หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  การตรึงอารมณ์ผู้ฟัง
  -  พูดเก่ง...ด้วยปัญญา...
  -  นักพูดผู้ยิ่งใหญ่
  -  การเตรียมเพื่อพูด
  -  อัตลักษณ์ของนักพูด...มีผลต่อการพูดจูงใจคน
  -  การเตรียมการพูด
  -  คุณสมบัติของนักพูดที่ดี
  -  จะพูดให้ดี...ต้องมีครู...
  -  พูดเก่ง...รวยก่อน...
  -  อยากเป็นนักพูด
  -  วิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  ปาก
  -  การแต่งตัวกับนักพูด
  -  พูดดีเป็นศรีแก่งาน
  -  องค์ประกอบของการพูด
  -  ถ้อยคำการพูด
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  บุคลิกภาพของนักพูด
  -  การพูดจูงใจคน
  -  ทำไมการพูดถึงล้มเหลว
  -  ผู้ฟังอันตราย
  -  วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
  -  เส้นทางสู่วิทยากร
  -  การพูดกับการเป็นผู้นำ
  -  ศิลปะการพูดในงานบริการ
  -  ศิลปะการพูดแบบกะทันหัน
  -  การเปิดฉากการพูด
  -  การดำเนินเรื่องในการพูด
  -  วิธีการฝึกฝนการพูด
  -  Actions Speak Lound Than Words (ท่าทางนั้นดังกว่าคำพูด)
  -  การพูดเพื่อนำเสนอ
  -  6 W 1 H สำหรับการพูด
  -  วิทยากรสมัยใหม่
  -  วิธีการนำเสนอ
  -  เทคนิคการเป็นวิทยากรมืออาชีพ
  -  การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  กิริยาท่าทางในการพูด
  -  พูดโทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
  -  การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
  -  วัตถุดิบสำหรับการพูด
  -  การใช้สื่อต่างๆประกอบการพูด
  -  การออกเสียงและการพัฒนาพลังเสียงในการพูด
  -  การเตรียมความพร้อมในการพูด
  -  คำพูดประเภทต่างๆ
  -  การสื่อสารโดยการพูด...ภายในองค์กร
  -  การพูดเพื่อให้สัมภาษณ์
  -  การพูดหาเสียงเลือกตั้ง
  -  เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ
  -  การพูดทางการเมือง
  -  การพูดกับการบริหาร
  -  การอ่านกับการพูด
  -  วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
  -  วิทยากรกับการเป็นวิทยากร
  -  การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
  -  วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
  -  การเลือกวิทยากร
  -  ประโยชน์ของการฝึกอบรม
  -  การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง(ศิลปะการโต้วาที)
  -  ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม
  -  การพูดในอาชีพสื่อมวลชน
  -  เห็นไมค์แล้วไข้ขึ้น
  -  วิธีฝึกพูดของ เดล คาร์เนกี
  -  ศิลปะการโต้วาที
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
  -  จงพูดอย่างกระตือรือร้น
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  การนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  การใช้มือประกอบการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  การใช้โน๊ตย่อในการพูด
  -  การพูดโน้มน้าวใจ​
  -  ภาษากายไม่เคยโกหก
  -  การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
  -  ภาษากายกับความสำเร็จ
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การพูดกับการบริหาร
การพูดกับการบริหาร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดสำหรับนักบริหารมีความสำคัญมาก เพราะคนเราไม่สามารถทำอะไรคนเดียวได้ทุกอย่าง เช่น การสร้างบ้าน การเปิดร้านอาหาร การทำโรงงาน การสร้างตึก ฯลฯ แต่การจะทำสิ่งเหล่านี้ได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลอื่นๆเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากคนเรามีข้อจำกัดต่างๆมากมาย เช่น เรื่องของเวลา เรื่องของสถานที่ เรื่องของความสามารถ เรื่องของสติปัญญา เรื่องของสุขภาพกำลังของร่างกาย เรื่องของความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
การสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการใช้คำพูด คำพูดเป็นการสื่อสารที่ง่ายกว่าการสื่อสารประเภทอื่น ไม่ว่าการสื่อสารโดยการเขียน การสื่อสารโดยใช้ภาษากายหรือภาษาท่าทาง ผู้บริหารจึงต้องใช้การพูดมากกว่าการสื่อสารประเภทอื่นๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “ ผู้บริหารมักใช้ปากในการทำงาน ” เช่น หากท่านเป็นผู้บริหาร ท่านจะต้องร่วมประชุมหรือร่วมแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมอยู่บ่อยๆ หากท่านเป็นผู้บริหาร ท่านจะต้องกล่าวเปิดปิดงานต่างๆอยู่เป็นประจำ หากท่านเป็นผู้บริหาร ท่านจะต้องให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆอยู่เป็นนิจ หากท่านเป็นผู้บริหาร ท่านจะต้องชี้แจง ท่านจะต้องสอนงานลูกน้องอยู่เสมอ ฯลฯ
การพูดจึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารจำเป็นจะต้องฝึกฝนและฝึกปฏิบัติ เพราะหากผู้บริหารคนใดมีความสามารถในการพูดก็จะทำให้ลูกน้องเกิดการประสานงานกัน เกิดความร่วมมือกันในการทำงาน ผลที่ตามมาคือ ในองค์กรนั้นๆจะมีผลผลิตเป็นจำนวนมากมาย แต่ตรงกันข้าม หากผู้บริหารพูดไม่เป็น พูดไม่ดี ก็จะทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือจากลูกน้องหรือลูกน้องให้ความร่วมมือ แต่จะทำงานแบบไม่เต็มใจ ทำงานแบบไม่เต็มกำลังความสามารถหรือออมแรง ออมความสามารถต่างๆในการทำงาน จึงทำให้ผลผลิตที่ออกมาได้ไม่ดีมากนัก
ผู้บริหารระดับโลก มักจะสื่อสารโดยการพูดได้ดีกันทุกคน เช่น ผู้บริหารระดับประธานาธิบดีเกือบทุกๆคนของสหรัฐ , ผู้บริหารระดับนายกรัฐมนตรีของหลายประเทศ เขามักจะสื่อสารโดยการพูดให้ประชาชนเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะทำ ไม่ว่าจะเป็น JFK (จอห์น เอฟ เคเนดี้ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ) , ฮิตเลอร์ (อดีตผู้นำของเยอรมัน) , โจเซฟ สตาลิน(ผู้นำของโซเวียต) เป็นต้น คนเหล่านี้คนส่วนใหญ่ยอมรับกันว่า พูดได้ดีมาก ดังปรากฏในคำพูดสุนทรพจน์ต่างๆของบุคคลเหล่านี้
ผู้บริหารกับการพูดครองใจคน เคยมีเรื่องเล่าในอดีตเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่สนุกๆ มีนายทหารยศพลเอกคนหนึ่ง ต้องการแลกเหรียญเพื่อที่จะโทรศัพท์ แต่ไม่มีเหรียญ เมื่อเห็นพลทหารคนหนึ่งเดินมาจึงถามว่า “ น้อง น้องครับ มีเหรียญให้พี่แลกไหมครับ” พลทหารตอบว่า “ เดี๋ยวครับพี่ น่าจะมีครับ ขอค้นดูก่อน” เมื่อพลเอกได้ยินคำตอบของพลทหารก็ไม่พอใจเลยตอบกลับไปว่า “ เนี่ย พูดกับผมอย่างนี้ได้อย่างไร ผมยศพลเอกนะ เอาใหม่ ลองตอบใหม่ให้โอกาสอีกครั้ง ต้องทำความเคารพด้วย ” พลเอกจึงกล่าวถามใหม่ว่า “ น้อง มีเหรียญให้พี่แลกไหม ” พลทหารรีบยืนทำความเคารพด้วยความเข้มแข็งแล้วตอบกลับทันใดว่า “ ไม่มีครับ ท่าน” แล้วก็เดินจากไป สำหรับเรื่องเล่าเรื่องนี้ท่านคิดอย่างไรครับ
ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง ผู้บริหารบางคนจะใช้แม่บ้านไปชงกาแฟ ผู้บริหารบางคนพูดเป็น บางคนพูดไม่เป็น หากเป็นผู้บริหารที่พูดเป็น มักจะทำให้แม่บ้านเกิดความพอใจ เกิดความภาคภูมิใจที่ได้ชงกาแฟให้ผู้บริหารทาน แต่หากผู้บริหารพูดไม่เป็น แม่บ้านก็คงต้องชงแต่จะชงด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจนัก เช่น ผู้บริหารที่พูดจาเป็นจะพูดออกมาลักษณะนี้ “ เนี่ยคุณนก ขอกาแฟสักแก้วครับ เอาแบบเมื่อวานนี้ อร่อยมาก แต่วันนี้ผมขอลดน้ำตาลลง 1 ช้อนครับ” หากพูดลักษณะนี้ แม่บ้านก็จะพอใจในการไปชงกาแฟให้ผู้บริหารคนนี้ แต่หากพูดอีกอย่างละ “ นก เอากาแฟมาถ้อยซิ วันนี้ช่วยใช้มือชงนะ ไม่ใช่ใช้ตีนชงอย่างเมื่อวาน แล้วลดน้ำตาลลง 1 ช้อน หวานอย่างกับอะไร ” หากพูดอย่างนี้ แม่บ้านก็คงต้องทำแต่ทำแบบไม่พอใจ จริงไหมครับ
สำหรับทัศนะหรือความคิดของผม ผู้บริหารที่พูดเก่ง พูดเป็น ไม่ใช่คนที่มีเทคนิคการพูดที่ดี ไม่ใช่ผู้บริหารที่ใช้วาทะ ถ้อยคำที่สวยหรู แต่เป็นผู้บริหารที่พูดออกมาจากหัวใจ ผู้บริหารที่เชื่อเรื่องนั้นจริงๆ และปฏิบัติตามคำพูดนั้นจริงๆ จนมีความรู้สึกเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองพูด จึงทำให้ผู้ตามหรือผู้ได้ยินเกิดความศรัทธาในสิ่งที่ผู้บริหารคนนั้นพูดออกไป เช่น หากผู้บริหารสอนลูกน้อง แนะนำลูกน้องว่า ไม่ควรมาทำงานสาย แต่ผู้บริหารมาสายตลอด อย่างนี้ลูกน้องจะเชื่อถือไหมครับ





