ำถึงประเด็นหรือสรุปความสำคัญของเรื่องที่พูด กล่าวแสดงความหวังว่าจะได้รับความกรุณาจากวิทยากรในการมาร่วมเป็นวิทยากรอีกครั้งและกล่าวขอบคุณ
ดังนั้น ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม ที่เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมต้องมีก็คือ ทักษะในการเป็นพิธีกรและทักษะในการพูดในโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะการกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีเปิด การแนะนำวิทยากรและการกล่าวขอบคุณวิทยากร
...
  
การพูดในอาชีพสื่อมวลชน
การพูดในอาชีพสื่อมวลชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เมื่อพูดถึงอาชีพสื่อมวลชน ในยุคปัจจุบันมีความสำคัญมาก เพราะสื่อมวลชน เป็นสื่อที่สามารถกระจายความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร จากบุคคล จากหน่วยงาน จากองค์กรไปยังประชาชนได้อย่างรวดเร็ว สื่อที่มีความสำคัญมากในปัจจุบัน มีสื่อสิ่งพิมพ์ เรามักนึกถึง สื่อจำพวก หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร จดหมายข่าว , สื่อกระจายเสียง วิทยุ และ สื่อที่มีทั้งภาพและเสียง โทรทัศน์ และในยุคปัจจุบันเราก็มีสื่อสมัยใหม่ โซเชียลมีเดีย อีกด้วย
การพูดในอาชีพสื่อมวลชน จึงมีความสัมพันธ์ มีความเกี่ยวข้องกับสื่อกระจายเสียง สื่อที่มีทั้งภาพและเสียง และสื่อสมัยใหม่ ฉะนั้น ใครที่ต้องการประกอบอาชีพในด้านสื่อมวลชน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกฝน เรียนรู้ และฝึกปฏิบัติ การพูดสำหรับการใช้สื่อเหล่านี้
การพูดทางสื่อวิทยุกระจายเสียง การพูดออกสื่อโทรทัศน์ การพูดออกสื่อสมัยใหม่ เราสามารถฝึกฝนได้ ส่วนศิลปะในการถ่ายทอดผ่านสื่อเหล่านี้ จำเป็นจะต้องมีความแตกต่างกัน เพราะลักษณะสื่อมีความแตกต่างกัน เช่น สื่อโทรทัศน์,สื่อที่นำไปลงในอินเตอร์เน็ตบางเว๊ปไซค์ สามารถเห็นทั้งรูปทั้งเสียง กับสื่อวิทยุกระจายเสียงที่ไม่สามารถเห็นภาพได้แต่ได้ยินแต่เสียง ศิลปะในการพูดก็ต้องมีความแตกต่างกัน
วิธีพูดทางสื่อโทรทัศน์และสื่อที่สามารถเห็นทั้งภาพและเสียง ผู้พูดจึงต้องคำนึงถึงเรื่องของใบหน้า รูปร่าง ร่างกายในการปรากฏตัวออกสื่อด้วย ผู้พูดต้องทำเหมือนกับว่ามีผู้ชมมานั่งฟังอยู่เป็นจำนวนมาก การพูดต้องมีชีวิตชีวา สายตาต้องไม่มองอย่างเลื่อยลอย ควรมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดการพูด มีใบหน้าที่แสดงความเป็นมิตร อีกทั้งผู้พูดควรมีการซ้อมการพูดไม่ควรใช้ต้นฉบับในขณะพูดมากนัก สำหรับส่วนที่มีเนื้อหาสำคัญหรือข่าวที่มีความจำเป็นต้องอ่าน ก็ควรอ่าน แต่ในยุคปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ทำงานการพูดทางโทรทัศน์หรือสื่อที่สามารถมองเห็นทั้งภาพและเสียง ได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต เรามีโปรแกรมการตัดต่อที่ทันสมัย เรามีกล้องโทรทัศน์หลายๆตัว ที่มีคุณภาพและราคาถูก