...
  
การอ่านกับการพูด
การอ่านกับการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
มีคนเคยกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “ แบตเตอรี่ที่อัดแล้วย่อมมีพลังสูง สมองคนเราก็ควรจะเสริมสร้างพลังขึ้นด้วยการอ่าน อัดและอัดความรอบรู้เหล่านั้นเข้าไปให้มาก”
กระผมเห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ต้องการพูดเก่ง พูดเป็น พูดแล้วได้ประโยชน์ พูดแล้วได้เงิน บุคคลนั้นจะต้องมีองค์ความรู้อยู่ในตัว ซึ่งองค์ความรู้ที่สำคัญมักได้มาจากการอ่านหนังสือ หลายคนเมื่อได้ฟังแล้ว อาจจะโต้เถียงว่า โลกยุคนี้ไม่ต้องอ่านหนังสือก็ได้ เราสามารถฟังหรือดูผ่านสื่อต่างๆได้
แต่สำหรับกระผมแล้ว กระผมยังเชื่อมั่นว่า การอ่าน เป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการความรู้ได้รับความคิด ได้รับข้อมูล ได้รับปัญญามากกว่า สื่ออื่นๆ เพราะเมื่อเราได้อ่านหนังสือแล้ว เกิดคำถามหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นปัญหาในเรื่องที่เราอ่าน เราสามารถหยุดคิดได้ หรืออาจเรียกว่า การใคร่ครวญคิด อีกทั้งทำให้เรามีนิสัยจดจ่อ อดทน มีสมาธิ ซึ่งแตกต่างกับการฟัง หลายคนฟังแล้วไม่ได้คิดตามหรือคิดไม่ทัน ก็อาจคล้อยตามได้ การอ่านจึงทำให้เราเกิดความคิด เกิดปัญญาได้มากกว่าวิธีอื่นๆ
ฉะนั้น หากว่าเราต้องการพูดเก่ง พูดดี หรือใช้ประโยชน์จากการพูด เราก็ควรอ่านหนังสือให้มากที่สุด อ่านหนังสือทุกประเภท เพราะหนังสือแต่ละเล่มมีประโยชน์ ทำให้เราเกิดความคิด เกิดจินตนาการ อ่านอย่างเดียวอาจจะลืม ทางที่ดีเราก็ควรหา สมุด กระดาษ ปากกา จด จดในสิ่งที่เราต้องการที่จะนำเอาไปใช้ในอนาคต เช่น จดคำคม คำกลอน คำพูดที่น่าสนใจของบุคคลต่างๆ ฯลฯ
ยิ่งกว่านั้น บุคคลที่ใช้ภาษาได้ดี บุคคลผู้นั้นจะต้องยิ่งอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากกว่าคนอื่นๆ บางคนถึงกับอ่านและท่องพจนานุกรมเลยทีเดียว เช่น มาร์คทเวน นักเขียนชื่อดังระดับโลกในอดีต , ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ก็ท่องพจนานุกรม เป็นต้น การท่องและการอ่านพจนานุกรมอยู่เป็นประจำ จึงทำให้บุคคลทั้งสองท่าน เลือกใช้ถ้อยคำได้ดี เลือกใช้ถ้อยคำได้เป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้ในงานเขียนกับใช้ในงานพูดของเขา
การอ่านหนังสือมากๆ จะทำให้เราเลือกใช้คำได้เป็นอย่างดีและการอ่านหนังสือมากๆจะทำให้เราเป็นคนพูดได้อย่างถูกต้อง เช่น ตัว “ร” ตัว “ล” หลายคนใช้ผิด พูดผิด เขียนผิด โรงเรียน บางคนเขียนหรือพูดเป็น โลงเลียน ถนนเจริญกรุง หลายคนพูดหรือเขียนเป็น ถนนเจลิญกุง เป็นต้น
การอ่านหนังสือมากๆจะทำให้เราได้ วรรคทอง เพื่อนำเอาไปใช้ ตัวอย่าง การอ่านหนังสือประวัติบุคคลสำคัญของโลก เคเนดี้ JFK อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ เขาเคยกล่าวในสุนทรพจน์แล้วมีคนนำมาเขียนว่า “ โปรดอย่าถามว่าประเทศชาติของท่านจะทำอะไรให้แก่ท่านได้บ้าง แต่จงถามว่าท่านจะทำให้อะไรให้แก่ประเทศชาติของท่านบ้าง” เมื่อเราได้อ่านแล้วเกิดความประทับใจ เราอาจจดคำพูดเหล่านั้นเพื่อนำไปใช้หรือประยุกต์ใช้ในอนาคต เช่น หากว่าวันใดที่เราเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร เรามีการประชุมองค์กรหรือ ภายในองค์กร ภายในหน่วยงานของเราเริ่มมีปัญหาเรื่องคน เราอาจจะนำไปพูดหรือประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม “ โปรดอย่าถามว่าองค์กรของท่านจะทำอะไรให้แก่ท่านได้บ้าง แต่จงถามว่าท่านจะทำอะไรให้แก่องค์กรของท่านบ้าง” เป็นต้น
ฉะนั้น หนังสือทุกประเภทจึงเปรียบเสมือนแหล่งที่บรรจุองค์ความรู้มหาศาล มีมากมายกว้างขวางดุจน้ำในสมุทร แต่คงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะมีความมานะ บากบั่น พยายาม ในการอ่านสักเพียงไร
หากท่านอ่านมาก ท่านจะเป็นคนที่มีความคิดเห็นใหม่ๆ ท่านจะมีคำพูดที่คมคาย ท่านจะมีปัญญามากกว่าบุคคลอื่น แต่เป็นที่น่าเสียดายกับคนไทยเป็นจำนวนมาก ไม่ชอบอ่านหนังสือ และเด็กรุ่นใหม่ๆ เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ไม่ยอมอ่าน ไม่ยอมศึกษาเพิ่มเติมอีก คิดว่ามีความรู้มากพอแล้ว แต่แท้จริงแล้ว ความรู้มีไม่สิ้นสุด
ดังคำพูดของพระพุทธเจ้าที่เคยกล่าวไว้ว่า “ ที่เรารู้ที่เราสอนเป็นเพียงแค่ใบไม้แค่กำมือเดียว เมื่อเทียบกับ ต้นไม้ที่มีอยู่ทั้งต้น” ซึ่งต้นไม้นั้น ยังมีกิ่งก้าน สาขา ใบไม้ อีกเป็นจำนวนมาก

...
  
วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ลินคอล์น มีชื่อเต็มๆว่า อับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำระดับโลกคนหนึ่ง ลินคอล์น ไต่เต้าจากเด็กที่ยากจนคนหนึ่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ด้วยวิถีทางที่สะอาดบริสุทธิ์ การเลิกทาสในอเมริกาคือผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาฝากไว้ให้แก่โลกใบนี้
ด้านการพูด ลินคอล์น เป็นนักพูดที่มีจุดเด่นอยู่หลายอย่าง เช่น การใช้อารมณ์ขันในการพูด การใช้ถ้อยคำภาษาที่ไพเราะกินใจ การพูดสุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้คน สุนทรพจน์ที่โลกยกย่องว่าดีที่สุดของลินคอล์น ได้แก่ สุนทรพจน์ที่เก็ตติสเบอร์ก
สุนทรพจน์ที่เก็ตติสเบอร์ก เป็นการกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในพิธีฉลองสุสานแห่งเมืองเก็ตติสเบอร์ก ที่ที่ซึ่งเป็นสถานที่ในการทำสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญในอดีตของสหรัฐ อีกทั้งสุนทรพจน์นี้มีความสั้นมากมีเพียงแค่ 10 ประโยค แต่มีความไพเราะ มีวรรคทอง มีชีวิต จนกระทั้ง มหาวิทยาลัย อ็อกฟอร์ด ต้องนำไปติดที่ผนังของมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นตัวอย่างว่าเป็นสุนทรพจน์ที่มีความไพเราะที่สุดสุนทรพจน์หนึ่งของโลก ซึ่งวรรคทองที่มีการปรับและประยุกต์ใช้ กล่าวอ้างกันอย่างแพร่หลายก็คือ การปกครองแบบประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน
วิธีการฝึกการพูดของ ลินคอล์น ลินคอล์น มักจะอ่านหนังสือออกเสียงที่ดังตลอดเวลา เพราะการอ่านหนังสือออกเสียง เป็นการฝึกการใช้เสียง การฝึกความชัดเจนของภาษา การฝึกพลังเสียง อีกทั้งยังทำให้เกิดความทรงจำที่ดีสำหรับเขาอีกด้วย
เขามักจะสะสม ภาษา ถ้อยคำ คำคม สุภาษิต ต่างๆ เพื่อนำเอาไปใช้ในการพูด โดยวิธีการบันทึก สิ่งต่างๆที่จะนำเอาไปใช้ในการพูดอยู่ตลอดเวลา หากมีเวลา โดยเฉพาะในระหว่างเดินทางไปเมืองต่างๆ โดยม้า เขามักจะมีการฝึกการพูดบนหลังม้าอยู่เป็นประจำ
เขาเป็นคนที่มีความพยายาม ทำอะไรไม่ทอดทิ้ง การฝึกการพูดก็เช่นกัน เขามักจะมีการฝึกการพูดโดยหาเวทีต่างๆ ในสมัยที่ทำงานรับจ้าง ช่วงพักกลางวัน เขามักจะเล่าเรื่องสนุกๆ ให้แก่บรรดาเพื่อนร่วมงานฟัง ทำให้เกิดความสนุกสนาน ผ่อนคลาย แต่นายจ้างมักจะไม่ค่อยชอบใจนัก ซึ่งเรื่องเล่าขำขันของเขามักนำมาจากหนังสือเช่น หนังสือ คำตลกคะนองของควิน เขาจะพยายามท่องจำจนขึ้นใจ แล้วนำมาเล่า
การใช้อารมณ์ขันในการพูด จึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้อย่างรวดเร็ว เพราะการพูดโดยการใช้อารมณ์ขันมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเอง ช่วยให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดเกิดการผ่อนคลาย ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ช่วยให้มีเพื่อนมากขึ้น
การหาเสียงทางการเมือง ลินคอล์นได้สร้างความสำเร็จโดยการใช้อารมณ์ขันให้แก่พรรคการเมืองของเขาจนประสบความสำเร็จ เมื่อลินคอล์น เข้าสู่วงการทางการเมือง เขาก็มีความเจริญเติบโต ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในการแข่งขันทางการเมืองย่อมมีการโจมตีกัน กล่าวหากัน พรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม มักจะโจมตีพรรคที่เขาสังกัด พรรควิก(ปัจจุบันเป็นพรรคริปับลิกัน) ว่าเป็นพรรคของผู้ดี ชอบแต่งตัวหรูโอ่อ่า
ซึ่ง ลินคอล์น ก็ใช้อารมณ์ขันที่เขาถนัดตอบโต้คู่แข่งขันทางการเมืองด้วยอารมณ์ขันและคำพูดที่แหลมคมว่า
“ ข้าพเจ้ามาสู่รัฐอิลลินอยส์ใน ฐานะเด็กยากจนที่ไร้การศึกษา เป็นคนแปลกหน้า ไม่มีมิตรสหาย และเริ่มทำงานในเรือท้องแบนด้วยค่าจ้างเดือนละแปดเหรียญ และข้าพเจ้ามีกางเกงชนิดขาแคบอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น กางเกงซึ่งทำด้วยหนังกวาง เมื่อเจ้าหนังกวางเปียกน้ำแล้วถูกแดดแห้งมันจะทำการหดตัว ซึ่งเจ้ากางเกงหนังกวางนี้จะหดจนกระทั่งปลายขากางเกง อยู่ห่างกับปลายถุงเท้า หลายนิ้ว ปล่อยให้ขาส่วนนั้นไม่มีสิ่งใดปกปิด ครั้งเมื่อลำตัวของข้าพเจ้าสูงขึ้น ความเปียก ความแห้งนี่เอง ทำให้ขากางเกงสั้นเข้าและรัดขา ข้าพเจ้าแน่นเข้าทุกที จนกระทั่งทิ้งรอยช้ำเขียวไว้ที่ขาข้าพเจ้าตราบเท่าทุกวันนี้ นี่แหละท่าน ถ้าท่านเรียกการแต่งตัวเช่นนี้ว่าเป็นการหรูโอ่อ่า เป็นพวกผู้ดี ข้าพเจ้าจำต้องเรียกการกล่าวหานั้นว่าเป็นความผิดอย่างอุกฤษฏ์” (ท่านสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ ลินคอล์น มหาบุรุษ ของอาษา ขอจิตเมตต์ ได้เพิ่มเติม)
เมื่อผู้ฟังได้ฟังแล้ว ก็ต่างกันร้องตะโกน เป่าปาก ด้วยความพึงพอใจ หัวเราะสนุกสนาน กับการหาเสียงในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ฉะนั้น กระผมขอสรุปวิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น สั้นๆดังนี้ ลินคอล์น มีการฝึกการพูดด้วยตนเอง อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าอยู่บนหลังม้าขณะเดินทางไปต่างเมือง ลินคอล์น ชอบสะสม คำคม ข้อมูลต่างๆที่ใช้ในการพูด และหากมีเวลา เขาจะคิดวรรคทองของเขาเอง ลินคอล์น ชอบอ่านหนังสือเสียงดัง เพราะเป็นการฝึกการใช้น้ำเสียง ฝึกใช้พลังเสียง ฝึกความเคยชินในการออกเสียง ลินคอล์น พยายามหาเวทีพูดให้แก่ตนเอง ตลอดเวลา เช่น พูดเล่าเรื่องสนุกๆให้แก่เพื่อนร่วมงานเวลาพักกลางวัน , พูดเล่าเรื่องสนุกๆให้แก่นายเจ้าและเพื่อนร่วมงานในชีวิตการเป็นลูกจ้างในการเดินเรือซึ่งต้องอยู่กลางทะเลเป็นเวลานานๆ ลินคอล์น ฝึกไหวพริบปฏิภาณในการใช้อารมณ์ขันในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการพูด เป็นต้น



...
  