สำหรับส่วนประกอบที่ทำให้การพูดออกสื่อโทรทัศน์หรือสื่อที่สามารถเห็นภาพและเสียง ประสบความสำเร็จ อันได้แก่ การใช้ท่าทางประกอบ ( พิธีกร 360 องศา ที่ได้แสดงท่าทางประกอบจนทำให้เป็นที่สนใจของคนดู) บุคลิกภาพและการแต่งกาย อุปกรณ์ในการประกอบการพูด การเขียนบทและการเตรียมต้นฉบับในการพูด
ส่วนการพูดในสื่อวิทยุกระจายเสียงนั้น เราอาจจะให้ความสำคัญกับการใช้ท่าทางประกอบ บุคลิกภาพและการแต่งกาย อุปกรณ์ในการประกอบการพูด น้อยมาก เนื่องจากผู้ชมไม่สามารถมองเห็นได้ การพูดทางสื่อวิทยุ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการใช้เสียงเป็นอันมาก เช่น ใครที่มีโทนเสียง น้ำเสียงที่ นุ่มนวล ชวนฟัง มักจะได้เปรียบคนที่มีโทนเสียงและน้ำเสียงที่ไม่ดี การออกเสียงและการอ่านออกเสียงเป็นเรื่องที่สำคัญสำคัญการพูดทางสื่อวิทยุ
ฉะนั้น บุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จในการพูดในอาชีพสื่อมวลชน จำเป็นจะต้องรู้ว่าตนเอง จะต้องนำเสนออย่างไรเพราะรูปแบบในการนำเสนอรายการก็มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในอาชีพ เพราะวิธีการนำเสนอรายการมีหลายรูปแบบ เช่น การเป็นพิธีกรหรือการดำเนินรายการ การอ่านข่าว การสัมภาษณ์ การอภิปราย การเล่าข่าว
นอกจากนั้น การมีไหวพริบปฏิภาณ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ความมีชีวิตชีวา การออกเสียงถูกต้องชัดเจน จังหวะในการพูด รวมไปถึงความมั่นใจในการพูด ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการพูดในอาชีพสื่อมวลชนได้เช่นกัน

...
  
การสร้างอารมณ์ขันในการพูด
การสร้างอารมณ์ขันในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
มีหลายคนมักชอบตั้งคำถาม ถามว่า ทำอย่างไรถึงจะให้การพูดเป็นที่น่าสนใจของผู้ฟัง ฟังแล้วไม่เบื่อ ฟังแล้วคนชอบ คนศรัทธา สำหรับการพูดต่อหน้าที่ชุมชนในสังคมไทยนั้น ผู้พูดที่มีการใช้อารมณ์ขันสอดแทรกในการพูด คงเป็นคำตอบของคำถามข้างต้นได้เป็นอย่างดี
ดังคำพูดของ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ อับบราฮัม ลินคอล์น ที่พูดว่า “ คนเราต้องการการเรียนรู้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการความสนุกสนานด้วย”
เทคนิคในการใช้อารมณ์ขันในการพูด
1.ต้องมีการปูเรื่องก่อน การเล่าเรื่องขำขันหรือเรื่องตลกที่ดี ควรมีการลำดับเรื่องไปก่อนแล้วถึงจุดไคลแมกซ์แล้วจึงปล่อยมุขขำขันหรือมุขตลกสอดแทรก จึงจะประสบความสำเร็จ