วิทยากรกับการเป็นวิทยากร
วิทยากรกับการเป็นวิทยากร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
วิทยากร หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวการสำคัญ ที่จะทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิดความรู้ความเข้าใจ เกิดทักษะ เกิดทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเรื่องที่อบรม จนกระทั่งผู้เข้ารับการอบรมเกิดการเรียนรู้และสามารถจุดประกายความคิด เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ หรือพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ของเรื่องหรือวิชานั้นๆ ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว วิทยากรจึงมีบทบาทที่สำคัญหลายประการเช่นอาจเป็นทั้งผู้บรรยาย ผู้สอน ผู้ฝึก พี่เลี้ยง ผู้กำกับการแสดง ตลอดจนผู้ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ เป็นต้น( สุวิทย์ มูลคำ,2543:24)
วิทยากร(Trainer) หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งมีความรู้ ความสามารถตลอดจนการพูด หรืออภิปรายและใช้เทคนิคต่างๆ ในเรื่องนั้นๆ อันจะทำให้ผู้รับการฝึกอบรมได้เกิดความรู้(Knowledge) ความเข้าใจ(Understanding) ทัศนคติ(Attitude) ความชำนาญ(Skill) จนสามารถทำให้ผู้รับการฝึกอบรมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ(นิพนธ์ ไทยพานิช.2535:251 อ้างถึงใน อ้อม ประนอม,2552:73)
วิทยากร หมายถึง คนที่จะต้องทำให้ผู้เข้ารับการอบรมได้มีความรู้ และเข้าใจในเนื้อหาที่เข้ารับการฝึกอบรม จนเกิดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะ ตลอดจนเกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ดีในการทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น(ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์,2555:10)
สำหรับผมแล้ว วิทยากรน่าจะหมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอดองค์ความรู้โดยอาศัยเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม เกิดความรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ เกิดการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีขึ้นตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการในการจัดการฝึกอบรม
คุณสมบัติของวิทยากร
ในการจัดการฝึกอบรมที่ดีมีองค์ประกอบหลายๆอย่างที่ทำให้การฝึกอบรมประสบความสำเร็จ เช่น ห้องฝึกอบรม ระบบเสียง หลักสูตร เนื้อหา อาหาร การจัดรูปแบบโต๊ะเก้าอี้ ขนาดของห้องฝึกอบรม แต่ความจริงแล้วองค์ประกอบที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆก็คือตัวของวิทยากร ฉะนั้นวิทยากรจึงควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.ต้องมีความรู้ วิทยากรที่ดีต้องมีองค์ความรู้เนื้อหา ทั้งลึกและกว้าง ในหัวข้อที่ตนเองบรรยายหรือให้ความรู้แก่ผู้ที่เข้ารับการอบรม วิทยากรต้องรู้จริง รู้ละเอียด อีกทั้งต้องตอบคำถามผู้เข้ารับการอบรมได้อย่างมีหลักฐาน มีเหตุผล อ้างอิง อีกด้วย
2.ต้องมีบุคลิกภาพที่ดี วิทยากรต้องมีบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ น่าศรัทธา มีความเป็นกันเอง รู้จักการวางตัว ซึ่งบุคลิกภาพนี้ตัวของวิทยากรต้องมีบุคลิกภาพที่ดีทั้งภายใน เช่น ความกระตือรือร้น ความเชื่อมั่นในตนเอง มีความมั่นคงทางด้านอารมณ์ ไหวพริบปฏิภาณ ฯลฯ และบุคลิกภาพภายนอก เช่น การแต่งตัว ท่าทาง การเดิน การยิ้ม ภาษากาย รูปร่างหน้าตา ฯลฯ
3.ต้องมีความสามารถหลายๆด้าน เช่น สามารถนำกิจกรรมเพื่อการศึกษาได้ มีความสามารถในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการนำเสนอ มีความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นต้น
4.ต้องมีประสบการณ์ วิทยากรที่ดีเมื่อไปบรรยายในหัวข้อใด ตัววิทยากรควรมีประสบการณ์ตรงในด้านนั้นด้วยถึงจะดี เพราะเวลาตอบคำถามหรือเวลาบรรยาย ก็สามารถนำเอาประสบการณ์จริงมาบอกเล่าได้ ไม่ใช่อ่านแต่ในหนังสือแล้วนำมาเล่า เพราะประสบการณ์ที่ตัววิทยากรได้สัมผัสของจริงจะทำให้ทั้งตัวของวิทยากรและผู้เข้ารับการอบรมเห็นภาพและเข้าใจถึงปัญหานั้นๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
5.ต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา การเตรียมความพร้อมมีความสำคัญมาก ดังเราจะเห็นได้ว่า นักมวยที่ต้องชกเพื่อชิงแชมป์โลก เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนัก บางคนใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อที่จะขึ้นไปชกชิงแชมป์โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งการเตรียมพร้อมนี้ ควรรวมไปถึง การอ่าน การฟัง การเรียนรู้ การศึกษา สิ่งใหม่ๆเพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการบรรยาย
6.ต้องมีใจรัก วิทยากรเป็นอาชีพ อาชีพหนึ่งที่สามารถทำเป็นอาชีพ หาเลี้ยงตนเอง และครอบครัวได้ อีกทั้งวิทยากรมืออาชีพหลายๆท่าน สามารถสร้างความร่ำรวยจากอาชีพนี้ได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ การประกอบอาชีพใดๆ สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ ผู้ประกอบอาชีพนั้นๆจะต้องมีใจรักในอาชีพของตนเองเสียก่อน เขาจึงจะประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะหากว่าเรามีใจรักในอาชีพวิทยากร เราจะมีความอดทน เราจะมีความตั้งใจ เราจะมีความพยายามและเราจะไม่เลิกล้มก่อนเวลาที่จะประสบความสำเร็จ ผู้เขียนก็เช่นกัน ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุกๆเวที ยิ่งช่วงเป็นวิทยากรใหม่ๆ ต้องประสบกับความล้มเหลวอยู่หลายเวที หากว่ามัวแต่ท้อแท้ เลิกล้ม ไม่กล้า บัดนี้ก็คงไม่ได้ประกอบอาชีพวิทยากร
7.ต้องมีจรรยาบรรณของวิทยากร อาชีพทุกๆอาชีพควรมีจรรยาบรรณ อาชีพวิทยากรก็เช่นกัน ควรมีจรรยาบรรณ เพราะการมีจรรยาบรรณจะทำให้เป็นที่เคารพ เป็นที่น่าเชื่อถือ ศรัทธา แก่ผู้พบเห็น สำหรับจรรยาบรรณของวิทยากรไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจนดังเช่นกฎหมาย แต่ก็ควรยึดหลักของความถูกต้อง ความมีศิลธรรม ความไม่เอาเปรียบ เช่น เมื่อรับงานบรรยายงานฝึกอบรมแล้วก็ควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ควรไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ , เมื่อรับงานบรรยายงานแรกแล้ว ก็ไม่ควรรับงานที่สองในช่วงวันเวลาเดียวกัน แต่มีวิทยากรบางท่านเมื่อเห็นว่างานที่สองได้รับเงินเป็นจำนวนมากกว่างานแรก จึงโทรศัพท์ไปขอยกเลิกงานแรก เช่นนี้ก็ไม่ควรปฏิบัติ , วิทยากรที่ดีไม่ควรกล่าวโจมตีคู่แข่งหรือวิทยากรด้วยกัน เป็นต้น

...
  
การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ตอนก่อนกระผมได้เขียนเรื่องคุณสมบัติของวิทยากรในข้อที่ 5.ได้กล่าวไว้ว่า วิทยากรต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้กระผมอยากที่จะขยายเนื้อหาในส่วนนี้ กล่าวคือการเตรียมความพร้อมของวิทยากรที่ดี จะต้องมีการเตรียมตัวดังนี้
1.ต้องศึกษาหาความรู้ หาประสบการณ์อยู่เสมอ หมั่นอ่านหนังสือทุกวัน ไปฟังวิชาการ ไปเข้าร่วมอบรมสัมมนา ไปสนทนากับผู้ที่มีความรู้มากกว่า เพื่อที่จะได้เพิ่มพูนองค์ความรู้ของตนเองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเมื่อได้รับความรู้แล้ว ก็ควรลองหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง คือลองนำเอาความรู้นั้นๆไปใช้เพื่อที่จะทดสอบว่า เรานำไปใช้แล้วได้ผลเป็นเช่นไร
2.ต้องเก็บสะสม จดจำ ข้อมูลต่างๆ วิทยากรที่ดีเมื่อไปอบรม หรือ อ่านเจอสิ่งใหม่ๆ ก็ควรเก็บสะสมข้อมูลเอาไว้ หมั่นจดบันทึก ตัดเก็บข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ โดยจัดระบบการเก็บ มีการจัดข้อมูลเข้าแฟ้มให้เป็นหมวดหมู่ เช่น หมวดเกม หมวดนิทาน หมวดกลอน หมวดเพลง เป็นต้น
3.ต้องฝึกฝนการนำเสนออยู่เสมอ วิทยากรที่ดีควรหาเวทีให้แก่ตนเอง อย่าได้รังเกียจเวทีเล็ก เพราะวิทยากรมืออาชีพก็เริ่มต้นจากจุดเล็กๆมาก่อน ควรหาเวทีพูดบ่อยๆเพื่อฝึกฝนการพูด ฝึกฝนการนำเสนอ อีกทั้งการมีเวทีพูดมากๆจะทำให้ผู้พูดเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากยิ่งขึ้น
4.ต้องออกแบบหลักสูตรแปลกๆใหม่ๆ วิทยากรมืออาชีพและเป็นที่ต้องการของตลาดการฝึกอบรมมักจะนำเสนอหลักสูตรใหม่ๆออกมา ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ไม่ค่อยจะเหมือนกับวิทยากรท่านอื่น เพราะหากว่านำเสนอหลักสูตรที่เหมือนกันกับวิทยากรท่านอื่น จำนวนมากๆ โอกาสที่จะได้รับงานบรรยายก็จะน้อยลงเนื่องจากมีคู่แข่งขันมากนั้นเอง
5.ต้องทำการบ้านเป็นอย่างดี เมื่อได้รับงานบรรยายแล้ว วิทยากรมืออาชีพต้องมีการเตรียมข้อมูลในการนำเสนอให้ตรงกับปัญหาขององค์กรนั้น ต้องมีการสอบถามข้อมูลว่าองค์กรมีปัญหาอะไร ต้องการให้เน้นในเนื้อหาใดเป็นพิเศษ รวมไปถึงสอบถามขนาดของห้องฝึกอบรมว่ามีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เพื่อที่จะได้ออกแบบกิจกรรมต่างๆเพื่อนำไปใช้ในห้องฝึกอบรมนั้น
6.ต้องเตรียมพร้อมทางด้านร่างกาย หลายท่านอาจแปลกใจว่า ไปเป็นวิทยากรนะไม่ได้ไปแข่งขันกีฬาใดๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว การเป็นวิทยากรมืออาชีพ บางหลักสูตรต้องบรรยาย 3-5 วัน ซึ่งจะต้องยืน ต้องเดิน ต้องวิ่ง ต้องพูด ทั้งวัน ถ้าหากว่าร่างกายมีสภาพที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ก็จะทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น วิทยากรมืออาชีพจึงต้องรักษาสุขภาพร่างกาย ต้องมีการออกกำลังกายอยู่เสมอ ต้องมีการไปตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี


...
  
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการฝึกอบรมในยุคปัจจุบัน มีการใช้เทคนิคที่หลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง หรือ ใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้รับการอบรม ผู้เรียน นักเรียนเป็น ศูนย์กลาง และ เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง ซึ่งแต่ละเทคนิคมีรายละเอียดดังนี้
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง
1.การบรรยาย (Lecture) เป็นการพูด โดยเน้นสอนเรื่องทฤษฏี เนื้อหาต่างๆ ตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ อาจมีการใช้สื่อต่างๆประกอบ เช่น สไลด์ รูปภาพ คลิปภาพยนตร์ ฯลฯ
2.การอภิปรายเป็นคณะ(Panel Discussion) เป็นพูดอภิปรายโดยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนใหญ่มักจะมีจำนวน 3-5 คน เป็นการพูดแสดงข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง ปัญหา วิธีการแก้ไขปัญหา ตามหัวข้อที่กำหนดเอาไว้
3.การสาธิต(Demonstration) เป็นการแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างจริงๆ เช่น การสาธิตการประกอบอาหาร การสาธิตการว่ายน้ำ การสาธิตการพูดต่อหน้าที่ชุมชน การสาธิตการขายสินค้าต่างๆ เป็นต้น
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้ฝึกอบรม นักศึกษา นักเรียน เป็นศูนย์กลาง
1.กิจกรรมนันทนาการ(Recreational Activity) เป็นการจัดหากิจกรรมต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการสนุกสนาน เกิดการแข่งขันกัน หรือก่อให้เกิดการละลายพฤติกรรม ซึ่งเกมเพื่อการศึกษามีจำนวนมากและหลากหลาย ทั้งนี้ ควรเลือกเกมส์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม
2.การระดมสมอง(Brainstorming) เป็นกิจกรรมที่ให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ เสรี ไม่มีคำว่าผิด หรือ ถูก ไม่มีคำว่า ดี หรือไม่ดี เมื่อเปิดโอกาสให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นโดยทั่วถึงแล้ว ผู้สอนควรนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่บทสรุป
3.กรณีศึกษา(Case study) เป็นการนำเรื่องราวจริง มานำเสนอเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการแก้ไขปัญหาและเกิดการตัดสินใจ ซึ่งกรณีศึกษาที่ดีควรมีลักษณะคล้ายหรือสอดคล้องกับปัญหาต่างๆที่ผู้รับการอบรมประสบ
4.การแสดงบทบาทสมมติ(Role Playing) มีลักษณะคล้ายกับกรณีศึกษาแต่เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จึงให้ผู้เรียนได้มีการเล่นการแสดงบทบาทสมมติต่างๆ จากสถานการณ์ที่จำลองมาจากสถานการณ์จริงๆ
5.การสัมมนา(Seminar) เป็นการประชุมหรือพูดคุยกัน เกี่ยวกับปัญหาหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมมีความสนใจหรือประสบพบเจอกับปัญหาในเรื่องเดียวกัน
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง
1.สอนโดยภาพยนตร์(Instructional Film) เป็นการสอนโดยใช้ภาพยนตร์ เป็นหลักโดยผู้สอน เปิดภาพยนตร์ให้ผู้เรียนดูจนจบ แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่างๆ แล้วจึงหาข้อสรุป
2.สอนโดยใช้เทคโนโลยี เป็นการออกแบบเทคโนโลยีขึ้นมาให้เหมือนกับของจริงมากที่สุด แล้วให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เช่น เครื่องบินจำลอง F 16 ซึ่งภายในห้องทดลองมีการออกแบบที่เหมือนจริงกับเครื่องบิน F16 ทุกประการ
3.สอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI-Computer Aided Istruction) เนื่องจากยุคปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ มีความทันสมัยจึงสามารถทำอะไรได้อย่างมากมาย เช่น เราสามารถสอนผู้เรียนเรียนพิมพ์ดีด โดยการใช้โปรแกรมพิมพ์ดีด เข้าช่วย
ฉะนั้น การเป็นวิทยากรที่ประสบความสำเร็จ จึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักการผสมผสานเทคนิคต่างๆ เช่น มีการบรรยาย มีการระดมความคิดเห็น มีกิจกรรมนันทนาการ มีการใช้เทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้จัด วัตถุประสงค์ในการจัด เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพกับผู้เข้ารับการอบรมหรือผู้เรียนมากที่สุด ทั้งนี้การผสมผสานเทคนิคต่างๆ มากหรือน้อย บางเทคนิคก็ไม่สามารถนำเอาไปใช้ได้ทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่ของวิทยากรที่จะต้องวิเคราะห์แล้วตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคต่างๆ

...
  