2.ต้องไม่บอกว่า เรากำลังจะพูดเรื่องตลกหรือเรื่องขำขัน เพราะถ้าไปพูดเช่นนั้น ผู้ฟังอาจคาดหวัง แต่เมื่อผู้พูด พูดไป ผู้ฟังกับไม่หัวเราะ ก็จะทำให้ผู้พูดหน้าแตกได้
3.ต้องไม่ขำเสียเองหรือทำหน้าตายได้ยิ่งดี (คือไม่หัวเราะเอง หรือ ไม่หัวเราะก่อน)
4.ต้องฉับไวในการปล่อยลูกเล่นหรือเรื่องขำขัน ต้องกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ จนน่าเบื่อ
5.ต้องสอดใส่ อารมณ์ ในการพูด เช่น เสียง อารมณ์ อาการ ต้องไปในทิศทางเดียวกัน
6.ต้องไม่ตรวจสอบหรือสอบถามผู้ฟังบ่อยๆ เพราะผู้พูดบางคน กลัวว่าผู้ฟังจะได้ฟังเรื่องขำขันหรือเรื่องตลกแล้ว ก็จะสอบถามอยู่บ่อยๆ ว่า “ ได้ฟังหรือยัง” “ได้ฟังหรือยัง” จึงสร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้ฟัง
การสร้างอารมณ์ขัน
1.ต้องเป็นนักสะสม จดจำ หัดจดจำ เรื่องราว ขำขันหรือตลกต่างๆ เพื่อนำมาเล่า
2.ต้องรู้จักมองโลกในแง่ดี การมองโลกในแง่ดี จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆได้
3.ต้องฝึกฝนไหวพริบปฏิภาณ เพราะไหวพริบปฏิภาณจะช่วยให้เกิดการแก้ปัญหาต่างๆได้
4.ต้องฝึกพัฒนาความคิด เช่น ความคิดเชิงสร้างสรรค์ ความคิดทางขวาง ความคิดเชิงเปรียบเทียบ
5.ต้องเป็นนักอ่านหนังสือและนักฟังเพื่อ หาข้อมูลขำขันหรือเรื่องตลกต่างๆในการพูด
6.ต้องฝึกพัฒนาทักษะในการพูดขำขันหรือพูดตลกบ่อยๆ โดยหาเวทีที่จะแสดง
7.ต้องหมั่น แก้ไข ปรับปรุง ให้ดีขึ้น ลองหมั่นสังเกตว่า เรื่องนี้ เราพูดแล้วทำไมมันไม่ขำ และหาวิธีการใหม่ๆ
สำหรับปัจจัยอื่นๆที่ช่วยในการสร้างอารมณ์ขันให้ประสบความสำเร็จมีดังนี้
1.ต้องเป็นตัวของตนเอง เราอาจเลียนแบบนักพูดที่เราชอบได้ในระยะแรก แต่สุดท้าย เราต้องเป็นตัวของตัวเอง ก็ด้วยการพัฒนามันขึ้นมา
2.ต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง ว่าผู้ฟังเป็นใคร เราควรเล่าเรื่องขำขันเรื่องนี้หรือไม่ เพราะ ระดับการศึกษา อาชีพ วัย ของผู้ฟังมีผลต่อเรื่องที่เราจะนำไปเล่า เพราะหากไม่พิจารณาแล้ว เราเล่าไปผู้ฟังเขาก็อาจจะไม่เข้าใจในเรื่องขำขันหรือเรื่องตลกที่เราเล่าได้
3.ต้องไม่เล่าเรื่องขำขัน ที่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของผู้ฟังที่จะก่อให้เกิดการเสียหายหรือเสียหน้า
4.ต้องรักษามารยาท ต้องสุภาพ ไม่ไปพูดก้าวร้าว ผู้ฟัง
5.ต้องดูสภาพแวดล้อม กาลเทศะ ในการใช้อารมณ์ขัน
ดังนั้น การสร้างอารมณ์ขันในการพูด จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าหากนักพูดท่านใด สามารถสร้างอารมณ์ขัน แล้วนำเอาไปใช้ในการพูดได้อย่างเหมาะสม นักพูดท่านนั้น ก็จะได้รับคำนิยม ได้รับชื่อเสียง เงินทอง ตำแหน่งต่างๆอย่างมากมาย
...