การเลือกวิทยากร
การเลือกวิทยากร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการฝึกอบรม การคัดเลือกวิทยากรมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอันมาก ซึ่งการคัดเลือกวิทยากรต้องมีความพิถีพิถัน เป็นอย่างยิ่ง หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกวิทยากร ควรมีหลักเกณฑ์ดังนี้
1.มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในหัวข้อหรือหลักสูตรที่จะให้บรรยาย ผู้จัดการฝึกอบรมควรที่จะมีการตรวจสอบ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ ของวิทยากรว่ามีความรู้และประสบการณ์ตรงกับหัวข้อนั้นๆหรือไม่
2.มีความสามารถในการถ่ายทอด สอนเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย สอนสนุก ผู้ฟังสนใจฟัง ไม่น่าเบื่อ
3.มีชื่อเสียงในวงการหรือมีชื่อเสียงในหัวข้อที่บรรยาย ซึ่งผู้จัดการฝึกอบรม สามารถดูผลงานที่เผยแพร่สู่สาธารณะ ในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ บทความ ตำรา เอกสารต่างๆ
4.มีการบรรยายหรือมีการนำเสนอเนื้อหาได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการอบรม เพราะวิทยากรหลายท่าน มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้น อีกทั้งมีการบรรยายที่สนุกสนาน ผู้ฟังชื่นชอบ แต่เนื้อหาที่บรรยายไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางเอาไว้
5.มีบุคลิกภาพที่ดี มีความน่าเชื่อถือ มีอายุ มีเพศ ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการให้บรรยาย
ทั้งนี้ ผู้จัดการฝึกอบรม ควรต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของวิทยากร โดยการสอบถามพรรคพวกเพื่อนฝูงที่อยู่ในวงการฝึกอบรมที่ตนเองรู้จักว่า คุณสมบัติและความสามารถของวิทยากรท่านนี้อยู่ในระดับใด อีกทั้งหากเป็นไปได้ควรขออนุญาตวิทยากรท่านนั้น ไปนั่งฟังการบรรยาย ไปสังเกตวิธีการสอน ก่อนที่จะเชิญไปสอนจริงๆ
...
  
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การฝึกอบรมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนา การฝึกอบรมที่ดีจึงต้องสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ หากว่าการฝึกอบรมไม่สามารถสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ การฝึกอบรมนั้นๆ จะได้รับประโยชน์ที่ลดน้อยลง ซึ่งการฝึกอบรมมีประโยชน์ทั้งต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร และการฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อทั้งตัวของบุคลากร ซึ่งผู้เขียนของขยายรายละเอียด ตามข้อความด้านล่างนี้
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร ดังต่อไปนี้
1.ช่วยเพิ่มผลผลิต รายได้ กำไร ให้แก่หน่วยงาน
2.ช่วยลดค่าใช้จ่าย เวลา ลดอุบัติเหตุ ลดการลาออกของบุคลากร
3.ช่วยให้เกิดความสามัคคี ช่วยให้เกิดมีทิศทางในการทำงานไปในทิศทางอย่างเดียวกัน
4.ช่วยให้หน่วยงาน ขยายงาน ขยายสาขาได้มากขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น
5.ช่วยให้หน่วยงาน มีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับตัวได้ทันต่อการแข่งขัน
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อบุคลากร ดังต่อไปนี้
1.เสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่บุคลากร
2.เป็นการลดความขัดแย้งและเพิ่มความสัมพันธ์อันดีของบุคลากร
3.ทำให้บุคลากรเกิดการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความกระตือรือร้นในงานที่ทำ
4.ลดการกำกับควบคุม การติดตามการทำงานของบุคลากร
5.เพิ่มศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดในการกล้าแสดงออกของบุคลากร

...
  
การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง(ศิลปะการโต้วาที)
การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง...(ศิลปะการโต้วาที)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การโต้วาทีถือได้ว่าเป็นการใช้วาทศิลป์ขั้นสูง ถามว่า “ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” เพราะบุคคลที่จะโต้วาทีให้ได้ดี จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเกี่ยวกับการพูดหลายๆด้าน เช่น ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน , ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร,ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด,ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทางและศิลปะในการใช้วาทศิลป์ เป็นต้น
ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน ในยุคปัจจุบันมีหนังสืออยู่มากมาย ตามท้องตลาด ซึ่งภายในหนังสือจะมีทฤษฏี มีหลักการ มีคำแนะนำต่างๆ ที่ทำให้ผู้อ่าน สามารถนำไปใช้ นำไปปฏิบัติได้ ซึ่งจะพูดไปแล้ว การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์คือเราสามารถอ่าน สามารถฟัง และเข้ารับการอบรมเพื่อให้ได้ความรู้มา ศิลป์คือ การนำเอาศาสตร์ไปประยุกต์
ฉะนั้น บุคคลที่พูดเก่ง พูดเป็น มักจะมีศิลป์หรือมีศิลปะในการนำเอาคำพูดไปใช้ได้มากกว่า ดีกว่า เก่งกว่า บุคคลที่พูดไม่เป็น พูดไม่เก่ง
ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร บุคคลที่จะโต้วาทีได้ จำเป็นต้องมีไหวพริบ ปฏิภาณในการพูด ซึ่งบุคคลที่จะมีไหวพริบ ปฏิภาณได้จำเป็นจะต้องมีการฝึกฝน การพูดต่อหน้าที่ชุมชนและการโต้วาทีบ่อยๆจะเป็นการฝึก ไหวพริบ ปฏิภาณได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้บุคคลที่จะโต้วาทีให้ได้ดี จำเป็นจะต้องมีชั่วโมงบิน หรือมีประสบการณ์ในการทางการพูดต่อหน้าที่ชุมชนอยู่บ้าง
ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด ในการโต้วาที เราต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่อง ว่าขึ้นต้นเราจะขึ้นต้นอย่างไร ตอนกลางเราจะพูดอะไร และสรุปจบอย่างไร ถึงจะเป็นที่ประทับใจผู้ฟัง
ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทาง บุคคลที่มีบุคลิกภาพดีมักจะได้เปรียบบุคคลที่มีบุคลิกภาพไม่ดี นักโต้วาทีควรมีการฝึก การใช้ท่าทางประกอบการพูด เช่น การผายมือ , การชี้นิ้ว , การใช้เอกสารประกอบการพูด , การยืน ตลอดจนการใช้สีหน้า การเคลื่อนไหวต่าง เป็นต้น
ศิลปะในการใช้วาทศิลป์ การใช้คำพูด มีความสำคัญ การใช้คำพูดทำให้คนสนใจฟัง คำบางคำมีความหมายเหมือนกัน แต่ความเบา ความแรง ความสุภาพ ความเป็นกันเองต่างกัน และการใช้กับบุคคลมีความแตกต่างกัน เช่น กิน ทาน รับประทาน แดก ดื่ม ฉันท์ ฯลฯ
ตลอดการใช้ภาษาไทยควรให้มีความถูกต้องตามหลักภาษาไทย มีการออกเสียง ร,ล คำควบกล้ำให้ชัดเจน และควรงดเว้นคำฟุ่มเฟื่อย
ตลอดจนต้องรู้จักประเภทของการพูด ซึ่งประเภทของการพูดมี 3 ประเภทใหญ่ๆ 1.จูงใจ 2.บรรยายหรือบอกเล่า 3.บันเทิง สำหรับการพูดโต้วาทีจะอยู่ในการพูดประเภทที่ 1 คือการพูดจูงใจหรือพูดให้คล้อยตาม
เมื่อผู้พูด มีพื้นฐานข้างต้นแล้ว (ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน , ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร,ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด,ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทางและศิลปะในการใช้วาทศิลป์) ผู้พูดคนนั้นจะมีความสามารถในการพูดโต้วาทีได้เป็นอย่างดี


...
  
ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม
ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมมีความสำคัญมาก เพราะบ่อยครั้งในการจัดการฝึกอบรม ผู้ที่จะต้องทำหน้าที่เป็นพิธีกรในการ กล่าวทักทาย กล่าวแสดงความต้อนรับ แนะนำวัตถุประสงค์หลักสูตร แนะนำกำหนดการในการฝึกอบรม แนะนำสถานที่ อีกทั้งการจัดการฝึกอบรมบางแห่ง เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมมีหน้าที่ที่จะต้องทำหน้าที่ กล่าวรายงานในพิธีเปิด แนะนำวิทยากร กล่าวขอบคุณวิทยากร
ฉะนั้น ในการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม หากต้องการฝึกหรือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจึงจำเป็นจะต้องมี ทักษะในการเป็นพิธีกร และ มีทักษะในการพูดในโอกาสต่างๆ
ทักษะในการเป็นพิธีกร เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องดำเนินรายการในห้องฝึกอบรมตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปิดการฝึกอบรม ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องทำหน้าที่เป็นพิธีกร โดยพิธีกรที่ดีจะต้องมีทักษะต่างๆดังต่อไปนี้
1.ต้องทำการบ้านหรือเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี มีการเขียนสคิปในการพูด รวมไปถึงเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต้องมีการฝึกซ้อมการพูดตามสคิปมาบ้าง
2.ต้องมีทักษะในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนอยู่บ้าง เช่น การถือไมโครโฟน การยืน การแสดงท่าทางในการพูด
3.ต้องรู้ลำดับขั้นตอนของงานในการฝึกอบรม ว่ากำหนดการในการอบรมมีอะไรบ้าง ใครเป็นคนมาเปิดการฝึกอบรม ใครจะมาปิดการฝึกอบรม วิทยากรมีทั้งหมดด้วยกันกี่คน
4.ต้องมาถึงงานก่อนเวลา ทำไมต้องมาก่อนเวลา มาเพื่อเตรียมความพร้อมของตนเองและมาเพื่อตรวจสอบดูความพร้อมของแสง สี เสียง และดูความพร้อมของห้องฝึกอบรม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์ต่างๆ
5.ต้องสร้างความดึงดูดความสนใจบนเวทีตลอดการฝึกอบรม การพูดต้องพูดด้วยความกระตือรือร้น กระปรี้กระเปร่า มีลูกเล่นหรืออารมณ์ขันอยู่บ้าง
6.ต้องรู้จักแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดีหรือสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในการฝึกอบรม ในบางครั้ง พูดไป พูดมา ไฟฟ้าเกิดดับ หรือ งานไม่เป็นไปตามกำหนดการ เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะแก้ไขปัญหาอย่างไร
7.ต้องพยายามดำเนินรายการจนจบหรือต้องดำเนินรายการให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ทิ้งเวที
ทั้งหมดนี้คือ คุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมที่ได้รับบทบาทให้เป็นพิธีกรต้องมี สำหรับการพูดที่เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การพูดในโอกาสต่างๆ เพราะในการจัดการฝึกอบรม เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมบางงานมีความจำเป็นจะต้อง กล่าวต้อนรับ กล่าวรายงานในพิธีเปิด การแนะนำวิทยากรและกล่าวขอบคุณวิทยากร
1.การกล่าวต้อนรับ เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องมีหน้าที่ในการพูดกล่าวคำต้อนรับ ซึ่งจะต้องพูดรายละเอียดตามลำดับดังนี้ ต้องกล่าวทักทายผู้ที่เข้าร่วมฝึกอบรมและกล่าวยินดีต้อนรับ ต้องพูดแนะนำวัตถุประสงค์ของการจัดงานหรือของหลักสูตรที่จัด ต้องพูดแนะนำกำหนดการฝึกอบรมและต้องแนะนำสถานที่ในการฝึกอบรมรวมไปถึงห้องน้ำ ห้องรับประทานอาหารว่าง ห้องรับประทานอาหารกลางวัน
2.การกล่าวรายงานในพิธีเปิด ซึ่งมีรายละเอียดที่จะต้องพูดดังนี้ คำขึ้นต้น(เรียน,กราบเรียน) ,ขอบคุณประธานในพิธี , ชี้แจงวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม, ชี้แจงความสำคัญในการฝึกอบรม,พูดรายละเอียดของหลักสูตรที่สำคัญๆ, พูดถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในการฝึกอบรมและสุดท้ายเชิญประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรม
3.การแนะนำวิทยากร เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจะต้องทำหน้าที่แนะนำวิทยากรในการฝึกการอบรม โดยเริ่มต้นกล่าวคำทักทายผู้เข้ารับการอบรมที่เข้ามาร่วมการฝึกอบรม กล่าวแนะนำวิทยากรเป็นรายบุคคลว่าเป็นใคร มาจากไหน ปัจจุบันมีหน้าที่ทำงานในตำแหน่งอะไร มีความรู้ความสามารถพิเศษหรือเชี่ยวชาญงานทางด้านไหน ซึ่งต้องกล่าวตามความเป็นจริง ไม่ควรให้คลาดเคลื่อน สิ่งที่สำคัญไม่ควรยกย่องวิทยากรจนเลิศลอยเกินไป และอย่าแนะนำเรื่องส่วนตัวที่ไม่ดีหรือทำให้วิทยากรไม่สบายใจ
4.การกล่าวขอบคุณวิทยากร มีหลักในการพูดดังนี้ กล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับจากวิทยากร กล่าวย้ำถึงประเด็นหรือสรุปความสำคัญของเรื่องที่พูด กล่าวแสดงความหวังว่าจะได้รับความกรุณาจากวิทยากรในการมาร่วมเป็นวิทยากรอีกครั้งและกล่าวขอบคุณ
ดังนั้น ศิลปะการพูดสำหรับเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม ที่เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมต้องมีก็คือ ทักษะในการเป็นพิธีกรและทักษะในการพูดในโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะการกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีเปิด การแนะนำวิทยากรและการกล่าวขอบคุณวิทยากร
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.