  
พูดอย่างไรให้ขายได้
พูดอย่างไรให้ขายได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักขายที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่พูดเก่ง มีศิลปะการพูดที่สามารถพูดโน้มน้าวใจผู้ซื้อได้ การพูดจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่นักขายที่อยากประสบความสำเร็จจำเป็นที่จะต้องฝึกฝน สำหรับเทคนิคการพูดเพื่อขายมีดังนี้
1.ต้องชม นักขายที่พูดเก่ง มีวาทศิลป์ที่ดี เขามักจะชมลูกค้าเป็น เพราะธรรมชาติของคนเรา ชอบให้คนอื่นชม ชอบให้คนอื่นยกย่อง ชอบให้คนอื่นสรรเสริญมากกว่า คำพูดที่ว่ากล่าว ติทอ ตักเตือน นินทา ดังนั้น นักขายจึงควรที่จะหัดชมลูกค้า หัดชมครอบครัวของเขา หัดชมงานที่เขาทำ หัดชมงานอดิเรกของเขา รวมไปถึงเรื่องที่เขาสนใจหรือสิ่งของที่เขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา แหวน รถยนต์ เสื้อผ้า บ้าน ของลูกค้า เป็นต้น
2.ต้องฟัง นักขายที่ขายเก่ง มักจะเป็นนักฟังที่ดี เขาจะรับฟังปัญหาของลูกค้าก่อน แล้ว ถึงพูดเพื่อที่จะนำเสนอ สินค้า เข้าไปแก้ปัญหาที่ลูกค้ามีอยู่ และควรมีการพูดตอบรับการฟัง เพื่อทำให้ลูกค้าจะได้เกิดความมั่นใจว่าเรากำลังฟังเขาอยู่ เช่น ครับ ครับ ใช่ครับ เห็นด้วยครับ ถูกต้องครับ
3.ต้องเชื่อ นักขายที่ขายเก่ง มักจะมีความเชื่อหรือมีความมั่นใจ ในตัวของสินค้า ตัวของบริษัท ตัวของเจ้าของกิจการ ดังนั้น เมื่อเขาพูดเพื่อขายสินค้าออกไป เขาก็มักจะพูดด้วยความมั่นใจ พูดไปด้วยความเชื่อมั่น เมื่อเขาพูดด้วยความมั่นใจแล้ว บุคลิกและท่าทางของนักขายผู้นั้น ก็จะแสดงออกไปด้วยความมั่นใจตามไปด้วย
4.ต้องช่วย นักขายที่เก่ง เมื่อพูดขายสินค้าไปแล้ว ก็มักที่จะช่วยพูดเพื่อให้ลูกค้าที่เกิดความลังเลใจได้มีโอกาสที่จะได้ตัดสินใจซื้อ เพราะในบางครั้ง สินค้าที่นักขายนำเสนอ มีหลายราคา หลายแบบ หลายขนาด ทำให้ ลูกค้าบางคนไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเลือกสินค้า ราคาใด แบบใด ขนาดใด นักขายที่เก่งมักจะสามารถวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ แล้วพูดโน้มน้าวใจเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกในแบบที่นักขายได้ช่วยตัดสินใจให้
5.ต้องชี้ความจริง นักขายที่ขายเก่งและยืนยงอยู่ในวงการการขายได้อย่างยาวนาน มักจะเป็นนักขายที่มีคุณธรรม จริยธรรม เขามักเป็นคนที่พูดความจริง ไม่โกหก หลอกลวงลูกค้า เพราะถ้าหากพูดโกหก หลอกลวงลูกค้า เมื่อเขาทราบภายหลัง เขาก็อาจจะไม่เชื่อถือ และอาจจะไม่อยากที่จะซื้อสินค้าซ้ำ
6.ต้องชอบ นักขายที่จะพูดเพื่อขายสินค้าได้ นักขายผู้นั้น ควรที่จะมีความชอบในตัวของสินค้า เขาต้องลองทดลองใช้ เมื่อนักขายได้ใช้สินค้าแล้วเกิดความประทับใจในตัวของสินค้า เขาก็จะพูดความประทับใจของสินค้าได้เป็นอย่างดี
ฉะนั้น การพูดเพื่อที่จะขายสินค้า เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะบุคคลที่สร้างความร่ำรวย เป็นมหาเศรษฐี ส่วนใหญ่มักจะเป็นนักขาย เขาจะมีวิธีการพูดเพื่อที่จะขายสินค้า ขายบริการ และถ้าคุณอยากที่จะขายสินค้าให้ได้มากๆ การพูดจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะสื่อสาร เพื่อก่อให้เกิดการซื้อ และจะทำให้เกิดการเพิ่มยอดขาย เพิ่มรายได้ เพิ่มตำแหน่งทางสังคมให้กับคุณได้
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.